ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 9 มิถุนายน 2554
นับตั้งแต่ Bill Gross “The Bond King” ผู้ก่อตั้งและ Chief
Investment Officer ของบริษัท PIMCO (บริษัทจัดการลงทุนที่ว่ากันว่ามีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก)
กล่าวถึงคำศัพท์ทางเศรษฐศาสตร์ คำว่า “Financial Repression” ใน Investment Outlook ของ PIMCO ประจำเดือน May 2011 เรื่อง “The Caine
Mutiny” และเดือน June 2011 เรื่อง “Buy
Cheap Bonds with Safe Spread” ส่งผลให้ผู้คนในวงการการลงทุน
รวมถึงสื่อมวลชนแขนงต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นในวงการตราสารหนี้ หุ้น อัตราแลกเปลี่ยน
หรือ สินค้าโภคภัณฑ์ ต่างหันมาสนใจกับคำว่า “Financial Repression” คำศัพท์ซึ่งผมเชื่อว่าน้อยคน
(หากมิใช่ผู้เชี่ยวชาญทางด้านเศรษฐศาสตร์มหภาคจริง ๆ )
จะได้เคยมีโอกาสได้ยินกันมาก่อน
Bill Gross ได้กล่าวถึง “Financial Repression” โดยอ้างอิงจากบทความทางวิชาการ เรื่อง “The Liquidation of
Government Debt” ของ Prof. Carmen Reinhart และ
Belen Sbrancia ตีพิมพ์โดย NBER ในเดือนมีนาคม
2554 ซึ่งเป็นการรวบรวม วิเคราะห์และสรุปถึงวิธีการในอดีต ที่รัฐบาลของประเทศต่าง
ๆ ใช้ในการแก้ไขปัญหาหนี้สาธารณะของตน เช่น ด้วยวิธีการ “Financial
Repression” ในช่วงปี ค.ศ. 1945 - 1980
Reinhart ได้อธิบายในบทความของเธอว่า โดยปกติแล้ว
ปัญหาเรื่องหนี้ของประเทศใด (วัดจากอัตราส่วนของ Debt ต่อ GDP)
สามารถจะทำให้ลดลงไปได้มี 5 วิธีด้วยกัน ได้แก่ 1.Growth (เศรษฐกิจขยายตัวจนทำให้พอจ่ายหนี้ได้) 2.ใช้นโยบายรัดเข็มขัดและขึ้นภาษี
(ประหยัดเพื่อจ่ายหนี้) 3. Default (ล้มละลายแล้วขอปรับโครงสร้างหนี้)
4.ทำให้เกิดเงินเฟ้ออย่างรุนแรง หรือ Hyperinflation (มีหนี้เสมือนไม่มี
เนื่องจากหนี้มีมูลค่าลดลงอย่างมาก) และ 5.ใช้เทคนิค Financial Repression ผนวกกับทำให้เกิดเงินเฟ้อด้วยแต่ในระดับที่ไม่สูงมากนัก
(ในอัตราที่พอยอมรับกันได้)
การแก้ปัญหาหนี้ตามข้อ 4 และ 5
มีเงื่อนไขว่าภาระหนี้ต้องอยู่ในรูปของสกุลเงินของประเทศนั้น เช่น
สหรัฐอเมริกามีภาระหนี้ในรูปสกุลเงิน US Dollar เป็นต้น
ตัวอย่างอัตราเงินเฟ้อที่ไม่สูงมากนัก เช่น เงินเฟ้อร้อยละ 5 ต่อปี
ดูไม่สูงมากนักใช่ไหมครับ แต่ด้วยอัตราเงินเฟ้อร้อยละ 5
ก็จะสามารถทำให้ภาระหนี้เหลือมูลค่าที่แท้จริงเพียงครึ่งหนึ่ง หรือ 50%
ของภาระหนี้เดิม ด้วยระยะเวลาประมาณ 14 ปี
เทคนิค Financial Repression ที่ Reinhart กล่าวถึงในบทความ ได้แก่ 1.
การกดอัตราดอกเบี้ยให้ต่ำกว่าที่ควรจะเป็นจนทำให้ดอกเบี้ยที่แท้จริงติดลบ (Negative
Real Interest Rate) 2. การบังคับให้สถาบันการเงินในประเทศ เช่น
กองทุนบำเหน็จบำนาญให้ซื้อและยังคงถือครองตราสารหนี้ของภาครัฐ
3.การกำกับดูแลการไหลเข้าออกของเงินทุน และ 4.การเข้าไปครอบงำกิจการภาคธนาคาร
ทางเลือกด้วยการใช้ Financial Repression ในการแก้ปัญหาหนี้
ถือได้ว่าเป็นทางออกที่หอมหวนของนักการเมือง เพราะว่า
รัฐบาลไม่ต้องใช้นโยบายรัดเข็มขัดและขึ้นภาษี และ ไม่ต้องทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรง
(จนอาจเป็นเหตุให้ประชาชนออกมาต่อต้าน) ดังที่ Reinhart ได้แสดงหลักฐานของการใช้นโยบาย
“Financial Repress” แก้ปัญหาหนี้ของประเทศต่าง ๆ เช่น
ออสเตรเลีย เบลเยี่ยม อินเดีย ไอร์แลนด์ อิตาลี แอฟริกาใต้ สวีเดน สหราชอาณาจักร
และ สหรัฐอเมริกา และทำสำเร็จมาแล้วในระหว่างช่วงปี ค.ศ. 1945-1980
ในปัจจุบัน ด้วยภาระหนี้ขนาดมหึมาของประเทศตะวันตก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐอเมริกา ที่ ณ ขณะที่ผมเขียนบทความชิ้นนี้อยู่นั่น
นาฬิกาหนี้ หรือ Debt Clock (www.usdebtclock.org ) รายงานว่า
สหรัฐฯมีหนี้ภาครัฐสูงถึง $14.4 Trillion และ
มีหนี้รวมทั้งหมด $55.3 Trillion จาก GDP ทั้งปีของสหรัฐที่ $14.7 Trillion (คิดเป็นอัตราส่วน
Public Debt ต่อ GDP เกือบ 100%)
ประกอบกับหนี้แทบทั้งหมดล้วนเป็นหนี้สกุลเงิน US Dollar ทำให้วิธีการ
“Financial Repression” ในสหรัฐฯสามารถทำได้ง่าย ๆ ผ่านนโยบายอัตราดอกเบี้ยใกล้ศูนย์
และ Quantitative Easing ของธนาคารกลางประเทศสหรัฐ (U.S.
Federal Reserve)
แน่นอนว่า การใช้เทคนิค Financial Repression ที่ให้กดอัตราดอกเบี้ยในตลาดต่ำกว่าที่ควรจะเป็นโดยให้เป็นอัตราที่ต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อ
ทำให้เกิดภาระอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงติดลบ (Negative Real Interest Rate) เช่น อัตราดอกเบี้ย 2 % ขณะที่อัตราเงินเฟ้อ 5 %
คิดเป็นอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงติดลบอยู่3 %
ซึ่งเป็นการลงโทษผู้ออมเงินผ่านภาคธนาคาร
ขณะเดียวกันก็เป็นการให้รางวัลคนที่เป็นหนี้ เนื่องจากเงินเฟ้อได้กัดกร่อนเงินออมได้รวดเร็วกว่าดอกเบี้ยที่งอกเงยของเงินฝาก
ภายใต้ภาวะการณ์ดังกล่าว หากอ่านบทความของ Bill Gross ฉบับล่าสุด ซึ่ง Gross ก็ยังสามารถแนะนำการลงทุนในสินทรัพย์พวกตราสารหนี้ได้
(สมกับฉายา Bond King จริงๆ)
โดยให้เลือกลงทุนตราสารหนี้ประเภท Cheap Bonds โดยเน้นพวก Safe
Spread (อ่านละเอียดใน PIMCO Investment Outlook June 2011)
แต่ในความเป็นจริงแล้ว การลงทุนที่เหมาะสมภายใต้ภาวะ Financial
Repression นี้ต้องเป็นการลงทุนที่สามารถสู้ได้กับภาวะอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงติดลบ
นั่นคือ การลงทุนในสินทรัพย์ที่ปกติแล้วราคามีแนวโน้วปรับตัวเพิ่มขึ้นเร็วกว่าหรืออย่างน้อยต้องเท่ากับอัตราเงินเฟ้อ
เช่น พันบัตรชดเชยเงินเฟ้อ (Inflation-Linked Bond) หรือ
กลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น สินค้าพลังงาน โลหะมีค่า สินค้าเกษตร
ซึ่งก็โชคดีที่ปัจจุบัน
นักลงทุนไทยมีโอกาสในเลือกลงทุนในสินทรัพย์ดังที่ได้กล่าวมาแล้วด้วยเช่นกัน อาทิ
พันธบัตรชดเชยเงินเฟ้อที่กระทรวงการคลังกำลังจะนำออกมาขายในเดือนหน้านี้ (11-13
ก.ค.54) หรือ ลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ผ่าน Futures Exchange อย่าง TFEX
และ AFET หรือ
ผ่านกองทุนรวมสินค้าโภคภัณฑ์ประเภทต่าง ๆ ซึ่งหมายรวมถึง ETF สินค้าโภคภัณฑ์ (ที่น่าจะมีขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ด้วย)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น