ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 10 กรกฎาคม 2014
เหลือเชื่อครับสำหรับประเทศเรา
ที่โครงการระดับ
Mega Project อย่างการรับจำนำข้าว จะขาดผู้กำกับดูแล
ไร้ซึ่งการกำกับควบคุม ระบบ Logistics ของโครงการได้ถึงเพียงนี้
(ตามข่าวที่มีการรายงานออกมาตามสื่ออย่างต่อเนื่อง)โดยเฉพาะในขั้นตอนของการเก็บรักษาข้าวในคลังสินค้าหรือโกดัง(Warehouse) ที่ถือได้ว่าเป็นหัวใจของการบริหารจัดการการค้าสินค้าเกษตร
ซึ่งในต่างประเทศและตามทฤษฎีแล้วจะให้ความสำคัญอย่างมาก
อย่าว่าแต่สินค้าข้าวจะหายไปจากโกดัง
(เหมือนโครงการรับจำนำข้าวบ้านเรา) เลยครับ
เอาแค่สินค้ามีคุณภาพตกไปจากที่ได้ระบุไว้ในใบรับของคลังสินค้า หรือ Warehouse
Receipt ก็ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่มาก
ๆ แล้ว ก็คงต้องรอให้ผลความเสียหายที่ทางคณะตรวจสอบ
จะได้ทำการสรุปและเสนอต่อสาธารณชน ให้ได้รับรู้ครับว่ามีข้าวในโกดังสูญหาย
และหรือเสียหาย ไปขนาดไหน
แต่ถึงอย่างไร
ท่านผู้อ่านก็ไม่สมควรที่จะเอาเรื่องของการอ่อนหัดในการบริหาร Logistics ไปสับสนกับหลักการสำคัญของโครงการรับจำนำนะครับ เนื่องจากโครงการรับจำนำ
รวมถึงโครงการประกันราคาขั้นต่ำของรัฐบาลที่ผ่านมามีหลักการสำคัญ
ก็คือกำหนดราคาขั้นต่ำที่เกษตรกรจะได้รับ จากการลงทุนลงแรงเพาะปลูกสินค้าเกษตร
ทั้งนี้ราคาขั้นต่ำดังกล่าวตามหลักการต้องอยู่ในระดับราคาที่เหมาะสม
สอดคล้องกับต้นทุนการผลิตที่แท้จริง และไม่ควรจะสูงไปกว่าราคาตลาด
เนื่องจากชื่อคำว่า "จำนำ"
ก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าราคาสมควรต้องต่ำไปกว่าราคาตลาดซึ่งถ้าหากต้นทุนการผลิตสูง
หรือมีราคาที่สูงไปกว่าราคาตลาดแล้ว
ก็สมควรมีมาตรการกำหนดให้เกษตรกรไปทำอย่างอื่นแทน หรือว่าภาครัฐอาจจะต้องมาพิจารณากันว่ากลไกตลาดที่ใช้กำหนดราคาตลาดดังกล่าวนั้นมีปัญหาหรือไม่อย่างไร
ในช่วงที่ผ่านมาภายใต้นโยบายภาครัฐในปัจจุบัน
ก็เป็นที่ค่อนข้างจะชัดเจนแล้วว่า
คงจะไม่มีโครงการรับจำนำในรูปแบบของการกำหนดราคาจำนำไว้สูง ๆ
เหมือนอย่างอดีตอีกแล้ว แต่จะมีการมุ่งเน้นช่วยเหลือเกษตรกรในรูปแบบอื่น ๆ แทน
เช่น การลดต้นทุนการผลิต ได้แก่ ค่าปุ๋ย ค่ายาฆ่าแมลง ค่าเมล็ดพันธุ์ ค่าเช่านา ค่ารถเกี่ยว ฯลฯ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีอย่างมาก
เพราะในปัจจุบันดูเหมือนว่าราคาต้นทุนการผลิตต่างๆเหล่านั้น
ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอย่างมากในช่วง 5 ปี ที่ผ่านมา
อีกทั้งโครงการเสริมสภาพคล่องให้กับเกษตรกรโดยภาครัฐผ่านธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์เพื่อการเกษตร
(ธ.ก.ส.) มี
1.โครงการชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อการผลิตแก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี3%
ต่อปีรายละไม่เกิน50,000 บาทระยะเวลาไม่เกิน6 เดือน
2.โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร 3.โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร
นอกจากนี้ ยังมีโครงการประกันภัยพืชผล
ที่มีแม่แบบมาจากโครงการ the Federal Crop Insurance Program ของสหรัฐซึ่งธ.ก.ส ได้รับอนุมัติให้เป็น ผู้บริหารโครงการ
เพื่อช่วยให้เกษตรกรลดความเสี่ยงจากปัญหาภัยธรรมชาติและภัยพิบัติต่างๆ
ที่อาจจะเกิดขึ้น อาทิ น้ำท่วม ภัยแล้งหรือฝนทิ้งช่วง
ภัยจากศัตรูพืชและโรคระบาดได้
โดยร่วมมือกับ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย
(สำนักงาน คปภ.) สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กรมส่งเสริมการเกษตร
และสมาคมประกันวินาศภัยไทย ซึ่งเพิ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเมื่อวันศุกร์ที่ 27
มิ.ย. 2557 ที่ผ่านมา
สำหรับเงื่อนไขการดำเนินโครงการประกันภัยพืชผลนี้
จำแนกเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการตามลำดับความเสี่ยงของพื้นที่ ซึ่งแบ่งเป็น 5
ระดับคือ 1.พื้นที่เสี่ยงต่ำที่สุด 2.พื้นที่เสี่ยงต่ำมาก 3. พื้นที่เสี่ยงต่ำ
4.พื้นที่เสี่ยงปานกลาง และ5.พื้นที่เสี่ยงสูง
ซึ่งแน่นอนว่ายิ่งพื้นที่มีความเสี่ยงสูงเท่าใด
ค่าเบี้ยประกันภัยก็ต้องแพงตามขึ้นเท่านั้น
ซึ่งตัวเลขของอัตราค่าเบี้ยประกันภัยรวมสำหรับ 5 พื้นที่ดังกล่าว อยู่ที่
129.47 บาท/ไร่ 247.17 บาท/ไร่ 376.64
บาท/ไร่ 472.94 บาท/ไร่และ 510.39 บาท/ไร่ ตามลำดับ
ในการนี้ภาครัฐจะอุดหนุนในส่วนค่าเบี้ยประกันส่วนใหญ่ให้ อีกทั้ง ธ.ก.ส.
จะให้การสนับสนุนกับเกษตรกรที่เป็นลูกค้าอีก 10 บาท/ไร่
ทำให้เกษตรกรผู้เข้าร่วมโครงการนี้ที่อยู่ในพื้นที่เสียงระดับ 1 - 5 นี้
จะต้องจ่ายเพียงอัตราไร่ละ 50 บาท 60 บาท 70 บาท 80 บาทและ 90 บาท เท่านั้น
การประกันภัยจะคุ้มครองความเสียหายที่เกิดจากภัยธรรมชาติ 7 ประเภท โดย 6
ประเภทแรก ได้แก่ น้ำท่วมภัยแล้งหรือฝนทิ้งช่วง ลมพายุ อากาศหนาว ลูกเห็บและไฟไหม้
จะโดยได้รับชดเชย 1,111 บาท/ไร่ และประเภทที่ 7 ซึ่งเป็นภัยจากศัตรูพืชและโรคระบาด
จะได้รับการชดเชย 555 บาท/ไร่
ทั้งนี้ยังไม่รวมความช่วยเหลือเบื้องต้นจากภาครัฐกรณีเกิดภัยพิบัติซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ไร่1,113 บาท/ไร่ ทำให้เมื่อรวมกับประกันภัยที่เกษตรกรซื้อไว้อีก 1,111 บาท/ไร่ เท่ากับเกษตรกรได้รับเงินชดเชยไร่ละ 2,224
บาท ซึ่งเกิดการช่วยบรรเทาความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นได้
หน้าที่ของธ.ก.สในโครงการนี้จะเป็นตัวกลาง ระหว่างเกษตรกรผู้เอาประกันภัยกับบริษัทประกันภัยที่เข้าร่วมโครงการ โดยในนี้มี 4 บริษัทได้แก่ บมจ.
วิริยะประกันภัย ทิพยประกันภัยประกันภัยไทยวิวัฒน์และเจ้าพระยาประกันภัย
ซึ่งทราบว่าทั้ง 4 บริษัทยังจากรับประกันภัยจากเกษตรแล้ว จะผ่องถ่ายความเสี่ยงส่วนใหญ่ของโครงการนี้ออกไป
ด้วยวิธีการประกันภัยต่อ หรือ Reinsurance กับ
บริษัทรับประกันภัยต่อในต่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม
ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าการบริหารความเสี่ยงด้านราคา
ก็คงมีความสำคัญต่อสภาพความเป็นอยู่ของเกษตรกรอย่างมาก เนื่องจาก
รายได้จากการขายผลิตผลของเกษตรกรคนหนึ่งๆจะเท่ากับราคาสินค้าที่ขายได้ (Price) คูณกับผลิตผลที่เก็บเกี่ยวได้
(Output) ซึ่งส่วนใหญ่จะมีการผกผันกันในทิศทางตรงกันข้ามเสมอ
โครงการรับจำนำถือว่าตัวอย่างของเครื่องมือการดูแลความเสี่ยงด้านราคา (Price Risk) ของรัฐบาล ที่มีให้แก่พี่น้องเกษตรกร ทั้งนี้เนื่องจากราคาสินค้าเกษตรส่วนใหญ่มีความอ่อนไหวมากต่อการเพิ่มขึ้นของผลผลิตอย่างมาก (ดูตัวอย่างของมะนาวเมื่อเร็ว ๆ นี้ซิครับ)
อีกทั้งโดยธรรมชาติของภาคเกษตรที่ผู้คนภาคการผลิตซึ่งจะเป็นผู้ขายสินค้านั้น
จะมีจำนวนมากกว่าฝั่งผู้รับซื้อ ได้แก่ ผู้แปรรูป/ผู้ส่งออก หลายร้อยหลายพันเท่า
ทำให้ผู้ที่อยู่ในฝั่งด้านซื้อมีอำนาจทางการต่อรอง (Bargaining Power) มากกว่าอยู่แล้ว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น