วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

นโยบายสินค้าเกษตรที่เริ่มจะเปลี่ยนไป

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 14 พฤษภาคม 2552

ปัญหาการเก็บภาษีต่ำกว่าเป้า กำลังเป็นประเด็นปัญหารุมเร้ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีทำให้ต้องทบทวนปรับลดงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2553 ลง และเริ่มหาทางเพิ่มรายได้ของภาครัฐ โดยการปรับเพิ่มอัตราภาษีสินค้าฟุ่มเฟือยบางตัว ได้แก่ สุรา และบุหรี่

นอกเหนือจากรายจ่ายประจำที่เป็นเงินเดือนของข้าราชการ ซึ่งเป็นเม็ดเงินส่วนใหญ่ของงบประมาณแผ่นดินในแต่ละปีแล้ว เม็ดเงินงบประมาณที่ภาครัฐได้ทุ่มไปกับโครงการที่เกี่ยวข้องกับสินค้าเกษตร เพื่อช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรปีที่ผ่านๆ มา เป็นเงินนับแสนล้าน อาทิ โครงการรับจำนำสินค้าเกษตรชนิดสำคัญๆ เช่น ข้าว มันสำปะหลัง และ ข้าวโพด ฯลฯ

ทั้งนี้ โครงการรับจำนำสินค้าเกษตร มีชื่อเสียงที่ไม่ค่อยดี ตรงที่ว่าโครงการดังกล่าว ใช้เงินงบประมาณจำนวนมาก และภาครัฐมักจะถูกกล่าวหาว่า บิดเบือนกลไกตลาดด้วยการกำหนดราคาจำนำไว้สูงกว่าราคาตลาด ซึ่งมีคำถามตามมาก็คือว่า แท้ที่จริงแล้ว ราคารับจำนำสูงเกินไป หรือ ราคาตลาดของสินค้าเกษตรในประเทศเรานั้นต่ำเกินไป

ในหลักการแล้ว การรับจำนำสินค้าไม่ว่าจะเป็น สร้อยทอง นาฬิกา ทีวี สถานธนานุบาล หรือโรงรับจำนำ จะให้ราคารับจำนำที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงของสินค้าชนิดนั้นๆ เสมอ เช่น สร้อยทอง 1 บาท มูลค่า ณ ปัจจุบัน 15,000 บาท โรงรับจำนำอาจให้ราคาแก่ผู้ที่มาจำนำเต็มที่ 12,500 บาท เพื่อจะเป็นที่แน่ใจว่า ผู้ที่มาจำนำ จะมาไถ่ถอนสินค้ากลับคืนไป โดยต้องจ่ายค่าดอกเบี้ยให้โรงรับจำนำ ซึ่งขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่จำนำไว้

ส่วนสินค้าที่ผู้ที่มาจำนำไม่มาไถ่ถอนคืนเราจะรู้จักกันว่าเป็น "ของหลุดจำนำ" ซึ่งโรงรับจำนำต้องนำมาออกขายถอนตลาดต่อไป

มาประเด็นที่ว่าราคารับจำนำ จะสูงไปหรือไม่ ปัจจัยที่นำมาพิจารณาเทียบเคียงได้ คือ ต้นทุนการผลิตที่แท้จริงของเกษตรกร บวกด้วย กำไรอันจะเป็นรายได้ของพี่น้องเกษตรกรในการดำรงชีพ ซึ่งหากราคารับจำนำนั้นสูงกว่าราคาที่เกษตรกรสามารถขายได้แล้วละก็ "สินค้าเกษตรหลุดจำนำ" ย่อมต้องค้างอยู่กับรัฐบาลเป็นจำนวนมาก

โครงการรับจำนำสินค้าเกษตร เป็นโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกร แต่ปัจจุบันมีคำถามอยู่ ภาครัฐ และ/หรือ กลไกการบริหารราชการของรัฐ มีความสามารถ และ/หรือเชี่ยวชาญการบริหารจัดการกับสต็อกเพียงใด และหากไม่เชี่ยวชาญ ควรจะเข้าไปรับสินค้าเกษตรเข้ามาอยู่ในครอบครองของภาครัฐเป็นจำนวนมากหรือไม่ เพราะการจัดการที่ไม่มีประสิทธิภาพ ย่อมก่อให้เกิดต้นทุนในการบริหารจัดการสต็อกสินค้าเกษตร (ทั้งการเก็บรักษา และการระบายสต็อก) ซึ่งบางครั้งทำให้สิ้นเปลืองเงินงบประมาณแผ่นดินจำนวนมาก

กล่าวโดยสรุป ก็คือ โครงการรับจำนำสินค้าเกษตร นับเป็นโครงการที่ดี เพื่อช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกร หากแต่ต้องกำหนดราคารับจำนำอย่างเหมาะสม ร่วมกับการบริหารจัดการสต็อกสินค้าเกษตรที่มีประสิทธิภาพ เพราะราคาสินค้าเกษตรภายใต้โครงการรับจำนำ ยังเคลื่อนไหวได้ตามกลไกตลาด ไม่เหมือนกับวิธีการกำหนดราคาขึ้นต่ำ (Floor Price) ด้วยวิธีการ Price Support Program อย่างที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาเคยทำในช่วงเวลาเกือบ 100 ปีมาแล้ว

ดังนั้นจึงเป็นที่น่ายินดีว่า รัฐบาลชุดปัจจุบันได้ตระหนักถึงข้อจำกัดดังที่ได้กล่าวมาข้างต้นแล้วเป็นอย่างดี จึงเริ่มมีแนวคิดที่จะปรับเปลี่ยนวิธีการช่วยเหลือเกษตรกร จากแบบที่รัฐต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสต็อกสินค้าเกษตร มาเป็นวิธีช่วยเหลือที่เป็นการรับประกันราคาสินค้าขั้นต่ำ (อ่านรายละเอียดใน “เลิกนโยบายจำนำสินค้าเกษตร ทุกฝ่ายขานรับระดมสมองแก้ปัญหายั่งยืน ไทยรัฐ 11 พ.ค.2552)

ภาครัฐมีแนวทางที่จะช่วยเหลือเกษตรกร โดยวิธีรับประกันว่า เกษตรกรจะได้ราคาขั้นต่ำ หรือราคาเป้าหมาย หากราคาตลาดที่เกษตรกรขายได้ อยู่ในระดับราคาที่ต่ำกว่าเป้าหมายแล้ว รัฐจะจ่ายส่วนต่างราคาให้

วิธีการที่ว่านี้ มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า Deficiency Payment หรือมีลักษณะคล้าย ๆ กับการที่ภาครัฐแจกคูปอง Put Options ให้กับเกษตรกรแบบให้เปล่า โดยที่ไม่ต้องเข้าไปแตะต้องกับสต็อกของสินค้าเกษตรชนิดนั้นๆ (แต่ก็มีปัญหาอยู่ที่ว่าราคาตลาดที่เหมาะสมและที่ยอมรับของทุกฝ่ายจะหามาได้อย่างไร)

มาประเด็นว่า ราคาตลาดในประเทศต่ำเกินไปหรือไม่ ต้องย้อนกลับมาพิจารณากันก่อนว่า ราคาตลาด หรือราคายุติธรรมของสินค้าเกษตร ณ เวลาใด เวลาหนึ่ง จะหามาได้อย่างไร

ผมจึงลองเปิดตำราดู พบว่า กลไกการค้นหาราคาของสินค้าเกษตรทั่วโลก แบ่งออกเป็น 3 วิธีใหญ่ๆ ได้แก่ 1.การเจรจาต่อรอง (Negotiations) 2.การประมูล (Auctions) 3. การกำหนดราคาของผู้มีอำนาจ (Administrative Decisions) โดยแต่ละวิธีจะมีความเหมาะสมกับโครงสร้างวิถีตลาดสินค้าเกษตรที่แตกต่างกันออกไป

ส่วนไทยซึ่งเป็นประเทศเกษตรกรรม และมีผู้ผลิตสินค้าเกษตรหลัก ได้แก่ ข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง เป็นจำนวนมาก ทำให้ผลิตสินค้าได้เกินความต้องการของผู้บริโภคภายใน และโดยมากมีวิธีการค้นหาราคา ด้วยวิธีการเจรจาต่อรองระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย

ส่งผลให้กลไกราคาของสินค้าเกษตรมักถูกกำหนดโดยผู้ส่งออก และ/หรือ ผู้ซื้อจากต่างประเทศ เช่น ราคาสินค้าเกษตรที่เกษตรกรจะได้รับ มักถูกสะท้อนมาจากราคาที่ผู้ส่งออกประกาศรับซื้อ เป็นต้น

ส่วนตัวแล้ววิธีการค้นพบราคาที่เหมาะสมกับโครงสร้างวิถีตลาดของสินค้าเกษตรหลักในประเทศเรา คือ การซื้อขายสินค้าเกษตรหลักผ่านกระบวนการประมูล (Auctions) ในตลาดซื้อขายที่มีการจัดตั้งอย่างทางการ (Organized Market) ด้วยวิธีการประมูลอย่างเปิดเผย ได้แก่ กลไกตลาดกลาง และ กลไกตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า หรือ Futures Market น่าจะเป็นทางเลือกในการสะท้อนราคาที่เหมาะสมที่สุด สำหรับสภาพที่เป็นอยู่ดั่งเช่นปัจจุบัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น