ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2550
เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวที่สำคัญ
(และน่ายินดีครับ) เกี่ยวกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ได้แก่
การเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง
ของโครงระบายข้าวสารในสต็อกของรัฐบาลผ่านตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า (AFET)
ตามนโยบายของกระทรวงพาณิชย์
ที่ได้มีการพูดถึงกันมาตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้ว
โดยในวันอังคารที่ 23 มกราคม 2550
สำนักงานคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า (สำนักงาน ก.ส.ล.)
โดยท่านเลขาธิการ ดร.ชัยพัฒน์ สหัสกุล และ กรรมการ ก.ส.ล. คุณชาลทอง ปัทมพงศ์
ร่วมกับ AFET
โดยท่านผู้จัดการตลาด คุณนภาภรณ์ คุรุพสุธาชัย
ร่วมกันแถลงข่าวให้สื่อมวลชนแขนงต่าง ๆ ทราบถึงรายละเอียดโครงการประมูลข้าวสารในสต็อกของรัฐบาลโดยอิงราคาซื้อขายล่วงหน้าในตลาด
AFET โดยคาดว่าจะเริ่มเปิดให้มีการประมูลข้าวแบบใหม่นี้ได้ในวันที่
16 มีนาคม นี้ (สำหรับรายละเอียดติดตามได้จาก
"ก.ส.ล.ผนึกเอเฟทเดินสายแจงพ่อค้าประมูลข้าวตลาดล่วงหน้า 16 มี.ค.นี้"
กรุงเทพธุรกิจ วันที 24 ธันวาคม 2550 หรือ ที่ข่าวประชาสัมพันธ์ของ AFET ที่ www.afet.or.th )
รายละเอียดโครงการประมูลข้าวโดยอิงราคาล่วงหน้าใน
AFET
ครั้งนี้
จะมีทั้งความเหมือนและแตกต่างจากการประมูลข้าวแบบเดิมที่รัฐบาลได้ดำเนินกันมา
โดยประเด็นความเหมือนกันนั้น
การประมูลข้าวโดยอิงราคาล่วงหน้าใน AFET (หรือการประมูลแบบใหม่นี้)
ยังจะมีขั้นตอนการดำเนินงานอยู่หลายส่วนที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปจากการประมูลข้าวแบบเดิม
เช่น หน่วยงานของรัฐยังเป็นผู้จัดการประมูลเองอยู่
การเปิดโกดังให้ผู้ที่สนใจเข้าไปดูสภาพข้าวในโกดัง
การวางหลักประกันกับองค์การคลังสินค้า (อ.ค.ส.) และ
ผู้ชนะประมูลต้องไปรับมอบข้าวจากโกดัก อ.ค.ส.
ตามสภาพข้าวในโกดังที่เปิดให้ประมูลนั้น
ส่วนประเด็นความแตกต่างระหว่างการประมูลข้าวแบบเดิม
และ การประมูลข่าวแบบใหม่นั้น ที่ชัดเจนสุด เห็นจะได้แก่
ประเด็นราคาที่ใช้ในการประมูล เนื่องจาก การประมูลแบบเดิมระบุให้
ผู้สนใจเสนอราคาที่ต้องการซื้อมาเป็น ราคาข้าว/ตัน (หรือที่เรียกว่า Flat
Price เช่น 10,000 บาท ต่อตัน หรือ 10 บาทต่อกิโล) แต่
การประมูลแบบใหม่ กติกาการประมูลนี้จะเปลี่ยนไปเป็น การประมูล ค่าส่วนต่าง หรือ
ค่า BASIS ระหว่าง ราคาข้าวที่จะซื้อขายจริงจากโกดักรัฐบาล
กับ ราคา FUTURES ข้าวอ้างอิงใน AFET โดย
ให้ ผู้สนใจเสนอ ค่า BASIS ที่ตนเห็นว่าเหมาะสมเข้ามา โดย
ผู้ที่เสนอ ค่า BASIS เข้ามาสูงที่สุด จะเป็นผู้ชนะการประมูล
โดยผู้ที่ชนะการประมูลต้องจ่ายเงินให้รัฐสำหรับข้าวกองที่ชนะประมูลนี้
เท่ากับ ราคา FUTURES ข้าวอ้างอิงใน AFET ณ วันที่ระบุไว้ในสัญญาประมูล บวกกับ ค่า BASIS ที่ชนะการประมูล
ตัวอย่างของ ค่า BASIS
หรือ ค่าส่วนต่างมีอยู่ทั่วไปในชีวิตประจำวันครับ เช่น
เมื่อขับรถยนต์ไปเติมน้ำมัน หลายท่านคงทราบว่า ราคาแก๊สโซฮอล์95
จะถูกกว่าราคาเบนซิน95 แน่นอน เนื่องจาก
นโยบายของกระทรวงพลังงานที่ต้องการสนับสนุนให้ผู้บริโภคหันมาใช้แก๊สโซฮอล์กันให้มาก
จึงกำหนดให้ ค่าส่วนลดของราคาแก๊สโซฮอล์จากราคาน้ำมันเบนซิล ไว้ที่ 1.50 บาท/ลิตร
นั่นคือ การกำหนดค่า BASIS ระหว่างราคาแก๊สโซฮอล์95 และ
เบนซิน95 เท่ากับ -1.50 บาท/ลิตร นั่นเอง
ส่วนตัวอย่างของการอ้างอิงราคา (PRICE
REFERENCE) นั้น
คนไทยเราคุ้นเคยกันดีอยู่แล้วกับการอ้างอิงราคาน้ำมันในประเทศ กับ
ราคาอ้างอิงที่สิงค์โปร์ หากราคาที่สิงค์โปร์เพิ่มขึ้น
ราคาน้ำมันในประเทศเราก็มักปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย
ซึ่งการประมูลข้าวแบบใหม่โดยอิงราคาใน AFET
นี้ ได้นำ Concept เรื่องการอ้างอิงราคา และ
ค่า BASIS มาประยุกต์ใช้ในการกำหนดราคาขายข้าวในโกดังของรัฐบาล
กล่าวคือ รัฐบาลจะขายข้าว (เช่น กอง AAA) ที่ผ่านการประมูลแบบใหม่นี้
ที่ราคา เท่ากับ ราคาตลาด ณ วันที่ระบุไว้ (เช่น วันที่ 1 เมษายน 2550) ของ FUTURES
ข้าวอ้างอิงใน AFET ที่ได้เลือกเอาไว้ (เช่น WR5P MAY07) บวกด้วย ค่า BASIS
โดย ค่า BASIS นี้
จะไม่ได้ถูกกำหนดไว้เป็นการล่วงหน้าเหมือน BASIS ระหว่าง
แก๊สโซฮอล์ กับ น้ำมันเบนซิล แต่ ค่า BASIS นี้ (ซึ่งเป็น
บาท/ก.ก. หรือ บาท/ตัน) จะได้มาจากกระบวนการเปิดประมูล
โดยจะเปิดโอกาสให้ผู้สนใจซื้อข้าวจากรัฐบาล เสนอ ค่า BASIS ที่ตนยินดีที่จะจ่ายสำหรับข้าวกอง
AAA เมื่อเทียบกับ FUTURES ใน AFET
ผู้ที่จะชนะการประมูลคือ ผู้ที่เสนอค่า BASIS มาสูงที่สุด
โดยขั้นตอนของวิธีการประมูลข้าวแบบใหม่นี้
รัฐจะต้องกำหนดออกมาก่อนว่าจะเปิดประมูลข้าวกองไหน (เช่น กอง AAA)
กำหนดให้มารับมอบเมื่อใด (เช่น 1 เมษายน 2550) และ จะใช้ราคาของ FUTURES
ใน AFET สัญญาใด เป็นราคาอ้างอิง (เช่น WR5P MAY07) จากนั้น
จึงเปิดให้ผู้สนใจไปดูสภาพข้าวที่จะประมูล แล้วจึง ให้ผู้ที่เข้าร่วมประมูลเสนอราคาประมูลมาเป็นค่า
BASIS โดยผู้เสนอค่า BASIS มาสูงที่สุด
(สมมติ เท่ากับ -0.75 บาท/กก. สำหรับข้าวกอง AAA นี้)
จะเป็นผู้ชนะ และต้องซื้อข้าวกอง AAA จากรัฐ ที่ราคาเท่ากับ
ราคาปิด ณ วันที่ 1 เม.ย.50 ของ WR5P MAY07 (สมมติ 10.75 บาท/ก.ก.) บวกด้วย ค่า BASIS ที่ชนะการประมูล
(สมมุติ เท่ากับ -0.75 บาท/ก.ก.) ฉะนั้นราคาที่ รัฐจะขายข้าวกอง AAA ให้ผู้ชนะประมูลนี้ได้ที่ราคาเท่ากับ 10 บาท/ก.ก.
จะเห็นได้ว่า
โครงการการประมูลข้าวโดยอิงราคาล่วงหน้าใน AFET นี้
ใช้วิธีการกำหนดราคาสินค้า (หรือการ Pricing) โดยอ้างอิงกับราคาสินค้าในตลาดล่วงหน้า
(FUTURES EXCHANGE) นับเป็นมิติใหม่ของวงการค้าข้าวไทย
ที่ราคาซื้อขายข้าว จะถูกอ้างอิงกับราคาในตลาดล่วงหน้า เช่นเดียวกันกับสินค้า COMMODITIES
ประเภทอื่น ๆ (เช่น ข้าวโพด น้ำตาล ยางพารา ทองคำ น้ำมัน ฯลฯ ที่การ
Pricing อิงกับตลาดล่วงหน้ามาเป็นเวลานานมากแล้ว)
นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี สำหรับเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของ AFET ที่จะเป็นแหล่งอ้างอิงราคาของข้าว ในตลาดโลก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น