วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

เลิกรับจำนำราคาแต่มีเยียวยาหากนาล่ม

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 10 กรกฎาคม 2014
      
         เหลือเชื่อครับสำหรับประเทศเรา ที่โครงการระดับ Mega Project อย่างการรับจำนำข้าว จะขาดผู้กำกับดูแล ไร้ซึ่งการกำกับควบคุม ระบบ Logistics ของโครงการได้ถึงเพียงนี้  (ตามข่าวที่มีการรายงานออกมาตามสื่ออย่างต่อเนื่อง)โดยเฉพาะในขั้นตอนของการเก็บรักษาข้าวในคลังสินค้าหรือโกดัง(Warehouse)  ที่ถือได้ว่าเป็นหัวใจของการบริหารจัดการการค้าสินค้าเกษตร ซึ่งในต่างประเทศและตามทฤษฎีแล้วจะให้ความสำคัญอย่างมาก

          อย่าว่าแต่สินค้าข้าวจะหายไปจากโกดัง (เหมือนโครงการรับจำนำข้าวบ้านเรา) เลยครับ เอาแค่สินค้ามีคุณภาพตกไปจากที่ได้ระบุไว้ในใบรับของคลังสินค้า หรือ Warehouse Receipt  ก็ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่มาก ๆ แล้ว ก็คงต้องรอให้ผลความเสียหายที่ทางคณะตรวจสอบ จะได้ทำการสรุปและเสนอต่อสาธารณชน ให้ได้รับรู้ครับว่ามีข้าวในโกดังสูญหาย และหรือเสียหาย ไปขนาดไหน

          แต่ถึงอย่างไร ท่านผู้อ่านก็ไม่สมควรที่จะเอาเรื่องของการอ่อนหัดในการบริหาร Logistics ไปสับสนกับหลักการสำคัญของโครงการรับจำนำนะครับ เนื่องจากโครงการรับจำนำ รวมถึงโครงการประกันราคาขั้นต่ำของรัฐบาลที่ผ่านมามีหลักการสำคัญ ก็คือกำหนดราคาขั้นต่ำที่เกษตรกรจะได้รับ จากการลงทุนลงแรงเพาะปลูกสินค้าเกษตร

          ทั้งนี้ราคาขั้นต่ำดังกล่าวตามหลักการต้องอยู่ในระดับราคาที่เหมาะสม สอดคล้องกับต้นทุนการผลิตที่แท้จริง และไม่ควรจะสูงไปกว่าราคาตลาด เนื่องจากชื่อคำว่า "จำนำ" ก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าราคาสมควรต้องต่ำไปกว่าราคาตลาดซึ่งถ้าหากต้นทุนการผลิตสูง หรือมีราคาที่สูงไปกว่าราคาตลาดแล้ว ก็สมควรมีมาตรการกำหนดให้เกษตรกรไปทำอย่างอื่นแทน หรือว่าภาครัฐอาจจะต้องมาพิจารณากันว่ากลไกตลาดที่ใช้กำหนดราคาตลาดดังกล่าวนั้นมีปัญหาหรือไม่อย่างไร

          ในช่วงที่ผ่านมาภายใต้นโยบายภาครัฐในปัจจุบัน ก็เป็นที่ค่อนข้างจะชัดเจนแล้วว่า คงจะไม่มีโครงการรับจำนำในรูปแบบของการกำหนดราคาจำนำไว้สูง ๆ เหมือนอย่างอดีตอีกแล้ว แต่จะมีการมุ่งเน้นช่วยเหลือเกษตรกรในรูปแบบอื่น ๆ แทน เช่น การลดต้นทุนการผลิต ได้แก่ ค่าปุ๋ย ค่ายาฆ่าแมลง ค่าเมล็ดพันธุ์  ค่าเช่านา ค่ารถเกี่ยว ฯลฯ  ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีอย่างมาก เพราะในปัจจุบันดูเหมือนว่าราคาต้นทุนการผลิตต่างๆเหล่านั้น ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอย่างมากในช่วง 5 ปี ที่ผ่านมา

          อีกทั้งโครงการเสริมสภาพคล่องให้กับเกษตรกรโดยภาครัฐผ่านธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์เพื่อการเกษตร (ธ.ก.ส.) มี 1.โครงการชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อการผลิตแก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี3% ต่อปีรายละไม่เกิน50,000 บาทระยะเวลาไม่เกิน6 เดือน  2.โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร 3.โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร

          นอกจากนี้ ยังมีโครงการประกันภัยพืชผล ที่มีแม่แบบมาจากโครงการ  the Federal Crop Insurance Program ของสหรัฐซึ่งธ.ก.ส ได้รับอนุมัติให้เป็น ผู้บริหารโครงการ เพื่อช่วยให้เกษตรกรลดความเสี่ยงจากปัญหาภัยธรรมชาติและภัยพิบัติต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น อาทิ น้ำท่วม ภัยแล้งหรือฝนทิ้งช่วง ภัยจากศัตรูพืชและโรคระบาดได้  โดยร่วมมือกับ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กรมส่งเสริมการเกษตร และสมาคมประกันวินาศภัยไทย ซึ่งเพิ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเมื่อวันศุกร์ที่ 27 มิ.ย. 2557 ที่ผ่านมา

          สำหรับเงื่อนไขการดำเนินโครงการประกันภัยพืชผลนี้ จำแนกเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการตามลำดับความเสี่ยงของพื้นที่ ซึ่งแบ่งเป็น 5 ระดับคือ 1.พื้นที่เสี่ยงต่ำที่สุด 2.พื้นที่เสี่ยงต่ำมาก 3. พื้นที่เสี่ยงต่ำ 4.พื้นที่เสี่ยงปานกลาง และ5.พื้นที่เสี่ยงสูง ซึ่งแน่นอนว่ายิ่งพื้นที่มีความเสี่ยงสูงเท่าใด ค่าเบี้ยประกันภัยก็ต้องแพงตามขึ้นเท่านั้น  ซึ่งตัวเลขของอัตราค่าเบี้ยประกันภัยรวมสำหรับ 5 พื้นที่ดังกล่าว อยู่ที่ 129.47 บาท/ไร่  247.17 บาท/ไร่ 376.64 บาท/ไร่ 472.94 บาท/ไร่และ 510.39 บาท/ไร่ ตามลำดับ

          ในการนี้ภาครัฐจะอุดหนุนในส่วนค่าเบี้ยประกันส่วนใหญ่ให้ อีกทั้ง ธ.ก.ส. จะให้การสนับสนุนกับเกษตรกรที่เป็นลูกค้าอีก 10 บาท/ไร่  ทำให้เกษตรกรผู้เข้าร่วมโครงการนี้ที่อยู่ในพื้นที่เสียงระดับ 1 - 5 นี้ จะต้องจ่ายเพียงอัตราไร่ละ 50 บาท 60 บาท 70 บาท 80 บาทและ 90 บาท เท่านั้น

          การประกันภัยจะคุ้มครองความเสียหายที่เกิดจากภัยธรรมชาติ 7 ประเภท โดย 6 ประเภทแรก ได้แก่ น้ำท่วมภัยแล้งหรือฝนทิ้งช่วง ลมพายุ อากาศหนาว ลูกเห็บและไฟไหม้ จะโดยได้รับชดเชย 1,111 บาท/ไร่ และประเภทที่ 7 ซึ่งเป็นภัยจากศัตรูพืชและโรคระบาด จะได้รับการชดเชย 555 บาท/ไร่ ทั้งนี้ยังไม่รวมความช่วยเหลือเบื้องต้นจากภาครัฐกรณีเกิดภัยพิบัติซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ไร่1,113 บาท/ไร่ ทำให้เมื่อรวมกับประกันภัยที่เกษตรกรซื้อไว้อีก 1,111 บาท/ไร่ เท่ากับเกษตรกรได้รับเงินชดเชยไร่ละ 2,224 บาท ซึ่งเกิดการช่วยบรรเทาความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นได้

          หน้าที่ของธ.ก.สในโครงการนี้จะเป็นตัวกลาง ระหว่างเกษตรกรผู้เอาประกันภัยกับบริษัทประกันภัยที่เข้าร่วมโครงการ  โดยในนี้มี 4 บริษัทได้แก่ บมจ. วิริยะประกันภัย ทิพยประกันภัยประกันภัยไทยวิวัฒน์และเจ้าพระยาประกันภัย ซึ่งทราบว่าทั้ง 4 บริษัทยังจากรับประกันภัยจากเกษตรแล้ว จะผ่องถ่ายความเสี่ยงส่วนใหญ่ของโครงการนี้ออกไป ด้วยวิธีการประกันภัยต่อ หรือ Reinsurance กับ บริษัทรับประกันภัยต่อในต่างประเทศ

          อย่างไรก็ตาม ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าการบริหารความเสี่ยงด้านราคา ก็คงมีความสำคัญต่อสภาพความเป็นอยู่ของเกษตรกรอย่างมาก เนื่องจาก รายได้จากการขายผลิตผลของเกษตรกรคนหนึ่งๆจะเท่ากับราคาสินค้าที่ขายได้ (Price) คูณกับผลิตผลที่เก็บเกี่ยวได้ (Output) ซึ่งส่วนใหญ่จะมีการผกผันกันในทิศทางตรงกันข้ามเสมอ

          โครงการรับจำนำถือว่าตัวอย่างของเครื่องมือการดูแลความเสี่ยงด้านราคา (Price Risk) ของรัฐบาล ที่มีให้แก่พี่น้องเกษตรกร ทั้งนี้เนื่องจากราคาสินค้าเกษตรส่วนใหญ่มีความอ่อนไหวมากต่อการเพิ่มขึ้นของผลผลิตอย่างมาก  (ดูตัวอย่างของมะนาวเมื่อเร็ว ๆ นี้ซิครับ) อีกทั้งโดยธรรมชาติของภาคเกษตรที่ผู้คนภาคการผลิตซึ่งจะเป็นผู้ขายสินค้านั้น จะมีจำนวนมากกว่าฝั่งผู้รับซื้อ ได้แก่ ผู้แปรรูป/ผู้ส่งออก หลายร้อยหลายพันเท่า ทำให้ผู้ที่อยู่ในฝั่งด้านซื้อมีอำนาจทางการต่อรอง (Bargaining Power) มากกว่าอยู่แล้ว

          โดยธรรมชาติกลไกต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อเสริมอำนาจการต่อรองให้กับผู้ขายจึงจะเป็นการช่วยภาคการผลิตได้อย่างมาก ซึ่งก็มีเครื่องมือ/โครงการในทำนองที่ว่าที่มิได้ไปบิดเบือนกลไกตลาดอีกมากมาย อาทิ โครงการ Price Loss Coverage หรือ PLC ตามกฎหมาย Farm Bill ปีล่าสุดนี้ (2014) ของสหรัฐ ที่เกษตรกรผู้เข้าร่วมโครงการจะได้รับการเยียวยาเป็นเงินชดเชย (หากราคาตลาดที่เกษตรกรได้รับต่ำกว่าราคาอ้างอิงที่ถูกกำหนดไว้แต่ต้น) หรือจะเป็นการใช้กลไกตลาด Futures สินค้าเกษตร ซึ่งได้มี แม่แบบที่วิวัฒนาการมาแล้วกว่า 100 ปี ในเกือบทุกประเภทสินค้าเกษตรสำคัญของกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น