วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ผู้จัดการคุยกับนักลงทุน: สไตล์ออม..พีรพล ประเสริฐศรี ทองคำ-กองทุนรวม..สำคัญยิ่ง

ที่มา: หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน วันที่ 14 มีนาคม 2551  

สัปดาห์นี้ ผู้จัดการคุยกับนักลงทุนได้มีโอกาสเข้าไปสัมภาษณ์ ดร.พีรพล ประเสริฐศรี หรือ "ดร.โอ๊ต" กับตำแหน่งใหม่ล่าสุดผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (AFET) กับแบบฉบับที่เป็นกันเองในเรื่องราวส่วนตัวที่ใครอาจจะยังไม่เคยทราบมาก่อน รวมกระทั่งถึงเรื่องราวการจัดสรรเงินอย่างไรกับสถานการณ์ปัจจุบันและกับตำแหน่ง ผอ.ฝ่ายวิจัยว่ามีความรับผิดชอบทำอะไรบ้าง...

ดร.โอ๊ต เริ่มเล่าให้ฟังว่า หลังจากที่เรียนจบปริญญาเอก สาขาเศรษฐศาสตร์ประยุกต์จาก UNIVERSITY OF FLORIDA, USA ตนได้มาเป็นอาจารย์พิเศษสอนอยู่ที่เรียนสักระยะหนึ่งหลังจากนั้นก็กลับมาทำงานที่ประเทศไทย โดยมาสมัครงานที่ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย หรือ AFET ในตำแหน่งนักวิจัยอาวุโส ฝ่ายวิจัยทำได้สักระยะหนึ่งก็ได้เลื่อนตำแหน่งมาเป็นผู้จัดการส่วนวิจัยและพัฒนา ฝ่ายวิจัย ต่อด้วยตำแหน่งผู้จัดการส่วนบริหารความเสี่ยง สำนักหักบัญชีและตำแหน่งผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายโครงการพิเศษจนล่าสุดกับตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย ซึ่งดร.โอ๊ตได้รับการแต่งตั้งเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2551ที่ผ่านมา

โดยตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยนั้น ดร.โอ๊ตบอกว่า กับตำแหน่งดังกล่าวได้มีการเตรียมการทำงานไว้ 2 หลักใหญ่ๆ ด้วยกันอย่างแรกคือเรื่องของการออกแบบผลิตภัณฑ์การซื้อขายล่วงหน้าให้มีความสอดคล้องกับตลาด 2.เป็นแหล่งรวมราคาซื้อขายอ้างอิงให้แก่ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าทั่วโลกซึ่งต้องมีการเตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา

"AFET ให้ความสำคัญของการกำกับดูแลการซื้อขายเพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือ ถูกต้องโดยยึดหลักความเป็นธรรมและโปร่งใสเพื่อสร้างความมั่นใจต่อผู้ลงทุน นอกจากนี้ยังมีระบบการกำกับดูแลการปฏิบัติงานของสมาชิกให้ปฏิบัติตามกฎข้อบังคับที่เกี่ยวข้องอย่างถูกต้องเท่าเทียมกันและมีความน่าเชื่อถือในการซื้อขายล่วงหน้า เพื่อป้องกันความเสี่ยงของผู้ลงทุนรวมทั้งมีหน้าที่สำคัญในการกำกับดูแลระบบการซื้อขายที่ผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้การซื้อขายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพเป็นธรรม และมีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับในระดับสากลอีกด้วย" ดร.โอ๊ตบอก
          
สำหรับการทำงานให้ประสบความสำเร็จนั้น ดร.โอ๊ตบอกว่า "ผมอาจจะมีความคิดที่แปลกกว่าคนอื่นตรงที่คนอื่นมักจะชอบพูดเสมอๆ ว่าให้แยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวนอกจากกันแต่สำหรับผมแล้วคิดว่าเรื่องส่วนตัวและงานมันไม่สามารถที่จะแยกออกจากกันได้ เพราะงานก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งที่เป็นเรื่องส่วนตัวเพราะไม่เช่นนั้นเราคงไม่เลือกที่จะมาทำงานตรงนี้อย่างแน่นอน และเชื่ว่าจะสามารถประสบความสำเร็จจากงานที่เราได้เลือกทำแล้ว นอกจากนี้แล้วการทำงานทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นงานอะไรก็ตามล้วนแล้วแต่ต้องทำกับผู้คนเป็นจำนวนมากไม่ใช่ว่าเราทำเพียงคนเดียว ดังนั้นเจ้านายและลูกน้องต้องสามารถเข้ากันได้ งานถึงจะไปด้วยกันได้เป็นอย่างดี"

ดร.โอ๊ตบอกอีกว่าในทุกๆ วันเสาร์และวันอาทิตย์ ส่วนใหญ่แล้วจะกลับบ้านที่จังหวัดสมุทรสาคร เพราะถือได้ว่าเป็นการพักผ่อนที่ดีอย่างหนึ่ง นอกจากนี้แล้วอาจจะมีบางครั้งที่ออกไปสังสรรค์พบปะเพื่อนฝูงเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดกันบ้าง ซึ่งถือเป็นรูปแบบการพักผ่อนอีกแบบฉบับหนึ่งของดร. หนุ่มคนนี้

เมื่อได้รู้ถึงวิสัยทัศน์ในการทำงานกันไปพอสมควร ต่อจากนี้มาดูกันว่า ดร.โอ๊ตจะมีมุมมองในเรื่องของการออมเงินกันบ้างว่าจะเป็นอย่างไร...?

ดร.โอ๊ตกล่าวว่า ส่วนตัวได้ให้ความสำคัญในเรื่องของการออมเงินเป็นพิเศษ เพราะมองว่ามันเป็นสิ่งสำคัญต่ออนาคตข้างหน้า ดังนั้นจึงแบ่งการออมออกเป็นหลายส่วนด้วยกันในส่วนแรกจะเข้าไปลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพหรืออาร์เอ็มเอฟ และกองทุนรวมหุ้นระยะยาวหรือแอลทีเอฟเพราะสองกองทุนนี้จะได้สิทธินำไปลดหย่อนทางภาษีได้

ส่วนที่สองเป็นการลงทุนในทองคำเพราะมองว่าทองคำเป็นวัตถุที่มีค่าและราคาของทองคำนั้นส่วนใหญ่แล้วจะขึ้นตลอด ซึ่งก่อนหน้าที่จะมาลงทุนในทองคำนั้น ดร.โอ๊ตบอกว่า "ส่วนตัวแล้วเป็นคนชอบเล่นหุ้น เพราะว่าเรียนมาทางด้านเศรษฐศาสตร์ทำให้อยากลองเล่นหุ้นเป็นเรื่องธรรมดาแต่สถานการณ์ทางเศรษฐกิจในปัจจุบันมีความผันผวนมากดังนั้นการลงทุนในหุ้นจึงมีความเสี่ยงสูง ตนจึงเปลี่ยนมาลงทุนในทองคำแทน"

สำหรับเงินออมในส่วนที่สามเป็นการลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้นเพราะสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการฝากเงินในธนาคาร เพราะปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยเงินฝากมีการปรับลดลง ดังนั้นสจึงหันมาลงทุนในตราสารหนี้แทน

สุดท้าย ดร.โอ๊ต ได้บอกว่าการออมนั้นมีหลากหลายรูปแบบให้เลือกสรรแล้ว แต่ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความถนัดของแต่ละบุคคลหรือบางคนอาจจะต้องการนำเงินไปลงทุนในหุ้น และอื่นๆ เพื่อสร้างผลตอบแทนที่มากขึ้น ดังนั้นส่วนตัวอยากจะเตือนว่าการลงทุนย่อมมีความเสี่ยงจึงเป็นเหตุให้เราควรเลือกการลงทุนอย่างระมัดระวังไว้เสมอด้วย

นอกจากนี้แล้วอยากจะแนะนำผู้ที่จะเข้ามาลงทุนว่าการลงทุนในกองทุนรวมอาร์เอ็มเอฟ และกองทุนรวมแอลทีเอฟนั้นเป็นการลงทุนที่ดีอย่างหนึ่ง เพราะการลงทุนทั้งสองแบบนี้สามารถนำสิทธิมาลดหย่อนภาษีได้อีกทั้งยังมีความเสี่ยงน้อยกว่าการลงทุนในตลาดหุ้นด้วยแถมยังสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีอีกด้วย          

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น