วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ภาวะหนี้ของ PIGS และ COMA กับราคาสินค้าโภคภัณฑ์

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2553

ช่วงดึกของวันที่ 9 ก.พ. 2553 ขณะที่ผมเขียนบทความชิ้นนี้อยู่นั้น หุ้นสินค้าโภคภัณฑ์ (เช่น ทองคำ และ น้ำมันดิบ) และ ค่าเงินยูโร ต่างปรับตัวเพิ่มขึ้นกันถ้วนหน้า (หลังจากตกลงมาอย่างหนักช่วงปลายสัปดาห์ที่แล้ว) ผลมาจากการรายงานข่าวของ Reuters Bloomberg CNN หรือ CNBC ที่ระบุว่า กลุ่มสหภาพยุโรป หรือ EU กำลังอยู่ในระหว่างพิจารณาแผนการช่วยเหลือต่อกรีซ

ประเทศกรีซ เป็นประเทศหนึ่งที่ถูกจับตาเป็น "ประเทศที่น่ามีปัญหา" หลังจากวิกฤติหนี้ของ Dubai World ที่ทำให้คนทั่วโลกตื่นเต้นกันเมื่อปลายปีที่แล้ว ที่สื่อต่างประเทศได้จัดกลุ่มของประเทศในยุโรปที่น่าจะมีปัญหาเรื่องหนี้ว่าเป็นกลุ่ม "PIGS" ได้แก่ โปรตุเกส อิตาลี กรีซ และ สเปน

ในปี 2552 กรีซ มีการขาดดุลงบประมาณ (Budget Deficit) 12.7% ของ GDP จากที่คาดการณ์ไว้ 3.7 % ทำให้หนี้สาธารณะ (Public Debt) ณ สิ้นปี 2552 มีเท่ากับ 108% ของ GDP ตัวเลขนี้อาจดูเหมือนไม่มาก หากเทียบกับประเทศอื่น เช่น อังกฤษ ซึ่งมี Budget Deficit เท่ากับ 14% และญี่ปุ่นที่มี Public Debt ถึง 200% ของ GDP (ส่วนตัวแล้วคิดว่าปัญหาในอังกฤษ และ ญี่ปุ่น แรงไม่แพ้กันครับ เพียงแค่รอวันปะทุอยู่เท่านั้น)

แต่มีปัญหาตรงที่ว่า รัฐบาลของประธานาธิบดี Andreas Papandreou ไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนในตลาดพันธบัตรได้ เพราะรัฐบาลยังไม่มีมาตรการชัดเจนจะแก้ปัญหาหนี้ในองค์รวมได้อย่างไร เพราะยารักษาโรคหนี้ 2 ขนาน ที่ กรีซ ต้องกินทันที ได้แก่ การลดการใช้จ่ายของภาครัฐ และการขึ้นภาษี แต่มาตรการนี้ กลับถูกต่อต้านรุนแรงจากประชาชนภายในประเทศ โดยผู้ประท้วงขู่ว่าจะปิดโรงเรียน โรงพยาบาล และสนามบิน ในวันที่ 10 ก.พ. 2553

ช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ราคาพันธบัตรของรัฐบาลกรีซ (Greeces Sovereign Government Bond) ปรับตัวลดลงมาก เช่น ณ สิ้นเดือนพ.ย. 2552 พันธบัตรรัฐบาลกรีซอายุ 10 ปี ซื้อขายกันที่ 108.71 ที่ YIELD เท่ากับ 4.854% แต่ ณ สิ้นเดือนม.ค. 2552 ราคาตกลงมาเหลือ 93.27 ที่ YIELD เท่ากับ 6.98% (ข้อมูลจาก Bank of Greece) ซึ่งหมายความว่า ต้นทุนของเงินในกรีซ ที่ใช้ YIELD ของพันธบัตรอ้างอิงนั้น (เช่น ดอกเบี้ยเงินกู้) เพิ่มขึ้นกว่า 40% ช่วง 3 เดือน

พันธบัตรประเทศอื่นในกลุ่ม PIGS เริ่มจะมีปัญหาเช่นกัน เห็นได้จากพันธบัตรโปรตุเกสไม่สามารถขายได้หมด อีกทั้งสหภาพแรงงานในสเปน และโปรตุเกส ขู่ว่าหากรัฐบาลดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดที่กระทบกับพวกตน จะหยุดงานและทำการประท้วงรัฐบาลด้วยเช่นกัน

ภาวการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน การสร้างความเชื่อมั่นว่า รัฐบาลมีวินัยทางการคลัง เช่น ลดการใช้จ่ายของรัฐบาล และขึ้นภาษี แม้จะทำได้ยาก แต่มีความสำคัญมากในการสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนว่า รัฐบาลจะสามารถชำระหนี้ พร้อมดอกเบี้ยให้กับเจ้าหนี้ในอนาคตได้ ซึ่งจะทำให้ราคาพันธบัตรของรัฐบาลประเทศนั้นปรับตัวสูงขึ้น YIELD ก็จะปรับตัวลดลง

ประเทศต่างๆ ในกลุ่มยูโร เช่น กลุ่ม PIGS ที่ใช้เงิน EURO เป็นสกุลเงินประจำชาติ ซึ่งมีธนาคารกลางยุโรป หรือ European Central Bank (ECB) เป็นผู้ดูแล ได้รับผลดีจากการใช้เงินสกุลเดียวกันทั่วทั้งภูมิภาค ตรงที่สามารถลดต้นทุนด้านอัตราแลกเปลี่ยนเมื่อทำการค้าขายระหว่างกันได้โดยไม่ต้องแปลงค่าเงินกันไปมา ซึ่งช่วยให้การค้าขายทำได้อย่างคล่องและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

แต่การใช้เงินสกุล ร่วมกันก็มีข้อจำกัด คือ แต่ละประเทศไม่สามารถพิมพ์เงินออกมาใช้ได้เอง เช่น เพื่อใช้ชดเชยในภาวะขาดดุล อีกทั้งไม่สามารถดำเนินนโยบายยืดหยุ่นด้านนโยบายการเงินและอัตราแลกเปลี่ยนได้ด้วยตัวเอง เช่น กรณีประเทศผู้ส่งออกที่จะดำเนินมาตรการเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยนในกรณีที่ค่าเงินของตนแข็งค่าเกินไป ซึ่งแน่นอนว่า หากการใช้เงินสกุลเดียวกันก่อให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี ก็จะแรงจูงใจให้บางประเทศในยุโรบจะกลับไปใช้เงินสกุลเดิมของตนเอง เช่น กรีซ กลับไปใช้ drachma อิตาลี กลับไปใช้ lira หรือ สเปนกลับไปใช้ peseta

ระบบของ European Currency Union (ECU) ดังกล่าว แตกต่างจากประเทศที่มีสกุลเงินและธนาคารกลางของตนเอง เช่น สหรัฐอเมริกา หรือ อังกฤษ 2 ประเทศที่ในช่วงวิกฤตินี้ ธนาคารกลางต่างเข้าไปช้อนซื้อพันธบัตรรัฐบาลของตนเองด้วยวิธีการที่มีชื่อเรื่องเท่ๆ ว่า Quantitative Easing เพื่อที่จะไม่ให้ราคาพันธบัตรตกลงมามากเกินไป อันจะส่งผลถึงต้นทุนของเงิน แต่บางธนาคารกลางก็ไม่ยอมรัฐบาล เช่น ในกรณีของประเทศ Argentina ที่ผู้ว่าฯ ธนาคารกลางเกิดความขัดแย้งกับประธานาธิบดีเรื่องนโยบายการเงินอย่างรุนแรง จนเป็นเหตุให้ต้องมีการเปลี่ยนตัวผู้ว่าธนาคารกลาง ซึ่งคนใหม่นี้เพิ่งเริ่มงานเมื่อเดือนที่แล้วนี้เอง

การที่ประเทศในกลุ่ม PIGS ไม่สามารถพิมพ์เงินออกมาใช้เองได้ ทำให้นึกไปถึงมลรัฐต่างๆ ในสหรัฐอเมริกา ในกลุ่มที่เรียกว่า COMA ได้แก่ California Oregon Michigan และ Arizona ซึ่งมีปัญหาเรื่องการขาดดุลงบประมาณและไม่สามารถพิมพ์เงินออกมาใช้เอง เช่นเดียวกัน ซึ่งหากรัฐดังกล่าวไม่สามารถเก็บเงินภาษีได้เพียงพอเพื่อชำระหนี้ก็อาจต้องร้องขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลกลาง ซึ่งเชื่อว่าปัญหาของกลุ่มนี้จะปะทุขึ้นในเวลาอีกไม่นานนี้

มีข้อสงสัยอยู่ว่า วิกฤติหนี้สิน ดังเช่น วิกฤติ Dubai World หรือ วิกฤติ กรีซ จะมีความสัมพันธ์ที่จะส่งกระทบมาสู่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทั้งหลายอย่างไร จากข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ทันทีที่วิกฤตการณ์หนี้เป็นข่าวใหญ่ออกมา ค่าเงินและราคาพันธบัตรของประเทศที่เกิดเหตุจะลดต่ำลง

ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์ ซึ่งเป็น World Reserve Currency และราคาพันธบัตรของรัฐบาลสหรัฐ ซึ่งถือได้ว่าเป็น Safe Haven จะปรับตัวแข็งค่าขึ้นมา ทำให้สินค้าโภคภัณฑ์ทั้งหลายในรูปของค่าเงินดอลลาร์ มีราคาที่ลดต่ำลง ซึ่งก็เป็นไปตาม Textbook ที่ John Murphy ปรมาจารย์ด้านการวิเคราะห์ทางเทคนิค ที่กล่าวไว้ใน Intermarket Technical Analysis ว่าราคาสินค้าโภคภัณฑ์ (ในรูปของเงินสหรัฐ) จะปรับตัวไปในทิศทางเดียวตรงกันข้ามกับราคาพันธบัตร (สหรัฐ) และเป็นไปในทิศทางเดียวกับ YIELD ของพันธบัตร (สหรัฐ)

ทันทีที่มีข่าวว่าทางกลุ่มประเทศ EU และ ธนาคารกลางยุโรป ECB จะมีแผนการออกมาที่จะช่วยเหลือ กรีซ ค่าเงิน ก็ปรับตัวแข็งขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์ YILED ของพันธบัตรสหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้น สินค้าโภคภัณฑ์ทั้งหลายก็ปรับตัวเพิ่มขึ้น

คงต้องรอดูต่อไปว่าเมื่อวิกฤติหนี้รอบใหม่ปะทุขึ้นที่สหรัฐ ในกลุ่มของ Coma States ค่าเงินดอลลาร์และราคาของพันธบัตรสหรัฐ จะอ่อนค่าลง แล้วราคาสินค้าโภคภัณฑ์จะปรับตัวเพิ่มขึ้นตามที่ John Murphy ว่าไว้หรือไม่ แล้วรัฐบาลกลาง กับ ธนาคารกลางสหรัฐ จะ Bail Out มลรัฐต่างๆ เหมือนกับที่ช่วยพวก Government-Sponsored Enterprise (เช่น Fannie Mae, Freddie Mac หรือ Ginnie Mae) หรือ บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง AIG หรือ GM หรือไม่ แล้วผลลัพธ์ที่จะมีต่อระบบการเงินโลกจะเป็นเช่นไร เตรียมตัวกันให้ดีนะครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น