ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 14 พฤษภาคม 2552
ปัญหาการเก็บภาษีต่ำกว่าเป้า
กำลังเป็นประเด็นปัญหารุมเร้ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
นายกรัฐมนตรีทำให้ต้องทบทวนปรับลดงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2553 ลง
และเริ่มหาทางเพิ่มรายได้ของภาครัฐ โดยการปรับเพิ่มอัตราภาษีสินค้าฟุ่มเฟือยบางตัว
ได้แก่ สุรา และบุหรี่
นอกเหนือจากรายจ่ายประจำที่เป็นเงินเดือนของข้าราชการ
ซึ่งเป็นเม็ดเงินส่วนใหญ่ของงบประมาณแผ่นดินในแต่ละปีแล้ว
เม็ดเงินงบประมาณที่ภาครัฐได้ทุ่มไปกับโครงการที่เกี่ยวข้องกับสินค้าเกษตร
เพื่อช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรปีที่ผ่านๆ มา เป็นเงินนับแสนล้าน อาทิ
โครงการรับจำนำสินค้าเกษตรชนิดสำคัญๆ เช่น ข้าว มันสำปะหลัง และ ข้าวโพด ฯลฯ
ทั้งนี้ โครงการรับจำนำสินค้าเกษตร มีชื่อเสียงที่ไม่ค่อยดี
ตรงที่ว่าโครงการดังกล่าว ใช้เงินงบประมาณจำนวนมาก และภาครัฐมักจะถูกกล่าวหาว่า
บิดเบือนกลไกตลาดด้วยการกำหนดราคาจำนำไว้สูงกว่าราคาตลาด ซึ่งมีคำถามตามมาก็คือว่า
แท้ที่จริงแล้ว ราคารับจำนำสูงเกินไป หรือ
ราคาตลาดของสินค้าเกษตรในประเทศเรานั้นต่ำเกินไป
ในหลักการแล้ว การรับจำนำสินค้าไม่ว่าจะเป็น สร้อยทอง นาฬิกา ทีวี
สถานธนานุบาล หรือโรงรับจำนำ
จะให้ราคารับจำนำที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงของสินค้าชนิดนั้นๆ เสมอ เช่น สร้อยทอง
1 บาท มูลค่า ณ ปัจจุบัน 15,000 บาท โรงรับจำนำอาจให้ราคาแก่ผู้ที่มาจำนำเต็มที่
12,500 บาท เพื่อจะเป็นที่แน่ใจว่า ผู้ที่มาจำนำ จะมาไถ่ถอนสินค้ากลับคืนไป
โดยต้องจ่ายค่าดอกเบี้ยให้โรงรับจำนำ ซึ่งขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่จำนำไว้
ส่วนสินค้าที่ผู้ที่มาจำนำไม่มาไถ่ถอนคืนเราจะรู้จักกันว่าเป็น
"ของหลุดจำนำ" ซึ่งโรงรับจำนำต้องนำมาออกขายถอนตลาดต่อไป
มาประเด็นที่ว่าราคารับจำนำ จะสูงไปหรือไม่
ปัจจัยที่นำมาพิจารณาเทียบเคียงได้ คือ ต้นทุนการผลิตที่แท้จริงของเกษตรกร บวกด้วย
กำไรอันจะเป็นรายได้ของพี่น้องเกษตรกรในการดำรงชีพ
ซึ่งหากราคารับจำนำนั้นสูงกว่าราคาที่เกษตรกรสามารถขายได้แล้วละก็
"สินค้าเกษตรหลุดจำนำ" ย่อมต้องค้างอยู่กับรัฐบาลเป็นจำนวนมาก
โครงการรับจำนำสินค้าเกษตร
เป็นโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกร แต่ปัจจุบันมีคำถามอยู่
ภาครัฐ และ/หรือ กลไกการบริหารราชการของรัฐ มีความสามารถ
และ/หรือเชี่ยวชาญการบริหารจัดการกับสต็อกเพียงใด และหากไม่เชี่ยวชาญ
ควรจะเข้าไปรับสินค้าเกษตรเข้ามาอยู่ในครอบครองของภาครัฐเป็นจำนวนมากหรือไม่
เพราะการจัดการที่ไม่มีประสิทธิภาพ
ย่อมก่อให้เกิดต้นทุนในการบริหารจัดการสต็อกสินค้าเกษตร (ทั้งการเก็บรักษา
และการระบายสต็อก) ซึ่งบางครั้งทำให้สิ้นเปลืองเงินงบประมาณแผ่นดินจำนวนมาก
กล่าวโดยสรุป ก็คือ โครงการรับจำนำสินค้าเกษตร นับเป็นโครงการที่ดี
เพื่อช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกร หากแต่ต้องกำหนดราคารับจำนำอย่างเหมาะสม
ร่วมกับการบริหารจัดการสต็อกสินค้าเกษตรที่มีประสิทธิภาพ
เพราะราคาสินค้าเกษตรภายใต้โครงการรับจำนำ ยังเคลื่อนไหวได้ตามกลไกตลาด
ไม่เหมือนกับวิธีการกำหนดราคาขึ้นต่ำ (Floor Price) ด้วยวิธีการ Price
Support Program อย่างที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาเคยทำในช่วงเวลาเกือบ
100 ปีมาแล้ว
ดังนั้นจึงเป็นที่น่ายินดีว่า
รัฐบาลชุดปัจจุบันได้ตระหนักถึงข้อจำกัดดังที่ได้กล่าวมาข้างต้นแล้วเป็นอย่างดี
จึงเริ่มมีแนวคิดที่จะปรับเปลี่ยนวิธีการช่วยเหลือเกษตรกร
จากแบบที่รัฐต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสต็อกสินค้าเกษตร
มาเป็นวิธีช่วยเหลือที่เป็นการรับประกันราคาสินค้าขั้นต่ำ (อ่านรายละเอียดใน เลิกนโยบายจำนำสินค้าเกษตร ทุกฝ่ายขานรับระดมสมองแก้ปัญหายั่งยืน ไทยรัฐ 11
พ.ค.2552)
ภาครัฐมีแนวทางที่จะช่วยเหลือเกษตรกร โดยวิธีรับประกันว่า
เกษตรกรจะได้ราคาขั้นต่ำ หรือราคาเป้าหมาย หากราคาตลาดที่เกษตรกรขายได้
อยู่ในระดับราคาที่ต่ำกว่าเป้าหมายแล้ว รัฐจะจ่ายส่วนต่างราคาให้
วิธีการที่ว่านี้ มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า Deficiency
Payment
หรือมีลักษณะคล้าย ๆ กับการที่ภาครัฐแจกคูปอง Put Options ให้กับเกษตรกรแบบให้เปล่า
โดยที่ไม่ต้องเข้าไปแตะต้องกับสต็อกของสินค้าเกษตรชนิดนั้นๆ
(แต่ก็มีปัญหาอยู่ที่ว่าราคาตลาดที่เหมาะสมและที่ยอมรับของทุกฝ่ายจะหามาได้อย่างไร)
มาประเด็นว่า ราคาตลาดในประเทศต่ำเกินไปหรือไม่
ต้องย้อนกลับมาพิจารณากันก่อนว่า ราคาตลาด หรือราคายุติธรรมของสินค้าเกษตร ณ
เวลาใด เวลาหนึ่ง จะหามาได้อย่างไร
ผมจึงลองเปิดตำราดู พบว่า กลไกการค้นหาราคาของสินค้าเกษตรทั่วโลก
แบ่งออกเป็น 3 วิธีใหญ่ๆ ได้แก่ 1.การเจรจาต่อรอง (Negotiations) 2.การประมูล
(Auctions) 3. การกำหนดราคาของผู้มีอำนาจ (Administrative
Decisions) โดยแต่ละวิธีจะมีความเหมาะสมกับโครงสร้างวิถีตลาดสินค้าเกษตรที่แตกต่างกันออกไป
ส่วนไทยซึ่งเป็นประเทศเกษตรกรรม และมีผู้ผลิตสินค้าเกษตรหลัก ได้แก่
ข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง เป็นจำนวนมาก
ทำให้ผลิตสินค้าได้เกินความต้องการของผู้บริโภคภายใน และโดยมากมีวิธีการค้นหาราคา
ด้วยวิธีการเจรจาต่อรองระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย
ส่งผลให้กลไกราคาของสินค้าเกษตรมักถูกกำหนดโดยผู้ส่งออก และ/หรือ
ผู้ซื้อจากต่างประเทศ เช่น ราคาสินค้าเกษตรที่เกษตรกรจะได้รับ
มักถูกสะท้อนมาจากราคาที่ผู้ส่งออกประกาศรับซื้อ เป็นต้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น