วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Exotic Options ที่เรียกว่า "การรับจำนำสินค้าเกษตร" (2)

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 20 พฤศจิกายน 2551

สืบเนื่องจากบทความเมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้วนะครับ ที่ผมได้นำเสนอบทความเกี่ยวกับ .. "โครงการรับจำนำสินค้าเกษตร" ซึ่งเป็นโครงการที่พี่น้องเกษตรกรทั่วประเทศรู้จักกันดี ในฐานะ โครงการของรัฐบาลเพื่อช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกร ผู้ผลิตสินค้าเกษตรประเภท/ชนิดต่างๆ เช่น ข้าวเปลือก กุ้ง มันสำปะหลัง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ กาแฟ เป็นต้น โดยผู้ที่สนใจสามารถดูรายละเอียดของโครงการรับจำนำในรายสินค้าประเภท/ชนิดต่างๆ ได้ในเว็บไซต์ของกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ (www.dit.go.th)

การรับจำนำสินค้าเกษตร มีหลักการอยู่ว่า เกษตรกรสามารถนำสินค้าเกษตรของตนมาจำนำไว้กับรัฐบาลที่ราคารับจำนำที่รัฐบาลประกาศกำหนด

ยกตัวอย่าง กรณีสินค้าข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2551/2552 รัฐบาลได้กำหนดราคารับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปี 2551/2552 ที่ความชื้น 15% (ชนิดข้าวเปลือกหอมมะลิ สีได้ต้นข้าว 42 กรัม) ราคาตันละ 15,000 บาท ข้าวเปลือกเจ้านาปี 100% ราคาตันละ 12,000 บาท และข้าวเปลือกเหนียว 10% ชนิดคละ ราคาตันละ 9,000 บาท (มติคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ หรือ กขช. ที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้ว)

จากนั้นภายในระยะเวลาไถ่ถอนที่กำหนด ซึ่งในกรณีข้าวเปลือกนาปี คณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้กำหนดระยะเวลาการไถ่ถอนเท่ากับ 120 วัน (นานขึ้นกว่าโครงการที่ผ่านมาที่มีระยะเวลาไถ่ถอนเพียง 90 วัน) โดยภายในช่วงระยะเวลาไถ่ถอนนี้ เกษตรกรมีสิทธิที่จะไถ่ถอนสินค้าของตนคืนไปในราคารับจำนำ (หักค่าใช้จ่ายที่เกิดจากต้นทุนต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการรับจำนำ เช่น ต้นทุนการเก็บรักษา ต้นทุนการแปรสภาพ)

ตามรูปแบบของโครงสร้างแล้ว โครงการรับจำนำนี้สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ส่วน ส่วนแรกคือ สิทธิในการขายที่ราคารับจำนำภายในช่วงที่เปิดให้รับจำนำ และ ส่วนที่สองคือสิทธิในการไถ่ถอน (หรือสิทธิในการซื้อคืน) คืนที่ราคารับจำนำภายในระยะเวลาใช้สิทธิ

มาพิจารณากันทีละส่วนครับ เริ่มด้วยส่วนแรกนั่นคือ สิทธิในการขาย ที่ราคารับจำนำภายในช่วงที่เปิดให้รับจำนำ สมมติ รัฐบาลเปิดโอกาสให้เกษตรกรมาจำนำข้าวได้ในระยะเวลาตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจนถึง 4 เดือนข้างหน้า ที่ราคา 12,000 บาท หรืออีกนัยหนึ่ง รัฐบาลได้ทำการแจกสิทธิในการขายข้าว ที่ราคา 12,000 บาท ในเวลาใดก็ได้ใน 4 เดือนข้างหน้า ให้กับเกษตรกร

ในทางการเงิน สิทธิในการขายที่ว่านี้ คือ ตราสารอนุพันธ์ประเภท PUT OPTIONS แบบ American ซึ่งวิธีการคำนวณหามูลค่าของ PUT OPTIONS ในส่วนแรกของโครงการรับจำนำนี้ สามารถกระทำได้ แต่สูตรนั้นค่อนข้างยากสำหรับคนทั่วไป

ทั้งนี้ยังไม่นับรวมถึงความซับซ้อนของส่วนที่ 2 นั่น คือสิทธิในการไถ่ถอนที่ราคา 12,000 บาทในเวลาใดก็ได้ในอีก 120 วันข้างหน้า ซึ่งก็คือ ตราสารอนุพันธุ์ประเภท CALL OPTIONS แบบAmerican ซึ่งเหมือนกันกับในส่วนแรกก็คือ มีวิธีการคำนวณหามูลค่าของ CALL OPTIONS นั้นมีอยู่ แต่ค่อนข้างยาก

เมื่อนำตราสารอนุพันธ์ประเภท PUT OPTIONS แบบ American และ CALL OPTIONS แบบ American ว่ามัดรวมไว้ด้วยกันในชื่อ "โครงการการรับจำนำสินค้าเกษตร" ในทาง Financial Engineering แล้ว โครงการรับจำนำสินค้าเกษตร ถือเป็น ตราสารอนุพันธ์ประเภทที่มีโครงสร้างซับซ้อน หรือ Exotic Options ซึ่งประกอบไปด้วย OPTIONS ประเภท American 2 ตัวซ้อนกันอยู่ หรือหมายความว่า รัฐบาลแจกคูปองให้กับเกษตรกรไปพร้อม ๆ 2 ใบ

ส่วนวิธีการคำนวณราคายุติธรรมสำหรับ "โครงการรับจำนำ" นั้น สามารถคำนวณได้ด้วยเทคนิคที่เรียกว่า Simulation ที่ต้องมีการเขียน Program Computer เพื่อคำนวณราคา (ศ.ดร.อัญญา ขันธวิทย์ ภาควิชาการเงิน คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้รายงานผลการคำนวณราคา Exotic Optons สำหรับช่วงเวลาในปี พ.ศ. 2547 ในบทความเรื่อง "บริหารโครงการจำนำข้าว ใช้ต้นทุนสี่บาทห้าสิบ")

หลายท่านอาจจะสงสัยว่า โครงการรับจำนำที่เป็น EXOTIC OPTIONS นี้ แตกต่างไปจาก OPTIONS ที่ซื้อขายในตลาดอนุพันธ์ของไทย หรือ TFEX อย่างไร ?

ความแตกต่างนี้ก็มีอยู่หลายประการ ครับ เช่น 1) โครงการรับจำนำ ถือเป็น OPTIONS ประเภท Over-The-Counter (OTC) ที่ผู้ซื้อและผู้ขายตกลงกันและรับความเสี่ยงกันเองโดยไม่ผ่านตลาดล่วงหน้า ในขณะที่ OPTIONS ใน TFEX มีสำนักหักบัญชีเป็นผู้รับความเสี่ยงของคู่สัญญา (รูปแบบเดียวกับ สำนักหักบัญชีของตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย หรือ AFET ที่มีหน้าที่รับความเสี่ยงของคู่สัญญาในธุรกรรม Futures ของ AFET) 2) สินค้าอ้างอิงของโครงการรับจำนำเป็นสินค้าข้าว ขณะ OPTIONS ของ TFEX ปัจจุบันมีสินค้าอ้างอิงเป็น ดัชนี SET50 หรือ 3) โครงการรับจำนำประกอบด้วย Options แบบ American ไม่เหมือนของ TFEX ที่ OPTIONS เป็นแบบ European

มาถึงจุดนี้ หลายท่านอาจยังสงสัยครับว่า OPTIONS ประเภท European แตกต่างจาก OPTIONS ประเภท American อย่างไร ?

OPTIONS ทั้งประเภท European หรือ American ต่างเป็นสิทธิในการซื้อ และ/หรือ สิทธิในการขาย (แล้วแต่ว่าจะเป็น Call หรือ Put Options) ด้วยกันทั้งคู่ แต่จะแตกต่างกันตรงที่ European Options นั้นผู้ถือสิทธิ (ผู้ซื้อ Options) สามารถใช้สิทธิได้เฉพาะตอนที่สิทธินั้นหมดอายุ ขณะที่ American Options ผู้ถือสิทธิ (ผู้ซื้อ Options) สามารถเลือกใช้สิทธิในเวลาใดก็ได้จนถึงเวลาที่สิทธินั้นหมดอายุ

โครงสร้างการใช้สิทธิที่ซับซ้อนน้อยกว่าของ European Options จึงทำให้วิธีการราคาของ Options ประเภทนี้มีวิธีการที่ง่ายกว่า American Options โดยสูตรการคำนวณของ European Options ที่เป็นที่นิยมที่สุดรู้จักกันดีในชื่อของ Black-Scholes Options Pricing Model

Model นี้ที่คิดค้นโดย Dr. Fischer Black และ Dr. Myron Scholes และเป็น Topic ที่ได้รับรางวัลโนเบลด้านเศรษฐศาสตร์ในปี ค.ศ.1997 แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า Dr. Black ได้ตายไปเสียก่อนในปี ค.ศ.1995 ทำให้ Dr. Black หมดสิทธิที่จะได้รับรางวัลโนเบลดังกล่าว (เนื่องจากทางรางวัลโนเบิลมีกฎว่าจะแจกให้เฉพาะกับผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น)

ท้ายนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า ขนาด Model ที่ใช้คำนวณ Options แบบ European (ซึ่งมีความซับซ้อนน้อยกว่า "โครงการรับจำนำ" ซึ่งเป็น Exotic Options ไม่รู้กี่เท่า) ผู้คิดยังถึงกับได้รับรางวัลโนเบลเลย ฉะนั้นท่านผู้อ่านก็น่าจะคะเนได้นะครับว่า Model ที่ใช้คำนวณ "โครงการรับจำนำ" จะมีความยากและซับซ้อนมากขนาดไหน ?

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น