วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

การลงทุนภายใต้ภาวะการณ์ Financial Repression

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 9 มิถุนายน 2554

นับตั้งแต่ Bill Gross “The Bond King” ผู้ก่อตั้งและ Chief Investment Officer ของบริษัท PIMCO (บริษัทจัดการลงทุนที่ว่ากันว่ามีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก) กล่าวถึงคำศัพท์ทางเศรษฐศาสตร์ คำว่า “Financial Repression” ใน Investment Outlook ของ PIMCO ประจำเดือน May 2011 เรื่อง “The Caine Mutiny” และเดือน June 2011 เรื่อง “Buy Cheap Bonds with Safe Spread” ส่งผลให้ผู้คนในวงการการลงทุน รวมถึงสื่อมวลชนแขนงต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นในวงการตราสารหนี้ หุ้น อัตราแลกเปลี่ยน หรือ สินค้าโภคภัณฑ์ ต่างหันมาสนใจกับคำว่า “Financial Repression” คำศัพท์ซึ่งผมเชื่อว่าน้อยคน (หากมิใช่ผู้เชี่ยวชาญทางด้านเศรษฐศาสตร์มหภาคจริง ๆ ) จะได้เคยมีโอกาสได้ยินกันมาก่อน

Bill Gross ได้กล่าวถึง “Financial Repression” โดยอ้างอิงจากบทความทางวิชาการ เรื่อง “The Liquidation of Government Debt” ของ Prof. Carmen Reinhart และ Belen Sbrancia ตีพิมพ์โดย NBER ในเดือนมีนาคม 2554 ซึ่งเป็นการรวบรวม วิเคราะห์และสรุปถึงวิธีการในอดีต ที่รัฐบาลของประเทศต่าง ๆ ใช้ในการแก้ไขปัญหาหนี้สาธารณะของตน เช่น ด้วยวิธีการ “Financial Repression” ในช่วงปี ค.ศ. 1945 - 1980

Reinhart ได้อธิบายในบทความของเธอว่า โดยปกติแล้ว ปัญหาเรื่องหนี้ของประเทศใด (วัดจากอัตราส่วนของ Debt ต่อ GDP) สามารถจะทำให้ลดลงไปได้มี 5 วิธีด้วยกัน ได้แก่ 1.Growth (เศรษฐกิจขยายตัวจนทำให้พอจ่ายหนี้ได้) 2.ใช้นโยบายรัดเข็มขัดและขึ้นภาษี (ประหยัดเพื่อจ่ายหนี้) 3. Default (ล้มละลายแล้วขอปรับโครงสร้างหนี้) 4.ทำให้เกิดเงินเฟ้ออย่างรุนแรง หรือ Hyperinflation (มีหนี้เสมือนไม่มี เนื่องจากหนี้มีมูลค่าลดลงอย่างมาก) และ 5.ใช้เทคนิค Financial Repression ผนวกกับทำให้เกิดเงินเฟ้อด้วยแต่ในระดับที่ไม่สูงมากนัก (ในอัตราที่พอยอมรับกันได้)

การแก้ปัญหาหนี้ตามข้อ 4 และ 5 มีเงื่อนไขว่าภาระหนี้ต้องอยู่ในรูปของสกุลเงินของประเทศนั้น เช่น สหรัฐอเมริกามีภาระหนี้ในรูปสกุลเงิน US Dollar เป็นต้น

ตัวอย่างอัตราเงินเฟ้อที่ไม่สูงมากนัก เช่น เงินเฟ้อร้อยละ 5 ต่อปี ดูไม่สูงมากนักใช่ไหมครับ แต่ด้วยอัตราเงินเฟ้อร้อยละ 5 ก็จะสามารถทำให้ภาระหนี้เหลือมูลค่าที่แท้จริงเพียงครึ่งหนึ่ง หรือ 50% ของภาระหนี้เดิม ด้วยระยะเวลาประมาณ 14 ปี

เทคนิค Financial Repression ที่ Reinhart กล่าวถึงในบทความ ได้แก่ 1. การกดอัตราดอกเบี้ยให้ต่ำกว่าที่ควรจะเป็นจนทำให้ดอกเบี้ยที่แท้จริงติดลบ (Negative Real Interest Rate) 2. การบังคับให้สถาบันการเงินในประเทศ เช่น กองทุนบำเหน็จบำนาญให้ซื้อและยังคงถือครองตราสารหนี้ของภาครัฐ 3.การกำกับดูแลการไหลเข้าออกของเงินทุน และ 4.การเข้าไปครอบงำกิจการภาคธนาคาร

ทางเลือกด้วยการใช้ Financial Repression ในการแก้ปัญหาหนี้ ถือได้ว่าเป็นทางออกที่หอมหวนของนักการเมือง เพราะว่า รัฐบาลไม่ต้องใช้นโยบายรัดเข็มขัดและขึ้นภาษี และ ไม่ต้องทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรง (จนอาจเป็นเหตุให้ประชาชนออกมาต่อต้าน) ดังที่ Reinhart ได้แสดงหลักฐานของการใช้นโยบาย “Financial Repress” แก้ปัญหาหนี้ของประเทศต่าง ๆ เช่น ออสเตรเลีย เบลเยี่ยม อินเดีย ไอร์แลนด์ อิตาลี แอฟริกาใต้ สวีเดน สหราชอาณาจักร และ สหรัฐอเมริกา และทำสำเร็จมาแล้วในระหว่างช่วงปี ค.ศ. 1945-1980

ในปัจจุบัน ด้วยภาระหนี้ขนาดมหึมาของประเทศตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐอเมริกา ที่ ณ ขณะที่ผมเขียนบทความชิ้นนี้อยู่นั่น นาฬิกาหนี้ หรือ Debt Clock (www.usdebtclock.org ) รายงานว่า สหรัฐฯมีหนี้ภาครัฐสูงถึง $14.4 Trillion และ มีหนี้รวมทั้งหมด $55.3 Trillion จาก GDP ทั้งปีของสหรัฐที่ $14.7 Trillion (คิดเป็นอัตราส่วน Public Debt ต่อ GDP เกือบ 100%) ประกอบกับหนี้แทบทั้งหมดล้วนเป็นหนี้สกุลเงิน US Dollar ทำให้วิธีการ “Financial Repression” ในสหรัฐฯสามารถทำได้ง่าย ๆ ผ่านนโยบายอัตราดอกเบี้ยใกล้ศูนย์ และ Quantitative Easing ของธนาคารกลางประเทศสหรัฐ (U.S. Federal Reserve)

แน่นอนว่า การใช้เทคนิค Financial Repression ที่ให้กดอัตราดอกเบี้ยในตลาดต่ำกว่าที่ควรจะเป็นโดยให้เป็นอัตราที่ต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อ ทำให้เกิดภาระอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงติดลบ (Negative Real Interest Rate) เช่น อัตราดอกเบี้ย 2 % ขณะที่อัตราเงินเฟ้อ 5 % คิดเป็นอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงติดลบอยู่3 % ซึ่งเป็นการลงโทษผู้ออมเงินผ่านภาคธนาคาร ขณะเดียวกันก็เป็นการให้รางวัลคนที่เป็นหนี้ เนื่องจากเงินเฟ้อได้กัดกร่อนเงินออมได้รวดเร็วกว่าดอกเบี้ยที่งอกเงยของเงินฝาก

ภายใต้ภาวะการณ์ดังกล่าว หากอ่านบทความของ Bill Gross ฉบับล่าสุด ซึ่ง Gross ก็ยังสามารถแนะนำการลงทุนในสินทรัพย์พวกตราสารหนี้ได้ (สมกับฉายา Bond King จริงๆ) โดยให้เลือกลงทุนตราสารหนี้ประเภท Cheap Bonds โดยเน้นพวก Safe Spread (อ่านละเอียดใน PIMCO Investment Outlook June 2011)

แต่ในความเป็นจริงแล้ว การลงทุนที่เหมาะสมภายใต้ภาวะ Financial Repression นี้ต้องเป็นการลงทุนที่สามารถสู้ได้กับภาวะอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงติดลบ นั่นคือ การลงทุนในสินทรัพย์ที่ปกติแล้วราคามีแนวโน้วปรับตัวเพิ่มขึ้นเร็วกว่าหรืออย่างน้อยต้องเท่ากับอัตราเงินเฟ้อ เช่น พันบัตรชดเชยเงินเฟ้อ (Inflation-Linked Bond) หรือ กลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น สินค้าพลังงาน โลหะมีค่า สินค้าเกษตร

ซึ่งก็โชคดีที่ปัจจุบัน นักลงทุนไทยมีโอกาสในเลือกลงทุนในสินทรัพย์ดังที่ได้กล่าวมาแล้วด้วยเช่นกัน อาทิ พันธบัตรชดเชยเงินเฟ้อที่กระทรวงการคลังกำลังจะนำออกมาขายในเดือนหน้านี้ (11-13 ก.ค.54) หรือ ลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ผ่าน Futures Exchange อย่าง TFEX และ AFET หรือ ผ่านกองทุนรวมสินค้าโภคภัณฑ์ประเภทต่าง ๆ ซึ่งหมายรวมถึง ETF สินค้าโภคภัณฑ์ (ที่น่าจะมีขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ด้วย)

อย่างไรก็ดี ภายใต้สภาวะที่ยังไม่แน่นอนดังที่เรากำลังประสบอยู่นี้ ท่านผู้อ่านคงต้องคิดพิจารณาไตร่ตรอง แล้วตัดสินใจอย่างรอบคอบว่าจะเลือกลงทุนในรูปแบบใดให้เหมาะสมสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ในการลงทุนของแต่ละท่าน ครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น