วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Inter-market Analysisในยุค 90s

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 8 มกราคม 2015


          ในช่วงที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าประเด็นเรื่องของการปรับตัวลดลงของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก (ทั้งอ้างอิงโดย West Texas Intermediate ของ NYMEX หรือ ที่อ้างอิงจาก Brent Crude Oil) ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงกัน เป็นวงกว้างในหลายแวดวง ไม่ว่าจะเป็น การเงิน การเกษตร การอุตสาหกรรม  หรือ การพาณิชย์

           ทั้งนี้เนื่องจากในยุคสังคมปัจจุบัน น้ำมันดิบถือได้ว่าเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีความสำคัญต่อผู้คนเป็นอย่างมากทั้งทางตรงและทางอ้อม พิจารณาจาก ตัวเลขที่กว่า 90% ของการขนส่งทั้งทางบก เรือ และอากาศ และ อีกประมาณ 95 %  ของกระบวนการผลิตสินค้าในโลก ล้วนใช้พลังงานจากน้ำมันดิบ และ/หรือ ผลิตภัณฑ์พลอยได้ทั้งสิ้น

           ซึ่งไม่น่าเป็นที่แปลกใจ ที่ในดัชนีราคาสินค้าโภคภัณฑ์ชั้นนำ อย่าง Rogers International Commodities Index (RICI) ที่ปัจจุบันให้น้ำหนักสินค้าประเภทน้ำมันดิบ (WTI + Brent) ในสัดส่วนเท่ากับ 29% (เคยขึ้นไปสูงสุดถึง 35%) สูงที่สุดในบรรดาสินค้าโภคภัณฑ์ชนิดต่างๆ ที่ถูกนับรวมในดัชนีอีก  35 ชนิด และบ่อยครั้งน้ำมันดิบได้ถูกหยิบยกขึ้นเป็นตัวแทนของสินทรัพย์ในกลุ่มของสินค้าโภคภัณฑ์ไปอย่างไม่เป็นทางการ

          การปรับตัวลดลงของราคาน้ำมันที่หลุดแนวรับที่ US$80 ต่อบาร์เรล  ลงมาที่ระดับราคา US$50  เมื่อเร็ว ๆ นี้ ดูเหมือนว่าจะทำให้ผู้คนที่อยู่ในตลาดหุ้นที่อยู่รอบข้างผมส่วนใหญ่จะไม่ค่อยมีความสุขเท่าไรนัก ทั้งนี้เนื่องจาก เมื่อไรก็ตามที่เห็นราคาน้ำมันปรับตัวลดลงก็มักจะเห็นดัชนีหุ้นไม่ว่าจะเป็น SET Index หรือ S&P500 มักจะปรับตัวร่วงลงพร้อม ๆ กันไปด้วย (ผมทราบดีครับว่าหุ้นพลังงานจะทำกำไรได้น้อยลงหากราคาน้ำมันดิบตกต่ำ ซึ่งมักจะมีแนวโน้มราคาปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมัน) การปรับลดลงของน้ำมันจึงเสมือนเป็นข่าวร้ายสำหรับหลาย ๆ คนที่มีความเชื่อและความเข้าใจในทำนองนั้น

          แต่หากย้อนกลับไปเมื่อกว่า 20 ปีที่แล้ว ข่าวคราวเรื่องการปรับตัวลดลงของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกจะถือว่าเป็นข่าวดีสำหรับทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้คนในตลาดทุน เนื่องจากเป็น Indicator สะท้อนว่ายังไม่มีภาวะเงินเฟ้อจนทำให้มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย อันจะส่งผลให้ราคาพื้นฐานของหุ้นปรับตัวลดลง เป็นไปตามตำราแสดงความสัมพันธ์ตามทฤษฎีของค่าตัวแปรต่างๆ ในตลาดการเงินจากหนังสือที่ John Murphy ปรมาจารย์ด้านการวิเคราะห์ทางเทคนิค แต่งไว้ในช่วงยุค 90 หรือเมื่อ 20 ปีก่อน

           Murphy พูดถึง ความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างไขว้ไปมาของตัวแปรสำคัญในตลาดการเงินต่างๆ ไว้ใน Intermarket Technical Analysis (John Wiley & Sons 1991)  ซึ่งประกอบด้วย 1. ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ 2. ราคาหุ้นใน Stock Market 3. Bond Yield ของ US Treasury ใน Debt Market และ 4. ค่าเงินดอลลาร์ใน Currency Market

           โดย Murphy ได้แสดงความสัมพันธ์ที่สำคัญของค่าตัวแปรต่างๆ ที่สามารถเชื่อมโยงกันได้ ไว้เป็นคู่ๆ ได้แก่ 1. สินค้าโภคภัณฑ์  VS  US Treasury   2. US Treasury VS  ดัชนีหุ้น  3.  อัตราดอกเบี้ย VS ค่าเงินดอลลาร์ และ  4. ค่าเงินดอลลาร์ VS  สินค้าโภคภัณฑ์

          โดยในคู่ที่แรก ได้แก่ สินค้าโภคภัณฑ์  VS US Treasury ที่มีแนวโน้มว่า ราคาสินค้าโภคภัณฑ์มักจะปรับตัวไปในทิศทางตรงกันข้ามกับ ราคาพันธบัตรสหรัฐ แต่เป็นไปในทิศทางเดียวกับ Yield ของพันธบัตรสหรัฐ โดยในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจกำลังขยายตัว ความต้องการและราคาของสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยย่อมปรับตัวสูงขึ้นซึ่งสะท้อนด้วยราคาพันธบัตรที่ปรับตัวลดลงและ Yield ที่ปรับตัวสูงขึ้น

          คู่ถัดไป ได้แก่  US Treasury  VS  ดัชนีหุ้น ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน เนื่องจาก ราคาของทั้งพันธบัตรและดัชนีหุ้นมีแนวโน้มจะเปลี่ยนแปลงไปตามภาวะของอัตราดอกเบี้ย (ที่สะท้อนจากภาวะตลาดพันธบัตร) นั่นคือ เมื่ออยู่ในภาวะดอกเบี้ยต่ำ Yield ของพันธบัตรในตลาดก็อยู่ในระดับที่ต่ำ (ราคาพันธบัตรมีราคาสูง) และมีแนวโน้มกระตุ้นที่คนจะนำเงินมาลงทุนหาผลตอบแทนในหุ้นมากขึ้น ส่งผลให้หุ้นมีราคาสูง
          คู่ที่สาม ซึ่งก็คือ ได้แก่ อัตราดอกเบี้ย VS ค่าเงินดอลลาร์ โดยค่าเงินดอลลาร์ มักจะปรับตัวแข็งขึ้น หรือ อ่อนลง จากนโยบายอัตราดอกเบี้ย  โดยจะปรับตัวแข็งขึ้นเมื่อมีแนวโน้มว่าดอกเบี้ยจะปรับตัวขึ้น และอ่อนค่าลง เมื่อมีแนวโน้มว่าดอกเบี้ยจะปรับตัวลดลง
          และคู่ที่สี่ ค่าเงินดอลลาร์ VS  สินค้าโภคภัณฑ์ ที่มีแนวโน้มว่าจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางตรงกันข้าม เนื่องจาก การมีฐานะที่เป็น World Reserve Currency ซึ่งทำหน้าที่เป็นหน่วยทางบัญชี (Unit of Account) ในการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ ทั่วโลก หากไม่พิจารณาถึงปัจจัยอื่น (Ceteris paribus) การอ่อนค่าลงของ US Dollar เพียงอย่างเดียวย่อมส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ ที่โค้ดกันเป็น US Dollar ปรับตัวสูงขึ้นในรูปของเงินดอลลาร์

          โดยในบรรดาการเชื่อมโยงการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของทั้ง 4 ตัวแปรนี้Murphy ให้น้ำหนักหรือความสำคัญกับความสัมพันธ์ของคู่ของ สินค้าโภคภัณฑ์ - US Treasury มากที่สุด โดย Murphy ให้เหตุผลว่าความสัมพันธ์ของคู่นี้ เป็นสะพานที่นำไปสู่ความเข้าใจในความสัมพันธ์ของคู่อื่น ๆ ด้วย ได้แก่  คู่ของสินค้าโภคภัณฑ์ - ดัชนีหุ้น และ คู่ของค่าเงิน US Dollar  ดัชนีหุ้น ด้วย

           อย่างไรก็ดี เนื่องจากวิกฤติหนี้ ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากวิกฤตการณ์การเงินเมื่อ 6  ปีที่แล้วนับตั้งแต่วิกฤติ Lehman Brothers เป็นต้นมา อันเป็นที่มาของภาวะเศรษฐกิจที่เรียกกันว่าเป็นภาวะ "The New Normal" หรือ ภาวะปกติธรรมดาแบบใหม่ ซึ่งทั้งภาครัฐและธนาคารกลางทั่วโลกต่างเร่งอัดฉีดกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยทั้งนโยบายการเงินและการคลัง ซึ่งด้วยเหตุนี้กระมัง ทำให้ความสัมพันธ์แบบเดิมที่ถือเป็นหลักในช่วงทศวรรษที่ 90 (ยุค 90s) มิอาจนำมาประยุกต์ใช้ในภาวะปัจจุบันได้  สอดคล้องกับชื่อของภาวะ The New Normal ซึ่งเป็นภาวะเศรษฐกิจที่มีอัตราดอกเบี้ยใกล้ศูนย์และเต็มไปด้วยความผันผวน อย่างในยุคปัจจุบันนั่นเองครับ

Sleeping Scale สำหรับแต่ละการลงทุน

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 11 ธันวาคม 2014 

         เมื่อเกือบ 40 ปี (ปี ค.ศ. 1973 หรือ พ.ศ. 2516)ที่แล้วที่ Professor  Burton G. Malkiel ได้แต่งหนังสือที่มีชื่อว่า "A Random Walk Down Wall Street"ซึ่งเป็นหนังสือให้ความรู้เกี่ยวกับการลงทุนเบื้องต้นที่มีความสำคัญติดลำดับต้นๆ ในบรรดาหนังสือที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนที่ได้มีการเขียนออกมา ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป Professor Malkiel ก็ได้ปรับปรุงหนังสือ A Random Walk Down Wall Street เวอร์ชั่นต่อๆ มา รวมอีกสิบEdition ให้สอดคล้องกับยุคสมัยและกับเครื่องมือ การลงทุนที่ซับซ้อนขึ้น โดยเวอร์ชั่น หรือ Edition ล่าสุดที่ได้มีการตีพิมพ์ออกมา มีชื่อเต็มว่า "A Random Walk Down Wall Street : The Time-Tested Strategy for Successful Investing" ซึ่งวางจำหน่ายเมื่อ 2 ปีที่แล้ว คือ ในปี ค.ศ.2012

           Dr.Burton เก่งในเรื่องของการอธิบายเรื่องยากๆ ที่มีความสลับซับซ้อนให้เข้าใจง่ายๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการอธิบายถึงรูปแบบการลงทุนในลักษณะต่างๆ เช่น การฝากเงินธนาคาร การซื้อตราสารหนี้ การซื้อหุ้นสามัญ การซื้อทองคำที่มีความเสี่ยงที่แตกต่างกันไปที่อาจจะเหมาะกับบุคคลหนึ่งแต่อาจจะไม่เหมาะกับอีกบุคคลหนึ่ง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ ทัศนคติ และ สถานะการเงิน ของบุคคลนั้นๆ

           ยกตัวอย่างเช่น กรณีของมร.J.P. Morgan (นักการเงินที่มีอิทธิพลที่สุดในสหรัฐ เมื่อยุคต้นศตวรรษที่ 19) ที่ครั้งหนึ่ง เคยมีเพื่อนที่มีความวิตกกังวลมากเมื่อมีหุ้นอยู่ใน Port จนเป็นเหตุให้ไม่สามารถหลับนอนได้ในเวลากลางคืน ซึ่งเมื่อเพื่อนคนนี้มาขอคำปรึกษา มร.J.P. Morgan ได้ตอบเพื่อนผู้นั้นไปว่า ให้ทยอยขายหุ้นออกไปจนกว่าจะเหลือถืออยู่ที่ระดับหรือจุดที่สามารถนอนหลับได้ หรือ Sleeping Point  การกรณีที่เพื่อนของ J.P. Morgan มีปัญหาเรื่องการนอนหลับ ข้างต้นดูเหมือนกับว่า สอดคล้องกับบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นบ้านเราเมื่อ 2-3 วันนี้ พอดี  ที่ดัชนีตลาดหุ้น SET Index ได้ปรับตัวลงค่อนข้างแรงใน 2 วันทำการซื้อขายที่ผ่านมา (ลดลง 40 จุดใน 2 วัน) ผสมโรงกับข่าวลือในด้านร้ายๆ ต่างๆ ที่ถูกปล่อยออกมา ตลอด 2 วันมานี้ ทำให้หลายคนผู้ซึ่งยังคงให้น้ำหนักกับการลงทุนในหุ้น  คงเริ่มมีอาการหงุดหงิด กังวลใจ หรืออาจจะมีปัญหากับการนอนเหมือนเพื่อนของ J.P. Morgan คนดังกล่าว รวมถึงหลายท่านอาจเริ่มมองหา Sleeping Point  ของตนกันบ้างแล้ว

           Concept ในเรื่องของ Sleeping Point นี้เอง ทำให้ Prof.Malkiel ได้นำเสนอ Sleeping Scale สำหรับการลงทุนแต่ละประเภท เพื่อนำไปเปรียบเทียบกับ  สภาพของการนอนหลับ อาทิ การฝากเงินในธนาคารแบบออมทรัพย์เสนอให้นำไป เทียบได้กับ สภาพการนอนแบบ "Semicomatose" ซึ่งแปลว่า "การหลับสนิทชนิดไม่รู้สึกตัวที่ปลุกยังไงที่ไม่ตื่น" ทั้งนี้ เนื่องจากการฝากเงินในธนาคารมีความเสี่ยง ที่ต่ำ ๆ มาก ถอนเมื่อไรก็ได้ เงินต้นได้รับความคุ้มครองจากสถาบันประกันเงินฝาก และต้องแลกมาด้วยอัตราผลตอบแทนที่ต่ำมากๆ

           ระดับถัดไปของ Sleeping Scale ของDr. Burton ก็คือ การลงทุนในกองทุนตราสารเงิน หรือ Money Market Fund และ/หรือ การฝากเงินกับธนาคารแบบประจำ 6 เดือน ถูกนำเสนอให้ไปเทียบได้กับสภาพการนอนแบบ "Sound night's sleep" หรือแปลว่า "หลับสนิทเป็นอย่างดี" ทั้งนี้ เนื่องจากการลงทุนใน Money Market และการฝากประจำกับธนาคาร มีความเสี่ยงค่อนข้างต่ำ และได้อัตราผลตอบแทนที่สูงกว่าการฝากแบบออมทรัพย์

           ถัดมา Prof. Malkielได้จัดให้การซื้อและถือครองหุ้นกู้เอกชนของบริษัทที่มี เครดิตดีๆ และถือจนครบกำหนดอายุ (Held to Maturity) เทียบได้กับสภาพการนอนแบบ "An occasional dream or two, some possibly unpleasant" หรือแปลได้ว่า "นอนหลับแบบฝันบ้างเป็นบางครั้ง" เนื่องจาก การลงทุนในหุ้นกู้เอกชนข้างต้นจะมีความเสี่ยงต่ำ แต่อาจจะมีปัญหาเรื่องสภาพคล่องและเสียโอกาสหากอัตราดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้นในอนาคต

           Sleeping Scale ลำดับถัดไป ก็คือสภาพการนอนแบบ "Some tossing and turning before you doze, and vivid dreams before awakening"  หรือแปลว่า "นอนพลิกไปมาก่อนหลับและฝันเสมือนจริงก่อนตื่น" เทียบการลงทุนในพอร์ตที่มีการกระจายความเสี่ยงแล้วของหุ้น Blue-chip ในสหรัฐ  ซึ่งมีความเสี่ยงอยู่บ้างแต่ผลตอบแทนในระยะยาวอยู่ในระดับที่น่าพึงพอใจ

           ขณะที่การลงทุนในพอร์ตที่มีการกระจายความเสี่ยงแล้วของหุ้น Small Cap และ Growth Company ในสหรัฐ Dr.Burton ได้กำหนด Sleeping Scale ในลักษณะ "Nightmares not uncommon but, over the long run, well rested" หรือแปลว่า "ฝันร้ายบ้างบางครั้งแต่ก็ยังถือว่าเป็นการพักผ่อนที่เพียงพอ" ทั้งเนื่องจากพอร์ตหุ้นSmall Cap และ Growth ดังกล่าวมีความเสี่ยงสูงกว่า  พอร์ตหุ้น Blue-chip แต่มีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยที่สูงกว่า

           ในขณะที่ Sleeping Scale สำหรับการลงทุนในพอร์ตที่มีการกระจาย ความเสี่ยงแล้วของหุ้นในตลาด Emerging Market ได้ถูกนำไปเปรียบเทียบกับ สภาพการนอนที่เป็น "Vivid dreams and occasional nightmares" หรือ แปลว่า "ฝันเสมือนจริงและฝันร้ายเป็นบางครั้ง" ทั้งนี้ พอร์ตหุ้นใน Emerging Market มีความเสี่ยงที่สูงมากกว่า พอร์ตหุ้นในสหรัฐ แต่สามารถจะสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยที่สูงกว่า

           ลำดับบนสุดของ Sleeping Scale ของProf.Malkielก็คือ สภาพการนอนแบบ "Bouts of insomnia" หรือแปลว่า "ประสบปัญหาเป็นโรคนอนไม่หลับ" ได้ถูกนำไปเปรียบเทียบกับการลงทุนในทองคำ ซึ่ง Dr.Burton มีความเห็นว่าทองคำเป็น การลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงมาก เนื่องจากBurton เชื่อว่าทองคำมีอัตราผลตอบแทน มีแนวโน้มที่ไม่ชัดเจนและแไม่สามารถที่จะพยากรณ์ได้

           ตอนท้าย Burton สรุปเรื่อง Sleeping Scale ไว้ว่า บุคคลในแต่ละช่วงอายุ สมควรที่จะมีจุดที่สามารถหลับได้ หรือ Sleeping Point ที่แตกต่างกัน อาทิ  นักธุรกิจสาวไฟแรง ย่อมสมควรจะมีจุดหลับต่างจาก แม่ม่ายที่สุขภาพย่ำแย่

           โดย Burton ได้ให้ Guideline ถึงสัดส่วนการลงทุนในสำหรับแต่ละบุคคลจำแนกตามช่วงอายุเอาไว้ให้ สอดคล้องกับ Sleeping Point  อาทิ สำหรับบุคคลที่เพิ่งเรียนจบอายุ 20-30 ปี น่าจะมีสัดส่วนการลงทุนในหุ้น 70%  ตราสารหนี้ 15% อสังหาริมทรัพย์ 10% และเงินสด 5% 

           ขณะที่ ผู้ที่อยู่ในวัยเกษียณอายุ สมควรจัดสัดส่วนการลงทุนในหุ้น 40% ตราสารหนี้ 35% อสังหาริมทรัพย์ 15% และ เงินสด 10% ของเงินลงทุนทั้งหมด

           ทั้งนี้ท่านผู้อ่านที่สนใจสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในหนังสือ A Random Walk Down Wall Street เป็นหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนขั้นพื้นฐานที่นักลงทุน ทั้งหลายสมควรจะต้องอ่านเล่มหนึ่งครับ

การสนับสนุน'ที่รัฐพึงกระทำ

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 9 ตุลาคม 2014

          ช่วงที่ผ่านมา ประเด็นเรื่องของ การให้เงินสนับสนุนชาวนาตามจำนวนพื้นที่เพาะปลูกสูงสุดไม่เกิน 15 ไร่ในอัตราไร่ละหนึ่งพันบาท ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง บ้างก็ไม่เห็นด้วยโดยเห็นว่าเป็นนโยบายประชานิยม บ้างก็เห็นด้วย แถมยังบอกว่าอัตราเงินสนับสนุนที่ไร่ละพันนี้น้อยเกินไป โดยเมื่อดูตามวัตถุประสงค์ของการโครงการนี้ ก็น่าจะเป็นประโยชน์แก่พี่น้องเกษตรกร

           แต่สำหรับในระยะยาว ก็ยังมีความจำเป็นที่ภาครัฐต้องเป็นเจ้าภาพในการวางแผนสร้างแผนแม่บทในการกำหนดมาตรการต่าง ๆ ด้านการเกษตรอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้เหมาะสมสอดคล้องทั้งกับสภาวะแวดล้อม และ/หรือ ช่วงเวลาต่อ ๆ ไปในอนาคต

           ทั้งนี้ เมื่อย้อนไปดูตั้งแต่สมัยโบราณกาลมาจนถึงปัจจุบัน ปัญหาเรื่องของเกษตรกรได้ถูกหยิบยกขึ้นมาพิจารณาตั้งแต่หลายพันปีมาแล้ว อาทิ ตั้งแต่สมัย กรีกหรือโรมัน เรื่อยมาจนถึงมหาอำนาจในปัจจุบันอย่างสหรัฐ เนื่องจากลักษณะธรรมชาติอันเป็นรูปแบบเฉพาะของการเกษตร หรือ เกษตรกรรม ที่เป็นอาชีพที่ค่อนข้างเปิดกว้างสำหรับผู้คนแต่ผลผลิตที่ได้มาจากการเกษตรส่วนใหญ่มักจะมีลักษณะทีมีความต้องการที่ค่อนข้างจะไม่ยืดหยุ่น (Somewhat Inelastic Demand) อีกทั้งต้องเผชิญกับโครงสร้างการตลาดของฝั่งด้านซื้อ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นคนกลางที่โดยปกติจะมี่เพียงไม่กี่ราย ทำให้เกษตรกรมักอยู่สถานะ Price Taker หรือ ต้องยอมรับราคาที่คนกลางเสนอมา

           นอกจากนี้ เนื่องจากธรรมชาติของสินค้าเกษตรเองที่บางประเภทเน่าเสียง่ายและมักจะมีลักษณะที่เป็นฤดูกาล รายได้จากการประกอบอาชีพเป็นผู้ผลิตสินค้าทางการเกษตร มักจะมีส่วนแบ่งในสัดส่วนที่ค่อนข้างต่ำถึงต่ำมาก ๆ เมื่อเทียบเคียงกันระหว่างราคาขายปลีกและราคาหน้าฟาร์ม อาทิ ในบางฤดูกาลสำหรับสินค้าบางประเภทมีราคาหน้าฟาร์มไม่ถึงกิโลละบาท แต่มีราคาขายปลีกถึงกิโลละ 20 บาท

           ปรากฏการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นไม่เฉพาะแต่ในประเทศไทย แต่เกิดขึ้นกับเกษตรกรทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่ที่สหรัฐ ที่เกษตรกรค่อนข้างมีฐานะและเข้มแข็ง โดยสัดส่วนของราคาที่เกษตรกรอเมริกันได้รับเฉลี่ยจากการขายสินค้าของตนก็ยังได้สัดส่วนเพียง 25% หรือ ผ ของราคาขายปลีก(ข้อมูลจาก USDA)สำหรับส่วนที่ใหญ่ที่เหลือกว่า75%  หรือมักถูกเรียกว่าเป็น Marketing Marginนั้นตกเป็นรายได้ของผู้ประกอบธุรกิจ การเกษตรต่าง ๆ ผู้ทำหน้าที่รับซื้อจากฟาร์มแล้วทำการขนส่ง เก็บรักษา การตลาด ฯลฯ ไปจนถึงผู้บริโภคสินค้าเกษตรชนิดนั้น ๆ

           จึงเป็นเรื่องธรรมดา ที่ผู้มีอำนาจรัฐไม่ว่าประเทศหรืออาณาจักรที่ปกครองด้วยระบอบใด มาตรการช่วยเหลือ/แทรกแซงภาคเกษตรย่อมมีความจำเป็นและมีให้เห็นอยู่เสมอ โดยมาตรการการช่วยเหลือ/แทรกแซงภาคเกษตรไม่ว่าจะเป็นด้านการผลิต ราคา หรือ รายได้ ไม่ว่าจะเป็นประเทศใดๆก็จะ หนีไม่พ้นและ/หรือ วนเวียนหลักการใหญ่ๆ5 หลักได้แก่ 1. การประกาศราคาควบคุม 2. การเข้ารับซื้อสินค้าและเก็บรักษาสินค้าโดยรัฐบาล 3. การสนับสนุนทางเงินโดยตรงแก่ผู้ที่เกี่ยวข้อง 4. การควบคุมจำนวนผลผลิต และ 5. โครงการรณรงค์กระตุ้นการบริโภคสินค้าเกษตรชนิดนั้น ๆ

           มาตรการต่าง ๆ ที่ได้กล่าวมาต่างมีข้อดี/ข้อด้อยในตัวมันเอง ซึ่งอาจจะเหมาะสม ในบางสถานการณ์และอาจจะล้าสมัยแล้วเมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่ง แต่ก็อาจได้ถูกนำกลับขึ้นมาใช้อีกหลายครั้งหลายคราเมื่อเวลาเหมาะสม

           อย่างไรก็ดี ในช่วงหลายพันปีมานี้ ตัวอย่างของประเทศที่มาตรการช่วยเหลือ/แทรกแซงภาคเกษตรมีการประกาศออกมาเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างชัดเจน ได้แก่ ประเทศสหรัฐิ ซึ่งมีกฎหมายที่รู้จักกันในนามของ USFarm Bill ที่ผ่านสภาคองเกรสออกมาบังคับใช้ตั้งแต่สมัย Great Depression ในช่วงทศวรรษที่1930หรือเมื่อกว่า 80 ปี มาแล้ว

           ในสมัยนั้น US Farm Bill ฉบับแรกมีชื่อเรียกว่าAgriculture Adjustment Act ได้ถูกตราออกมาใช้ในสมัยประธานาธิบดี Franklin D. Roosevelt เพื่อช่วยเหลือภาคเกษตรในสินค้าสำคัญ ได้แก่ ข้าวโพด ข้าวสาลี ถั่วเหลือง ฝ้าย ยาสูบ น้ำตาล และนม โดยกฏหมายนี้ในช่วงต้นมุ่งเน้น ให้รัฐบาลเข้าช่วยเหลือเกษตรกรด้วยวิธีการจ่ายเงินชดเชยให้เกษตรกรในกรณีที่เกษตรกรเห็นด้วยที่จะไม่ปลูกสินค้าเกษตรชนิดหนึ่ง และ/หรือ อนุญาตให้รัฐบาลเข้าซื้อหรือแทรกแซงสินค้าเกษตรโดยตรงเพื่อรักษาเสถียรภาพราคาแล้วค่อยนำออกมาขายในช่วงเวลาที่เหมาะสม (อ่านมาถึงตอนนี้แล้ว รู้สึกถึงวิธีการของสหรัฐเมื่อเกือบร้อยปีมาแล้ว คล้าย ๆ กับวิธีการในประเทศของเราในช่วงที่ผ่านมาเลยหรือป่าวครับ)อีกทั้งมีการระบุไว้อย่างชัดเจนว่าจะต้องมีการ UpdateFarm Bill ในรอบเวลาทุก ๆ 5 ปี

           การกำหนดที่มีกรอบกำหนดระยะเวลาไว้เช่นนั้น ทำให้Farm Bill ต่อ ๆ มามีโอกาสที่จะเพิ่มเติมเนื้อความที่ให้ความสำคัญของภาคเกษตรในแง่มุมที่กว้างขึ้นด้วย อาทิ ได้มีการบรรจุเอาหลักการเรื่องการบริหารความเสี่ยงภาคการเกษตร การพัฒนาชนบท การให้สินเชี่อระดับฟาร์มโดยFarm Bill ฉบับล่าสุดนี้ หรือAgricultural Act of 2014 ใช้สำหรับปี 2014-2018 เพิ่งผ่านสภาและบังคับใช้เมื่อช่วงต้นปีนี้เอง

           จะเห็นได้ว่า วัตถุประสงค์ดังเดิมของการแทรกแซงภาคการเกษตรของรัฐ  มิใช่เป็น sense เชิงประชานิยมซะทีเดียว แต่เป็น sense ในเรื่องของ การกระจายรายได้และความเป็นธรรมในสังคม ด้วย ซึ่งก็คือ 1) การสนับสนุน หรือเพิ่มรายได้ในระดับฟาร์ม 2) การลดความผันผวนของราคาและรายได้  3) การลดอัตราการประกอบอาชีพเกษตรกร และ 4) การสร้างความมั่นคงทางอาหาร เป็นต้น ดังนั้นการที่มีการหยิบยกเอาโครงการการช่วยเหลือภาคเกษตรอย่างโครงการช่วยเหลือชาวนาไร่ละหนึ่งพันบาท ไปเปรียบเทียบกับโครงการเช็คช่วยชาติซึ่งแจกให้แก่ผู้มีรายได้น้อยของรัฐบาลชุดผ่าน ๆ มา ส่วนตัวผมเองมองเห็นว่าเป็นคนละเรื่องเดียวกัน เนื่องจากมีความแตกต่างกันทั้งด้านวัตถุประสงค์ และ กลุ่มเป้าหมาย แต่อาจจะเหมือนตรงที่เป็นการจ่ายเงินของภาครัฐออกไปเท่านั้น

           สำหรับแนวทางการแก้ปัญหาเรื่องสินค้าเกษตรในระยะยาวและอย่างยั่งยืนนั้น คงต้องจำแนกออกเป็นประเภทของสินค้า เนื่องจากสินค้าแต่ละประเภทมีโครงสร้างการผลิตและการตลาดที่แตกต่างกัน โดยในช่วงปลายทางที่ผมอยากจะเห็น (หลังจากจัดโครงสร้างต่าง ๆ อย่างเหมาะสมแล้ว) นั่นคือ ภาครัฐต้องเร่งให้ความสำคัญในเรื่องของ โครงการรณรงค์กระตุ้นการบริโภคสินค้าเกษตรอย่างจริงจัง โดยอาจจะนำทฤษภีในเรื่องของ Market Segmentation และ Product Positioning มาใช้อย่างเต็มรูปแบบ

           ดังตัวอย่าง ที่เอกชนยักษ์ใหญ่ด้านการเกษตรรายหนึ่งซึ่งมีความเข้าใจในเรื่องของสินค้าเกษตรเป็นอย่างดีในทุกแง่มุม ได้มุ่งเน้นทำการตลาดให้สินค้าเกษตรที่เป็นอาหารได้กลายไปเป็น Snack ไป ซึ่งปัจจุบันน่าจะสำเร็จได้ในระดับหนึ่งแล้ว อันเป็นเป็นการสร้างผลกำไรให้กับบริษัทได้อย่างเป็นกอบเป็นกำเลยทีเดียวครับ

A Tale of Two Economies

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 11 กันยายน 2014

          ในช่วงที่ผ่านมา หลายท่านที่มีโอกาสได้ตามภาวะตลาดเงินตลาดทุนของประเทศแม่แบบทุนนิยมสมัยใหม่อย่างสหรัฐ จะพบระดับราคาของตลาดหุ้นวัดตามดัชนียอดนิยมอย่าง Dow Jones Industrial Average(DJIA) หรือ S&P 500 ได้สร้างสถิติปรับตัวขึ้นสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์


           โดย DJIA สามารถผ่านระดับแนวต้านที่สำคัญที่ 1,700 จุดไปได้(เมื่อกลางเดือนกรกฎาคม 57 ที่ผ่านมา) ขณะที่ S&P500 ก็ได้ปรับตัวขึ้นมาทดสอบระดับที่มีนัยทางจิตวิทยาที่ 2,000 จุดเมื่อปลายเดือนส.ค.นี้ (เทียบกับระดับยอดเดิมก่อนวิกฤตเศรษฐกิจแฮมเบอร์เกอร์เมื่อ 6 ปีที่แล้ว ที่ DJIA มีระดับสูงสุดที่ 14,198.10 และ S&P500 มีระดับสูงสุดที่1,576.09)

           สอดคล้องไปกับภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐ ที่เป็นหนึ่งในฟองสบู่ที่เพิ่งแตกไปในรอบที่แล้ว ล่าสุด  Property Indexes ที่สำคัญได้แก่ National Property Index (NPI) ของ National Council of Real Estate Investment Fiduciaries (NCREIF) ซึ่งใช้วัดผลตอบแทนของอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ (Commercial) ขณะที่ ดัชนี S&P/Case-ShillerHome Price Index (CSI) ที่นิยมใช้วัดระดับราคาอ้างอิงอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย (Residential) ต่างปรับตัวขึ้นมาที่ระดับที่สูงกว่าระดับต่ำสุดถึง68% (จาก 1472.34 มาอยู่ที่ 2468.40)และ 30% (จาก 134.047 มาอยู่ที่ 172.33) ตามลำดับ

           ขณะที่ ตัวเลขดัชนีวัดภาวะภาคการผลิตของสหรัฐ หรือที่รู้จักกันดีใน นามของ ISM Manufacturing Index ที่ชื่อเต็มว่าISM Purchasing  Managers' Index ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 15 ติดต่อกันมาอยู่ที่ระดับ 59.0 เทียบกับระดับ 30 กว่า ๆ  ในช่วงจุดต่ำสุด ซึ่งตัวเลขนี้เป็นทีรู้กันดีว่าใช้บ่งบอกทิศทางของกิจกรรม ที่เกี่ยวข้องกับการผลิต อาทิ กิจกรรมสั่งซื้อสินค้า กิจกรรมการจ้างงาน ภาวะสินค้าคงคลัง กิจกรรมการส่งมอบ-รับมอบสินค้า ซึ่งสามารถใช้เป็นแสดงทิศทางแนวโน้มภาวะภาคการผลิต โดยค่าดัชนีที่มากกว่า 50.0 มีความหมายว่าภาวะภาคการผลิตมีแนวโน้มเป็นขาขึ้น

           นอกจากนี้เมื่อพิจารณาถึง ภาวะการจ้างงานที่มีการรายงานล่าสุดโดยกระทรวงแรงงาน สหรัฐในเดือนส.ค.2557 นี้ อัตราการว่างงานอยู่ (Unemployment Rate) ที่ระดับ 6.1% เปรียบเทียบกับระดับ 10% ในปี 2552 ซึ่งแม้จะมีข้อโต้แย้งว่าตัวเลขอัตราการว่างงานนี้ปรับตัวลดลงเนื่องมาจากตัวเลขParticipate Rate ที่ลดลงมาเหลือแค่ 62.8% เทียบกับที่ระดับประมาณ 66 % ในช่วงก่อนวิกฤต แต่การปรับตัวลดลงของอัตราการว่างงานมาเหลือแค่ 6.1 % นี้ก็มีน้ำหนักมากทีเดียว ที่ธนาคารกลางสหรัฐจะพิจารณาปรับลด/เลิก โครงการ Quantitative Easing (QE) ที่ดำเนินมาเนิ่นนานหลายปีแล้ว

           แต่ก็เป็นที่น่าสังเกตว่าในปี2557นี้  สินค้าโภคภัณฑ์ที่มีอยู่ช่วงหนึ่งใน อดีต ที่มักจะปรับตัวเพิ่มขึ้นไปด้วยกันกับการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาหุ้น สอดคล้องกับสภาพคล่องที่ถูก Pump ของมาจากธนาคารกลางสำคัญทั่วโลก มาปีนี้สินค้าโภคภัณฑ์ทั้งหลายส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น พลังงาน โลหะพื้นฐาน โลหะมีค่า สินค้าเกษตร ต่างก็มีแนวโน้มของราคาที่ทรง ๆ และหรือ มีแนวโน้มปรับตัวลดลง

           ทั้งนี้อาจเป็นเพราะได้รับแรงกดดันจากการข้อเท็จจริงเรื่องการค่อย ๆ ลดลงของปริมาณเงินตามโครงการ Quantitative Easing ของธนาคารกลางสหรัฐ ผนวกกับการเทคโนโลยีอันทันสมัยที่ถูกพัฒนาออกแบบมาใช้ขุดเจาะพลังงานด้วยวิธีใหม่(อาทิ Horizontal Drilling) ก็มีส่วนอย่างมากที่ทำให้ราคาพลังงานในสหรัฐไม่ได้ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ในช่วงที่ผ่านมา

           อย่างไรก็ดี จากปัจจัยที่ดูเหมือนว่าเศรษฐกิจในสหรัฐกำลังจะไปด้วยดี พิจารณาจากทั้งตลาดหุ้น ภาวะอสังหาริมทรัพย์ การจ้างงาน หรือ แนวโน้มการ

          ไม่เพิ่มขึ้นราคาพลังงาน  แต่ผลการสำรวจล่าสุดโดย Gallup Surveyในเดือนส.ค. 2557 รายงานว่า 38% ของคนอเมริกันเห็นว่าเศรษฐกิจดีขึ้น ขณะที่ 52% ของคนอเมริกันเห็นว่าเศรษฐกิจแย่ลง โดย Gallup สรุปว่าปัจจุบันคนอเมริกันยังคงมีความรู้สึกต่อเศรษฐกิจในด้านลบมากกว่าด้านบวก แต่ลบไปกว่าในช่วงปีต้น ๆ ของวิกฤตเศรษฐกิจรอบที่ผ่านมา จากผลการสำรวจข้างต้น ค่อนข้างจะสอดคล้องกับตัวเลขของผู้มีรายได้น้อยที่ขอเข้าร่วมโครงการ Food Stamps หรือ โครงการแจกคูปองอาหารของรัฐบาลสหรัฐ ซึ่งเป็นโครงการที่แบ่งเบาภาระค่าอาหารของครัวเรือนอเมริกันผู้มีรายได้น้อย  อาทิ ครัวเรือนที่ประกอบด้วย 2 คน หากรายได้รวมสุทธิน้อยกว่า US$1,293 หรือ ประมาณ 42,000 บาทต่อเดือนจะมีสิทธิได้รับคูปองอาหาร หรือ Food Stamps จากรัฐบาลเดือนละ US$367 หรือเกือบ 12,000 บาทต่อเดือน

           โดยปัจจุบันตัวเลขผู้มีรายได้น้อยที่เข้าร่วมโครงการ Food Stamps  ตามข้อมูลล่าสุดเดือนพ.ค.2557 ถึง 46.2 ล้านคน หรือคิดเป็นเกือบ 15%  ของจำนวนประชากรอเมริกัน เปรียบเทียบกับแค่ประมาณ 27 ล้านคน หรือ 9% ในช่วงก่อนวิกฤติเศรษฐกิจ ซึ่งแน่นอนว่าหากมีการไปถามผู้ที่ยังรับคูปองอาหารจากรัฐบาลเพื่อการยังชีพอยู่ คำตอบที่ได้รับก็คือเศรษฐกิจยังไม่ได้ดีขึ้นมาเลยนับตั้งแต่วิกฤติเศรษฐกิจ

           การที่ตัวเลขในระดับมหภาค (หรือทาง Macroeconomics) ที่ออกมา ค่อนข้างดี แสดงให้เห็นถึงการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่มีอย่างชัดเจน อย่างไรก็ดี  การที่ผลของการฟื้นตัวดังกล่าวยังไม่สามารถส่งผลลงมาถึงระดับล่างตามที่ ปรากฏในผลการสำรวจในระดับครัวเรือน(หรือ Microeconomics)  สื่อให้เห็นถึงการไม่บรรจบกันของเศรษฐกิจ ซึ่งเป็น 2 ขั้ว ในลักษณะของ "A Tale of Two Economies"(ซึ่งเป็นการแผลงมากจาก "A Tale of Two  Cities" ผลงานอันโด่งดังของ ชาร์ส ดิกเก้นส์ อีกทั้งก็พ้องไปกับทฤษฎีการเมือง อันลือลั่นเรื่อง "สองนคราประชาธิปไตย" ของดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์  อดีตหัวหน้าพรรคมหาชน)

           โดย ขั้วแรกได้แก่ที่ Wall Street ที่ภาวะตลาดหุ้นกำลังพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและมีผู้คนภาคการเงินกำลังมีความสุขกับระดับราคาหุ้น ที่ปรับตัวสูงขึ้นมาเป็นประวัติการณ์ ในขณะที่ อีกขั้วหนึ่งที่Main Street ที่พนักงานเพื่อที่จะได้งานทำ อาจจะยอมทำงานที่มีตำแหน่งต่ำกว่า ด้วยอัตราค่าจ้างที่ลดลง ซึ่งยังคงอาจจะต้องขอรับ Food Stamps จากรัฐบาลต่อไป

           กลับมาที่บ้านเรา ก็ทำนองเดียวกันที่ถึงแม้ตัวเลขต่าง ๆ ทางเศรษฐกิจในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้น การส่งออก ผลโพลล์สำนักต่าง จะออกมาดีขึ้นมามากเมื่อเทียบกับช่วงปลายปีที่สภาวะการเมืองยังไม่แน่นอน แต่ก็ต้องยอมรับว่า เมื่อได้ไปสัมผัสภาวะการค้าขายในระดับของชุมชน หรือไปถามพ่อค้าแม่ขายตามตลาดนัด แทบทุกรายจะยังออกว่า ภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันยังคงไม่ค่อยคึกคักเท่าที่ควร ซึ่งแน่นอนว่าเป็นผลพวงที่ปัจจัยด้านบวกในระดับบน ยังไม่สามารถจะส่งผลลงมาสู่ภาวะเศรษฐกิจในระดับต่ำกว่าได้มากนัก สะท้อนให้เห็นถึงภาวะ Two Economies ซึ่งเป็นที่ชัดเจนว่าคงต้องใช้เวลา และหรือวิธีการในการปรับสมดุลดังกล่าวอีกพอสมควร

English-Dutch-JapaneseAuctions

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 14 สิงหาคม 2014
         
         งานวันแม่ปีนี้ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ร่วมกับสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานต่างๆ ได้จัดงานอย่างยิ่งใหญ่ ณ บริเวณสวนอัมพรและลานพระราชวังดุสิต ภายในงานมีนิทรรศการและการแสดงต่าง ๆ  อาทิ การแสดงดนตรี การฉายภาพยนตร์ โชว์รถโบราณ และมีพิธีการจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล ที่สนามหลวง เมื่อตอนค่ำของวันที่ 12 ส.ค. 2557

          และในช่วงเทศกาลเช่นนี้"ดอกมะลิ" ถือได้ว่าเป็นสินค้ายอดนิยมที่หลายท่านซื้อหา อีกทั้งได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของวันแม่ไปแล้ว เนื่องจากดอกมะลิเป็นดอกไม้มงคลพื้นบ้านของไทย ที่เป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ ผู้คนจึงนิยมนำดอกมะลิไปใช้บูชาพระ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือนำไปกราบไหว้พ่อแม่และผู้มีพระคุณทั้งหลายซึ่งก็เป็นเรื่องปกติสำหรับช่วงนี้ของทุกปีว่า ราคาดอกมะลิและดอกไม้ทดแทนอื่น จะมีราคาที่ปรับตัวตามความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นในเทศกาล

          โดยในปีนี้ดอกมะลิได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเวลาปกติที่กิโลกรัมละ 300 บาทไปเป็น 500 - 1,200 บาทและแพงอย่างมากในจังหวัดที่ห่างไกลและสถานการณ์ยังไม่ปกติอาทิ ที่ จ.ยะลา ทราบว่าราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นถึงกิโลกรัมละ 2,000บาท ขณะที่ดอกไม้ที่เป็นสินค้าทดแทนอย่าง ดอกรัก ก็ได้มีราคาที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน อาทิ จาก 50 บาท ไปเป็น 200 บาท

          การปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาดอกไม้นี้ ว่ากันว่าเป็นไปตามกลไกของราคากลาง ที่อ้างอิงจาก "ปากคลองตลาด" แหล่งจำหน่ายดอกไม้ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย  ซึ่งพ่อค้าแม่ค้า (ที่ไม่ใช่เป็นเจ้าของสวนดอกไม้เอง) จะเป็นผู้รับดอกไม้มาขายต่อ

          "ปากคลองตลาด"หรือ ศูนย์กลางการซื้อขายดอกไม้ที่สำคัญและใหญ่ที่สุดของประเทศนี้ ตั้งอยู่บริเวณเชิงสะพานพุทธฯ ติดกับโรงเรียนสวนกุหลาบฯการค้าขายดอกไม้เป็นในลักษณะที่ ผู้ปลูก และ/หรือ ผู้ขายส่ง จะนำดอกไม้มาตั้งขาย เพื่อรอ ผู้ที่ต้องการจะซื้อ ด้วยวิธีการและราคาซื้อขายก็เป็นไปตามที่เจรจาตกลงกัน  ซึ่งเป็นได้ทั้งลักษณะของการขายปลีกหรือส่ง ตามแต่ความสะดวกและความพึงพอใจของผู้ซื้อและผู้ขาย(แต่ด้วยเทศกาลวันแม่ในปีนี้ มีความพิเศษกว่าทุกปี  นั่นคือเป็นวันหยุดยาวถึง 4 วัน ทำให้มีรายงานว่าปากคลองตลาดในปีนี้มีความคึกคักน้อยลงไปจากปีก่อน ๆ)

          เมื่อกล่าวถึงระบบการค้าขายดอกไม้ที่ปากคลองตลาด ผมอดไม่ได้ที่จะ กล่าวถึงระบบการค้าขายดอกไม้ในตลาดกลาง ดอกไม้ของประเทศผู้ส่งออกดอกไม้รายยักษ์ใหญ่อย่างเช่น ฮอลแลนด์ หรือ เนเธอร์แลนด์ (ดอกไม้จากฮอลแลนด์ล้วนมีราคาแพงทั้งสิ้น เช่น ดอกลิลลี่ หรือ ดอกทิวลิป เป็นต้น) ซึ่งเมื่อพิจารณาดูแล้วจะแตกต่างไปจากระบบการค้าขายที่ปากคลองตลาดอย่างมาก

          เนื่องมาจากตลาดกลางดอกไม้ในฮอลแลนด์ มีระบบการซื้อขายดอกไม้ที่เป็นลักษณะเฉพาะที่เรียกว่าการประมูลแบบดัตช์ (Dutch Auction)  ซึ่งเป็นวิธีการค้าขายดอกไม้ที่กล่าวได้ว่าเป็นวัฒนธรรมของชาวฮอลแลนด์ ถึงขนาดเป็นที่กำเนิดของปรากฏการณ์ ที่มีการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่าเป็นหนึ่งในตัวอย่างของภาวะฟองสบู่แตกครั้งใหญ่ที่สุดของวงการการค้า ที่รู้จักกันดีในชื่อของ The Tulip-Bulb Craze

          ตามตำราแล้ว การประมูล หรือ Auction จะสามารถแบ่งออกเป็นหลายรูปแบบ เช่น การประมูลแบบอังกฤษ (English Auction หรือ ) การประมูลแบบดัตช์ (Dutch Auction)  การประมูลโดยเปิดเผยในตลาดที่จัดตั้งอย่างเป็นทางการ (Auction in the Exchange) หรือ ประมูลแบบยื่นซองปิดผนึก (Sealed-Bid Auction) เช่น การประมูลที่มีการยื่นซองประมูลงานก่อสร้าง หรือ การยื่นซองประมูลซื้อข้าวจากรัฐบาล

          ดูเหมือนว่าการประมูลที่เป็นที่คุ้นเคยของคนทั่วๆ ไปที่สุด คือ การประมูลแบบอังกฤษ (English Auction)หรือมีอีกชื่อหนึ่งว่า the open ascending price auction ซึ่งผู้ซื้อเสนอราคาเข้ามาในระบบ และราคาเสนอซื้อสูงสุด จะถูกแสดงผลให้ทุกคนได้เห็น โดยผู้ซื้อสามารถเสนอราคากี่ครั้งก็ได้จนถึงเวลาที่ปิดการประมูล

          ผู้ชนะการประมูลคือผู้เสนอราคาสูงที่สุด ตัวอย่างของ English Auction เช่นการประมูลเพชร หรือ ภาพเขียน ใน  AuctionHouse ในทวีปยุโรปการประมูลป้ายทะเบียนรถยนต์ของกรมขนส่งทางบกหรือ การประมูลพระเครื่องพระบูชาตามเว็บไซต์ต่าง ๆ เป็นต้น

          แต่วิธีของ Dutch Auction ซึ่งเป็นวิธีการประมูลดอกไม้ในตลาดกลางดอกไม้ในฮอลแลนด์ จะแตกต่างไปจากวิธี English Auction (ที่เป็นที่คุ้นเคยกันมากกว่า) ตรงที่ว่า Dutch Auction นี้ ผู้ขายจะกำหนดราคาเสนอขาย สำหรับสินค้าตนไว้สูงที่สุด แล้วคนขายจะค่อยๆ ลดราคาขายของตนลงมา เช่น แรกเริ่มกำหนดขายดอกไม้ที่ 100 บาท ต่อมาราคาก็จะไหลลดลงไปเรื่อยๆ เป็น 99...98...97...96 ตามนาฬิกาที่เรียกว่า Dutch Clock  เมื่อราคาลดมาอยู่ในระดับที่ผู้ซื้อต้องการซื้อ ผู้ซื้อรายแรกที่เคาะหยุดนาฬิกา จะเป็นผู้ชนะ ณ ระดับราคาที่สั่งให้หยุดไว้

          Dutch Auctionมีข้อดีกว่า English Auction ตรงที่การประมูลนี้รอบหนึ่งจะใช้เวลารวดเร็วมาก ไม่ต้องมานั่งรอเวลาให้ปิดประมูลแบบ English Auction (ซึ่งบางครั้งรอเป็น 2-3 สัปดาห์ เลยก็มี) เหมาะสำหรับการประมูลขายสินค้าที่เหี่ยวเฉาเร็วอย่างดอกไม้ ซึ่งต้องจำหน่ายให้ถึงมือผู้บริโภคอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และการค่อย ๆ ลดลงของราคาสินค้า ในระยะกระบวนการประมูลที่แสดงโดย Dutch Clock ทำให้ Dutch Auction มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า the open descending price auction

          อย่างไรก็ดี ที่ประเทศญี่ปุ่น ก็มีวิธีการประมูลอีกรูปแบบหนึ่งเรียกว่า  Japanese Auction ที่มีการเคลื่อนไหวของราคาประมูลเหมือน English Auction นั่นคือราคาเป็นขาขึ้น เช่น 10.. 20..30..40 และเรื่อย ๆ  ซึ่งในขณะที่ราคาประมูลกำลังปรับขึ้นไปอยู่นั้น  ผู้ซื้อมี 2 ทางเลือกที่จะอยู่ต่อ หรือ ยอมแพ้

          โดยการประมูลจะดำเนินต่อไป (ราคาปรับขึ้นไปเรื่อยๆ) จนกระทั่งเหลือผู้ประมูลอยู่ในการแข่งขันเพียงคนเดียว (คู่แข่งคนสุดท้ายยอมแพ้โดยเลือกออกจากการประมูล) ผู้ชนะคือผู้ที่อยู่เป็นคนสุดท้ายและจะต้องจ่ายค่าสินค้าตามราคาสุดท้ายที่วิ่งขึ้นมาถึง

          Japanese Auction ใช้เวลาประมูลแต่ละรอบรวดเร็วมาก สูสีหรืออาจจะเร็วว่าDutch Auction ด้วยซ้ำ จึงเป็นวิธีการที่ชาวญี่ปุ่นใช้ในการประมูลปลาสด ซึ่งเพิ่งถูกนำขึ้นมาจากเรือประมง ณ สะพานปลา และถือได้ว่าเป็น ส่วนหนึ่งวัฒนธรรมของชาวญี่ปุ่นด้วยเช่นเดียวกัน

          ตัวอย่างของ English/Dutch/Japanese  Auctionsนี้เป็นตัวอย่างหนึ่ง ของระบบตลาดและกลไกการซื้อขายสินค้าในต่างประเทศ ที่ถูกออกแบบให้เหมาะสมกับสินค้าชนิดนั้นๆ ตามความต้องการของผู้ซื้อและผู้ขาย ซึ่งอาจจะแตกต่างไปจากการค้าขายสินค้าโภคภัณฑ์หรือสินค้าทางการเงินชนิดอื่นๆ  ที่ส่วนใหญ่ใช้กลไกตลาดกลางและกลไกตลาดสินค้าล่วงหน้าในการทำธุรกรรมการซื้อขาย ครับ

เลิกรับจำนำราคาแต่มีเยียวยาหากนาล่ม

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 10 กรกฎาคม 2014
      
         เหลือเชื่อครับสำหรับประเทศเรา ที่โครงการระดับ Mega Project อย่างการรับจำนำข้าว จะขาดผู้กำกับดูแล ไร้ซึ่งการกำกับควบคุม ระบบ Logistics ของโครงการได้ถึงเพียงนี้  (ตามข่าวที่มีการรายงานออกมาตามสื่ออย่างต่อเนื่อง)โดยเฉพาะในขั้นตอนของการเก็บรักษาข้าวในคลังสินค้าหรือโกดัง(Warehouse)  ที่ถือได้ว่าเป็นหัวใจของการบริหารจัดการการค้าสินค้าเกษตร ซึ่งในต่างประเทศและตามทฤษฎีแล้วจะให้ความสำคัญอย่างมาก

          อย่าว่าแต่สินค้าข้าวจะหายไปจากโกดัง (เหมือนโครงการรับจำนำข้าวบ้านเรา) เลยครับ เอาแค่สินค้ามีคุณภาพตกไปจากที่ได้ระบุไว้ในใบรับของคลังสินค้า หรือ Warehouse Receipt  ก็ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่มาก ๆ แล้ว ก็คงต้องรอให้ผลความเสียหายที่ทางคณะตรวจสอบ จะได้ทำการสรุปและเสนอต่อสาธารณชน ให้ได้รับรู้ครับว่ามีข้าวในโกดังสูญหาย และหรือเสียหาย ไปขนาดไหน

          แต่ถึงอย่างไร ท่านผู้อ่านก็ไม่สมควรที่จะเอาเรื่องของการอ่อนหัดในการบริหาร Logistics ไปสับสนกับหลักการสำคัญของโครงการรับจำนำนะครับ เนื่องจากโครงการรับจำนำ รวมถึงโครงการประกันราคาขั้นต่ำของรัฐบาลที่ผ่านมามีหลักการสำคัญ ก็คือกำหนดราคาขั้นต่ำที่เกษตรกรจะได้รับ จากการลงทุนลงแรงเพาะปลูกสินค้าเกษตร

          ทั้งนี้ราคาขั้นต่ำดังกล่าวตามหลักการต้องอยู่ในระดับราคาที่เหมาะสม สอดคล้องกับต้นทุนการผลิตที่แท้จริง และไม่ควรจะสูงไปกว่าราคาตลาด เนื่องจากชื่อคำว่า "จำนำ" ก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าราคาสมควรต้องต่ำไปกว่าราคาตลาดซึ่งถ้าหากต้นทุนการผลิตสูง หรือมีราคาที่สูงไปกว่าราคาตลาดแล้ว ก็สมควรมีมาตรการกำหนดให้เกษตรกรไปทำอย่างอื่นแทน หรือว่าภาครัฐอาจจะต้องมาพิจารณากันว่ากลไกตลาดที่ใช้กำหนดราคาตลาดดังกล่าวนั้นมีปัญหาหรือไม่อย่างไร

          ในช่วงที่ผ่านมาภายใต้นโยบายภาครัฐในปัจจุบัน ก็เป็นที่ค่อนข้างจะชัดเจนแล้วว่า คงจะไม่มีโครงการรับจำนำในรูปแบบของการกำหนดราคาจำนำไว้สูง ๆ เหมือนอย่างอดีตอีกแล้ว แต่จะมีการมุ่งเน้นช่วยเหลือเกษตรกรในรูปแบบอื่น ๆ แทน เช่น การลดต้นทุนการผลิต ได้แก่ ค่าปุ๋ย ค่ายาฆ่าแมลง ค่าเมล็ดพันธุ์  ค่าเช่านา ค่ารถเกี่ยว ฯลฯ  ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีอย่างมาก เพราะในปัจจุบันดูเหมือนว่าราคาต้นทุนการผลิตต่างๆเหล่านั้น ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอย่างมากในช่วง 5 ปี ที่ผ่านมา

          อีกทั้งโครงการเสริมสภาพคล่องให้กับเกษตรกรโดยภาครัฐผ่านธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์เพื่อการเกษตร (ธ.ก.ส.) มี 1.โครงการชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อการผลิตแก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี3% ต่อปีรายละไม่เกิน50,000 บาทระยะเวลาไม่เกิน6 เดือน  2.โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร 3.โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร

          นอกจากนี้ ยังมีโครงการประกันภัยพืชผล ที่มีแม่แบบมาจากโครงการ  the Federal Crop Insurance Program ของสหรัฐซึ่งธ.ก.ส ได้รับอนุมัติให้เป็น ผู้บริหารโครงการ เพื่อช่วยให้เกษตรกรลดความเสี่ยงจากปัญหาภัยธรรมชาติและภัยพิบัติต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น อาทิ น้ำท่วม ภัยแล้งหรือฝนทิ้งช่วง ภัยจากศัตรูพืชและโรคระบาดได้  โดยร่วมมือกับ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กรมส่งเสริมการเกษตร และสมาคมประกันวินาศภัยไทย ซึ่งเพิ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเมื่อวันศุกร์ที่ 27 มิ.ย. 2557 ที่ผ่านมา

          สำหรับเงื่อนไขการดำเนินโครงการประกันภัยพืชผลนี้ จำแนกเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการตามลำดับความเสี่ยงของพื้นที่ ซึ่งแบ่งเป็น 5 ระดับคือ 1.พื้นที่เสี่ยงต่ำที่สุด 2.พื้นที่เสี่ยงต่ำมาก 3. พื้นที่เสี่ยงต่ำ 4.พื้นที่เสี่ยงปานกลาง และ5.พื้นที่เสี่ยงสูง ซึ่งแน่นอนว่ายิ่งพื้นที่มีความเสี่ยงสูงเท่าใด ค่าเบี้ยประกันภัยก็ต้องแพงตามขึ้นเท่านั้น  ซึ่งตัวเลขของอัตราค่าเบี้ยประกันภัยรวมสำหรับ 5 พื้นที่ดังกล่าว อยู่ที่ 129.47 บาท/ไร่  247.17 บาท/ไร่ 376.64 บาท/ไร่ 472.94 บาท/ไร่และ 510.39 บาท/ไร่ ตามลำดับ

          ในการนี้ภาครัฐจะอุดหนุนในส่วนค่าเบี้ยประกันส่วนใหญ่ให้ อีกทั้ง ธ.ก.ส. จะให้การสนับสนุนกับเกษตรกรที่เป็นลูกค้าอีก 10 บาท/ไร่  ทำให้เกษตรกรผู้เข้าร่วมโครงการนี้ที่อยู่ในพื้นที่เสียงระดับ 1 - 5 นี้ จะต้องจ่ายเพียงอัตราไร่ละ 50 บาท 60 บาท 70 บาท 80 บาทและ 90 บาท เท่านั้น

          การประกันภัยจะคุ้มครองความเสียหายที่เกิดจากภัยธรรมชาติ 7 ประเภท โดย 6 ประเภทแรก ได้แก่ น้ำท่วมภัยแล้งหรือฝนทิ้งช่วง ลมพายุ อากาศหนาว ลูกเห็บและไฟไหม้ จะโดยได้รับชดเชย 1,111 บาท/ไร่ และประเภทที่ 7 ซึ่งเป็นภัยจากศัตรูพืชและโรคระบาด จะได้รับการชดเชย 555 บาท/ไร่ ทั้งนี้ยังไม่รวมความช่วยเหลือเบื้องต้นจากภาครัฐกรณีเกิดภัยพิบัติซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ไร่1,113 บาท/ไร่ ทำให้เมื่อรวมกับประกันภัยที่เกษตรกรซื้อไว้อีก 1,111 บาท/ไร่ เท่ากับเกษตรกรได้รับเงินชดเชยไร่ละ 2,224 บาท ซึ่งเกิดการช่วยบรรเทาความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นได้

          หน้าที่ของธ.ก.สในโครงการนี้จะเป็นตัวกลาง ระหว่างเกษตรกรผู้เอาประกันภัยกับบริษัทประกันภัยที่เข้าร่วมโครงการ  โดยในนี้มี 4 บริษัทได้แก่ บมจ. วิริยะประกันภัย ทิพยประกันภัยประกันภัยไทยวิวัฒน์และเจ้าพระยาประกันภัย ซึ่งทราบว่าทั้ง 4 บริษัทยังจากรับประกันภัยจากเกษตรแล้ว จะผ่องถ่ายความเสี่ยงส่วนใหญ่ของโครงการนี้ออกไป ด้วยวิธีการประกันภัยต่อ หรือ Reinsurance กับ บริษัทรับประกันภัยต่อในต่างประเทศ

          อย่างไรก็ตาม ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าการบริหารความเสี่ยงด้านราคา ก็คงมีความสำคัญต่อสภาพความเป็นอยู่ของเกษตรกรอย่างมาก เนื่องจาก รายได้จากการขายผลิตผลของเกษตรกรคนหนึ่งๆจะเท่ากับราคาสินค้าที่ขายได้ (Price) คูณกับผลิตผลที่เก็บเกี่ยวได้ (Output) ซึ่งส่วนใหญ่จะมีการผกผันกันในทิศทางตรงกันข้ามเสมอ

          โครงการรับจำนำถือว่าตัวอย่างของเครื่องมือการดูแลความเสี่ยงด้านราคา (Price Risk) ของรัฐบาล ที่มีให้แก่พี่น้องเกษตรกร ทั้งนี้เนื่องจากราคาสินค้าเกษตรส่วนใหญ่มีความอ่อนไหวมากต่อการเพิ่มขึ้นของผลผลิตอย่างมาก  (ดูตัวอย่างของมะนาวเมื่อเร็ว ๆ นี้ซิครับ) อีกทั้งโดยธรรมชาติของภาคเกษตรที่ผู้คนภาคการผลิตซึ่งจะเป็นผู้ขายสินค้านั้น จะมีจำนวนมากกว่าฝั่งผู้รับซื้อ ได้แก่ ผู้แปรรูป/ผู้ส่งออก หลายร้อยหลายพันเท่า ทำให้ผู้ที่อยู่ในฝั่งด้านซื้อมีอำนาจทางการต่อรอง (Bargaining Power) มากกว่าอยู่แล้ว

          โดยธรรมชาติกลไกต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อเสริมอำนาจการต่อรองให้กับผู้ขายจึงจะเป็นการช่วยภาคการผลิตได้อย่างมาก ซึ่งก็มีเครื่องมือ/โครงการในทำนองที่ว่าที่มิได้ไปบิดเบือนกลไกตลาดอีกมากมาย อาทิ โครงการ Price Loss Coverage หรือ PLC ตามกฎหมาย Farm Bill ปีล่าสุดนี้ (2014) ของสหรัฐ ที่เกษตรกรผู้เข้าร่วมโครงการจะได้รับการเยียวยาเป็นเงินชดเชย (หากราคาตลาดที่เกษตรกรได้รับต่ำกว่าราคาอ้างอิงที่ถูกกำหนดไว้แต่ต้น) หรือจะเป็นการใช้กลไกตลาด Futures สินค้าเกษตร ซึ่งได้มี แม่แบบที่วิวัฒนาการมาแล้วกว่า 100 ปี ในเกือบทุกประเภทสินค้าเกษตรสำคัญของกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว

เมื่ออัตราดอกเบี้ยติดลบ

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 12 มิถุนายน 2014

          ถือเป็นข่าวใหญ่โตพอสมควรนะครับ สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทางฝั่งยุโรป ในกลุ่มประเทศ Eurozone ที่เมื่อวันที่ 5 มิ.ย. 2557 ธนาคารกลางยุโรปหรือ European Central Bank(ECB)ได้ประกาศกำหนดอัตราดอกเบี้ย สำหรับเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์วางไว้กับECBไว้ เป็นอัตราที่ติดลบเป็นครั้งแรกในประวัติการณ์ที่อัตรา -0.1%

          กล่าวคือ ECB จะเรียกเก็บเงินจากธนาคารที่นำเงินมาฝากไว้กับ ECB ในอัตรา 0.1% หรืออีกนัยหนึ่ง ธนาคารพาณิชย์ต้องจ่ายค่าฝากเงินสำหรับ Excess Reserve ที่ธนาคารฝากไว้กับ ECB ในอัตรา0.1% นั่นเอง ซึ่งก็เป็นไปตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ล่วงหน้า อย่างที่ President Mario Draghiของ ECB ได้เกริ่นเอาไว้ตั้งแต่ปลายปีที่แล้วว่า ECB มีความพร้อมที่อาจจะกำหนดอัตราดอกเบี้ยไปจนถึงขั้นติดลบ

          โดยวัตถุประสงค์ให้ธนาคารพาณิชย์(แทนที่จะกักตุนเงินเอาไว้) เร่งปล่อยกู้ให้เม็ดเงินกระจายเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ เพื่อเป็นการกระตุ้นให้เกิดภาวะที่มีอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากในปัจจุบัน อัตราเงินเฟ้อของกลุ่ม Eurozone มีอัตราที่ระดับ 0.5% ในเดือนพ.ค. 2557 ต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อเป้าหมายที่ 2% ที่ ECB กำหนดเอาไว้ พอสมควร

          มาถึงตรงนี้ ผู้อ่านบางคนอาจจะสับสนระหว่าง กลุ่มประเทศ Eurozone กับ กลุ่มประเทศสหภาพยุโรปหรือ European Union (EU) ว่าเกี่ยวข้องหรือสัมพันธ์กันอย่างไร  ซึ่งในความเป็นจริงกลุ่มประเทศEurozone นี้ก็คือ เป็นกลุ่มประเทศใน EUนั่นเอง โดยมีจำนวน 18 ประเทศ จากทั้งหมด28 ประเทศที่เลือกที่จะใช้สกุลเงินยูโร (Euro หรือ ) เป็นเงินตรา(Currency) ของประเทศตน  โดยมีการจัดตั้งธนาคารกลางยุโรป หรือ ECB ทำหน้าที่รับผิดชอบเรื่องนโยบายทางการเงิน (Monetary Policy)ของสกุลเงินยูโร ในขณะที่รัฐบาลกลางแต่ละประเทศยังจะเป็นผู้รับผิดชอบนโยบายการคลัง (Fiscal Policy) กันเอง ตัวอย่างของประเทศในกลุ่ม Eurozone ที่สำคัญ เช่นเยอรมนี, ฝรั่งเศส, อิตาลี, สเปน, โปรตุเกสและเนเธอร์แลนด์

          มีประเทศในกลุ่มEU แต่อยู่นอก Eurozone อาทิ อังกฤษ, เดนมาร์กและสวีเดน ที่ยังคงมีเงินตราใช้เป็นของตนเอง ซึ่งก็คือเงินPound Sterling(GBP)  Dennis krone (DKK)  และ Swedish krona(SEK) ตามลำดับขณะที่ก็มีอีกกลุ่มหนึ่งอย่าง สวิตเซอร์แลนด์และนอร์เวย์  ที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่ม EU และแน่นอนว่าย่อมมีเงินตราของตัวเองซึ่งก็คือ Swiss franc (CHF) และ Norwegian krona(NOK) โดยแต่ละประเทศที่ใช้สกุลเงินของตัวเองนี้ จะมีธนาคารกลางของตนในการดำเนินนโยบายทางการเงินสำหรับในแต่ละประเทศ

          การที่ธนาคารกลางยุโรป หรือ ECB ทำหน้าที่รับผิดชอบนโยบายการเงินของกลุ่ม Eurozone ทั้ง18ประเทศ ในขณะที่รัฐบาลแต่ละประเทศยังทำหน้าที่รับผิดชอบนโยบายการคลังกันเอง ส่งผลให้เป้าหมายหลักของ ECB มีเพียงหนึ่งเดียวนั่นก็คือ ภาวะเงินเฟ้อเป้าหมาย ซึ่งจะต่างไปเมื่อเทียบกับกรณีของธนาคารกลางของสหรัฐ (หรือ Federal Reserve) ที่มี เป้าหมายหลัก2 ประการ ได้แก่ ภาวะเงินเฟ้อ และ ภาวะการจ้างงาน โดยจะเห็นจากกรณีเมื่อเร็ว ๆ นี้ เมื่อตัวเลขการว่างงานในสหรัฐดูดีขึ้น Federal Reserve ก็ได้เริ่มที่จะลดตัวเลขการทำ Quantitative Easing หรือ QE ลง(เริ่มลดการผ่อนคลายทางการเงิน เมื่อภาวะการจ้างงานดูดีขึ้น)

          ด้วยการมีเป้าหมายหลักเพียงหนึ่งเดียวที่ว่า ทำให้การดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบในครั้งนี้ เมื่อรวมกับมาตรการอื่น ๆ ของ ECB ที่ได้ออกมาพร้อม ๆ กัน อาทิ ปรับอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงของการ Refinance Operation ลงจาก 0.25% เหลือ 0.15% และเตรียมเงินให้ธนาคารพาณิชย์ในการปล่อยกู้นอกภาคการเงินอีก 400,000 ล้านยูโร มีมาเพียงเพื่อทำให้อัตราเงินเฟ้อใน Eurozone ปรับตัวไปสู่ระดับเป้าหมายให้ได้นั่นเอง

          นอกจากมาตรการต่าง ๆที่ได้ออกมาแล้วนั้น President Draghi ได้ยืนยันแล้วว่า มาตรการที่ออกมาแล้วนั้นยังถือว่าไม่ถึงที่สุด  โดยหากเมื่อจำเป็น ECB อาจจะมีเครื่องมือหรือมีมาตรการใหม่ ๆ ออกมาอีก (ซึ่งทำให้อาจจะทำให้หลายคนพลอยคิดไปถึงวิธีการเข้าไปซื้อสินทรัพย์ของธนาคารกลาง หรือ  Quantitative Easing หรือ QE ด้วย ซึ่งเป็นวิธีการ ECB ยังไม่เคยได้ลองทำอย่างเป็นทางการเลย)

          อย่างไรก็ตาม การกำหนดอัตราดอกเบี้ยแบบติดลบในครั้งนี้ ก็ถือว่าเป็นวิธีการแบบใหม่ และเป็นปรากฏการณ์ที่ได้ถูกกล่าวขวัญถึงไปทั่ว เนื่องจากการติดลบที่ว่าเป็นการติดลบจริง ๆ ของอัตราดอกเบี้ย กล่าวคือ ธนาคารพาณิชย์ต้องจ่ายเงินกับ ECB ในอัตรา 0.1% ของเงินที่ฝากไว้กับ ECB  ซึ่งไม่ใช้การติดลบของอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง หรือ Negative Real Interest Rate ที่เป็นการนำเอาอัตราดอกเบี้ยมาหักด้วยอัตราเงินเฟ้อแล้วออกมาติดลบ

          การที่อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงติดลบนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ปกติมาก ทั้งนี้ เป็นภาวะเนื่องมาจากนโยบาย Financial Repression ที่หลายประเทศได้เคยทำหรือกำลังทำอยู่ ต่อเนื่องมาตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน

          ทั้งนี้ การกำหนดอัตราดอกเบี้ยแบบติดลบในครั้งนี้ นับว่าเพิ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกของธนาคารกลางขนาดใหญ่ระดับภูมิภาค ซึ่งถึงแม้ว่าในอดีตอาจจะมีตัวอย่างเกิดขึ้นมาแล้ว อาทิธนาคารกลางของ เดนมาร์กในปี 2555ก็ได้เคยปรับดอกเบี้ยจนติดลบหรือ -0.2% มาแล้ว แต่ในครั้งนั้น เดนมาร์กทำไปเพื่อป้องกันไม่ให้เงินภายนอกเข้ามาถือครองเงินสกุล Dennis krone (DKK)  มากเกินไป มิได้มีวัตถุประสงค์ในการใช้สู่ภาวะเงินเฟ้อต่ำเกินไปเหมือนอย่างที่ ECB กำลังเจออยู่ ณ ขณะนี้

          สำหรับผลของการกำหนดให้อัตราดอกเบี้ยบน Reserve ของ ECB ให้ติดลบในครั้งนี้ ก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันว่าจะสามารถช่วยให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยกู้มากขึ้น แล้วจะทำให้อัตราเงินเฟ้อในกลุ่ม Eurozone ปรับตัวเพิ่มขึ้นสู่เป้าหมายได้หรือไม่ แต่ที่แน่ ๆ การกำหนดนโยบายแบบนี้ได้ทำให้ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลงในทันที

          แต่คำว่า "อัตราดอกเบี้ยติดลบ" ซึ่งได้ถูกทำให้เป็นนโยบายในครั้งนี้ ได้ส่งผลทางจิตวิทยาให้กับกลุ่มผู้ออมทั่วไปเรียบร้อยแล้วโดยคำถามตามมาว่า ธนาคารผลักภาระให้ผู้บริโภคแล้วเริ่ม charge หรือ เรียกเก็บเงินกับผู้ฝากเงินรายย่อยที่มีเงินฝากกับธนาคารพาณิชย์หรือไม่คำตอบในใจของผมก็คือ "คงไม่ เพราะว่า ECB คงมีมาตรการต่อไปออกมาก่อนอย่างแน่นอน"

          นโยบายที่ว่าก็คือการเข้าซื้อทรัพย์สินของธนาคารกลาง หรือ Quantitative Easing (QE) มาตรการสุดฮิต ที่ธนาคารกลางทั่วโลกขนาดใหญ่ได้นำออกมาใช้กันเรียบร้อยแล้ว ไล่ไปตั้งแต่ US Federal Reserve, Bank of England, และ Bank of Japan มาคราวหนี้หากมาตรการอัตราดอกเบี้ยติดลบของ ECB ยังไม่ช่วยให้อัตราเงินเฟ้อปรับสูงขึ้น ผมเชื่อว่า ECB คงไม่มีทางเลือก

          อีกทั้งในคราวนี้เสียงคัดค้านจากประเทศที่อดีตเคยคัดค้านการทำ QE  หนัก ๆ อย่างเยอรมนี คงค้านเสียงเบาลง ทั้งนี้เนื่องจากผลเสียที่จะเกิดขึ้นหากเกิดภาวะเงินฝืด จะส่งผลกระทบต่อเยอรมนีมากกว่าผลของ QE  อีกทั้งได้มี Case Study ทั้งจากที่ อเมริกา อังกฤษ และญี่ปุ่นมาแล้ว น่าจะทำให้การออกนโยบาย QE หาก President Draghi ต้องการไม่น่าจะมีเสียงคัดค้านมาก คอหุ้นทั้งหลายในบ้านเราก็คงต้องรอลุ้นในการประชุมครั้งต่อ ๆ ไปของ ECB ครับ