ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 15 มกราคม 2552
ก็ผ่านไปอีกหนึ่งปีนะครับสำหรับปี พ.ศ. 2551
ปีที่หลายคนไม่ว่าจะเป็นนักลงทุน ผู้ประกอบการ เกษตรกร หรือ ผู้บริโภค คงต้องจดจำไว้อีกนานนะครับว่าเป็นปีแห่งความผันผวน
ทั้งตลาดหุ้นที่ดัชนีตกลงมาจากปีก่อนถึงประมาณ 47% โดยดัชนีหลักทรัพย์ SET Index ปรับลดลงจาก 858.10 จุด มาเหลือเพียง 449.96 จุด ขณะที่มูลค่าของตลาด (Market
Capitalization) ได้ปรับลดจากมูลค่าประมาณ 5 ล้านล้านบาท เหลือเพียง
3.57 ล้านล้านบาท ณ สิ้นปี 2551
ยางพาราล่วงหน้า (Rubber Futures) ที่ซื้อขายกันในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย
(AFET) มีราคาปิดเมื่อตอนปี 2550 ที่ 89 บาทต่อกิโลกรัม
จากนั้นในช่วงปลายเดือนมิถุนายน 2551 ราคาได้ปรับเพิ่มขึ้นสูงสุดที่ 108.3 บาท/กก.
ก่อนที่จะมีแนวโน้มปรับตัวลงลงอย่างต่อเนื่อง และมาปิดซื้อขายในวันที่ 30 ธ.ค. 51
ที่ราคา 51.9 บาท/กก. คิดเป็นการปรับตัวลดลงถึง 42%
รูปที่ 1: ราคายางพาราล่วงหน้า (Rubber Futures) ใน AFET ปี พ.ศ.2551
สินค้าอุตสาหกรรมประเภทสำคัญ ๆ ในตลาดโลก
ล้วนมีราคาลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับวันซื้อขายสุดท้ายของปีก่อน เช่น น้ำมันดิบที่
New York
Mercantile Exchange ปรับตัวลดลง 146% ทองแดงราคาลดลง 133%
นิเกิ้ลราคาลดลง 147% อลูมิเนียมราคาลดลง 60% สังกะสี ราคาลดลง 108%
ตะกั่วราคาลดลง 173% ทั้งนี้
การลดลงดังกล่าวได้รับผลกระทบจากความต้องการใช้ที่ลดลง เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะงักงันแล้วอย่างเป็นทางการ
(Official Recession)
เช่นเดียวกันกับกลุ่มสินค้าโลหะมีค่า (Precious Metal) ยกเว้นทองคำที่สามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ประมาณ
4% สินค้าประเภทอื่นในกลุ่มนี้ล้วนแต่มีราคาปรับตัวลดลง เช่น เงิน (Silver)
ราคาลดลง 34.48% แพลตินั่ม (Platinum) ราคาลดลง
66.34% และพาราเดี่ยม (Palladium) ราคาลดลง 49%
แนวโน้มการปรับตัวลดลงของราคาปรากฏเช่นกันสำหรับสินค้าเกษตรบางประเภท
เช่น ข้าวโพด ข้าวสาลี และถั่วเหลืองที่ Chicago Board of Trade (CME) มีราคาปรับตัวลดลงจากปีก่อนคิดเป็นประมาณ
13% 32% และ 22% ตามลำดับ เช่นเดียวกันกับกาแฟ ที่ New York Board of Trade
(ICE) ที่ปรับตัวลดลงประมาณ 21 %
ยกเว้นสินค้าน้ำตาลที่ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 4%
สำหรับ ข้าวขาวล่วงหน้า (BWR5 Futures) ใน AFET สำหรับส่งมอบ ณ คลังสินค้าในเขตกรุงเทพ ณ
สิ้นปี 2550 มีราคาซื้อขายอยู่ที่ 11.68 บาท/กก. หรือ 11,680 บาท/ตัน
จากนั้นราคาก็ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนไปซื้อขายกันที่ระดับ 30
กว่าบาท/กก. หรือ 30,000 บาท/ตัน ในช่วงภาวะข้าวบูมระหว่างเดือน ม.ค.- เม.ย.
หลังจากนั้นราคา BWR5 Futures ก็ได้ปรับตัวลดลงมาเป็นลำดับ
จนมาปิดซื้อขาย ณ วันที่ 30 ธ.ค.51 ที่ 17.80 บาท/กก. หรือ 17,800 บาท/ตัน
เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 52% (หากนับเป็นผลตอบแทนการลงทุน 52%
ก็ถือว่าเป็นการลงทุนสุดยอดมาก ๆ ในภาวะเศรษฐกิจดังปัจจุบัน)
รูปที่ 2: ราคาข้าวขาว 5 % ล่วงหน้า (BWR5 Futures) ใน AFET ปี พ.ศ.2551
ในภาวะที่ราคาสินค้ามีความผันผวนเพิ่มขึ้น สังเกตจากการปรับตัวขึ้น ๆ
ลง ๆ อย่างรุนแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน (ดังปรากฏในปี 2551)
ความเสี่ยงในการประกอบธุรกิจของที่ผู้ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าชนิดนั้น ๆ
ย่อมเพิ่มขึ้น ผู้ประกอบการผู้ชาญฉลาดย่อมต้องหาเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงที่ตนต้องเผชิญอยู่
การซื้อขายล่วงหน้าในตลาดล่วงหน้า ดังเช่นใน AFET และ ตลาดอนุพันธ์ (TFEX) ก็เป็นทางเลือกหนึ่งในการบริหารความเสี่ยงของผู้ประกอบการที่เป็นที่นิยมและยอมรับในระดับสากล
(โดยเฉพาะในกรอบของ WTO) ซึ่งเมื่อสินค้ามีความผันผวนมากขึ้น
ความจำเป็นของการใช้ตลาดล่วงหน้าย่อมเพิ่มสูงขึ้น
ทำให้ปริมาณการซื้อขายในตลาดสินค้าล่วงหน้า ย่อมต้องเพิ่มสูงตามไปด้วย
ตัวอย่างของการใช้ตลาดล่วงหน้าที่เพิ่มสูงขึ้น
เห็นได้จากปริมาณการซื้อขายของ AFET ที่เพิ่มสูงขึ้นในปี 2551
โดยปริมาณการซื้อขายรวมเพิ่มขึ้น 50% มาอยู่ที่ 605 สัญญาต่อวัน (เทียบกับ 402
สัญญาต่อวันในปี 2550) และมีมูลค่าการซื้อขายรวมเพิ่มขึ้น 87% มาอยู่ที่ 240
ล้านบาทต่อวัน (เทียบกับ 128 ล้านบาทต่อวันในปี 2550) ทั้งนี้
ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในสินค้ายางพารา (Rubber Futures) ปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้น 66% มาอยู่ที่ 455 สัญญาต่อวัน (เทียบกับ 274
สัญญาต่อวันในปี 2550) ขณะที่ปริมาณการซื้อขายข้าว (Rice Futures) ปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้น 25% มาอยู่ที่ 149 สัญญาต่อวัน (เทียบกับ 119
สัญญาต่อวันในปี 2550)
สำหรับปี 2552 นี้ ไม่ว่าจะเป็นปีเผาหลอก เผาจริง หรือ ปีเก็บกระดูก
เหมือนอย่างที่หลายคนเชื่อหรือไม่นั้น สำหรับผม
หลังจากได้มีโอกาสรับฟังนโยบายรัฐบาลที่นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะที่แถลงต่อรัฐสภา
ซึ่งมีส่วนที่เกี่ยวข้องกับ การพัฒนาตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าให้มีความเข้มแข็ง อยู่ในส่วนของ
4.2.1.4 ดูแลเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตรและการตลาดสินค้าเกษตร
อีกทั้ง หลังจากได้เข้าร่วมการประชุมเชิงปฏิบัติการ (เวิร์คชอป)
"ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการสินค้าเกษตร เมื่อวันที่
12 มกราคม 2552 โดยกระทรวงพาณิชย์
และได้รับฟังวิสัยทัศน์จากผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ ได้แก่ ท่านพรทิวา นาคาศัย รมว.
ท่านอลงกรณ์ พลบุตร รมช. ท่านปลัดศิริพล ยอดเมืองเจริญ และ ท่านยรรยง พวงราช
อธิบดีกรมการค้าภายใน (อ่านรายละเอียดใน อัด 4
หมื่นล้านอุ้มสินค้าเกษตร "พรทิวา" ดันสุดลิ่มแก้ปัญหาราคาผลผลิตตกต่ำ ไทยรัฐ วันที่
14 มกราคม 2551)
ก็รู้สึกยินดีว่า รัฐบาลชุดท่านอภิสิทธิ์นี้
ตระหนักถึงความสำคัญของตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า และเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า
ภายใต้การนำของรัฐบาลชุดปัจจุบัน AFET จะสามารถขึ้นชั้นเป็นหนึ่งในตลาดล่วงหน้าชั้นนำของโลกได้ในอนาคตอันใกล้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น