ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2551
ช่วงต้นสัปดาห์นี้ ผมมีโอกาสอ่านบทสัมภาษณ์ของ
Jame
B. Rogers JR. ผ่านสำนักข่าวรอยเตอร์ เกี่ยวกับการชะงักงัน (Recession)
ของเศรษฐกิจสหรัฐ และการดำเนินนโยบายที่ผิดพลาดของธนาคารกลางสหรัฐ
ซึ่งอ่านดูแล้ว ได้แง่คิดน่าสนใจและต้องการนำเสนอในวันนี้
Jame B. Rogers JR. สำหรับในแวดวงนักลงทุน
จะที่รู้จักเขาในนามของ Jim Rogers คู่หูและผู้ร่วมก่อตั้ง Quantum
Fund ที่โด่งดังกับพ่อมดการเงิน George Soros ในปี
พ.ศ. 2516 ต่อมาเขาขอแยกวงจาก Soros ในปี 2523 ซึ่ง Rogers
ผู้นี้ จะเป็นผู้ที่ริเริ่มสร้าง Commodity Index ที่ใช้ Track การเคลื่อนไหวของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ Rogers
International Commodities Index (RICI) ซึ่งเป็น 1 ใน 5 ของ Commodity
Index ที่นักลงทุนทั่วโลกใช้กันอยู่ในปัจจุบัน
Jim Rogers ฟันธงว่าปัจจุบันเศรษฐกิจของสหรัฐอยู่ในภาวะ
Recession เรียบร้อยแล้ว (ไม่เหมือนกับกูรูท่านอื่นๆ เช่น
นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล Joseph Stiglitz หรือ ผู้ว่า FED
คนเก่า Alan Greenspan ที่ไม่กล้าฟันธงว่าขณะนี้สหรัฐอเมริกาตกอยู่ในภาวะ
Recession แล้วหรือไม่)
และยังได้ตำหนิแนวทางการดำเนินนโยบายของ FED ที่ได้ลดดอกเบี้ย
Fed Fund Rate ต่อเนื่องจาก 5.25 % เมื่อช่วงกลางปีมาเหลือ 3
% ซึ่งก่อให้เกิดผลข้างเคียงตามมามากมาย
การลดดอกเบี้ยของ FED
นั้น (แนวทางเดียวกันกับแบงก์ชาติในประเทศอื่นทั่วโลกด้วย)
กระทำได้โดยวิธีที่เรียกว่า Open Market Operation โดยซื้อพันธบัตรคืนไปด้วยเงินที่จะถูกอัดฉีดเข้าไปในระบบ
เมื่อมีเงินเข้ามาในระบบมากขึ้นดอกเบี้ยย่อมลดต่ำ โดย FED จะคำนวณได้แล้วว่า
ควรอัดฉีดเงินเข้าไปเท่าไร จึงจะทำให้ดอกเบี้ยลดลงตามเป้า
นโยบายการแก้ปัญหาเศรษฐกิจด้วยวิธีการแบบง่าย
ๆ โดยการลดดอกเบี้ยแบบ FED อย่างที่ได้กล่าวมา เป็นแบบอย่างให้ธนาคารกลางของ
แคนาดา ฮ่องกง ซาอุฯ และอังกฤษ ได้ลดดอกเบี้ยตามเช่นเดียวกัน
ซึ่งเสมือนเป็นการแก้ปัญหาด้วยการพิมพ์กระดาษออกมาใช้
ผนวกกับความต้องการของสินค้าอุตสาหกรรม และ
สินค้าเกษตรจากประเทศที่เศรษฐกิจกำลังโตร้อนแรง ได้แก่ จีน อินเดีย และกลุ่มประเทศส่งออกน้ำมันในตะวันออกกลาง
เป็นสาเหตุสำคัญให้บรรดาราคาข้าวของต่างๆ ทุกประเภทต่างปรับตัวสูงขึ้น
ยกตัวอย่าง แค่ช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา
ระหว่างวันที่ 21 ธ.ค. 2550 ถึง 22 ก.พ. 2551 ราคาสินค้าต่างๆ
ในรูปของเงินดอลลาร์ได้ปรับขึ้นทั่วหน้า ได้แก่ แพทตินั่มเพิ่มขึ้น 41%
โลหะเงินเพิ่มขึ้น 25.3 % ทองแดงเพิ่มขึ้น 24.1% ตะกั่วเพิ่มขึ้น 24 %
กาแฟเพิ่มขึ้น 21.3 % อะลูมิเนียมเพิ่มขึ้น 20.9 % ข้าวโพดเพิ่มขึ้น 20.6%
ถั่วเหลืองเพิ่มขึ้น 20.4 % น้ำตาลเพิ่มขึ้น 19.4 % ทองคำ 16.3 % ข้าวสาลี 11.4 %
นิกเกิล 7.3 % น้ำมันดิบ 6.1 % เป็นต้น
หากพิจารณาในรูปของค่าเงินบาท
ตามรายสินค้าที่ซื้อขายกันในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย หรือ AFET
ทั้งสินค้ายางแผ่น ข้าวขาว และมันเส้น ต่างก็ปรับตัวเพิ่มขึ้น 7.1 %
22.8 % และ 4 % ตามลำดับ แต่ก็ไม่ทุกประเทศ ที่ธนาคารกลางจะเดินตามรอยเท้าของ FED
ในการลดดอกเบี้ย เพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจ โดยเฉพาะธนาคารกลางยุโรป
หรือ European Central Bank ที่เลือกที่จะไม่เดินตามรอยเท้าตาม
FED ในการปรับลดดอกเบี้ยลงอย่างเร็วและรุนแรง
จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมค่าเงิน EURO แข็งค่าขึ้นมากเมื่อเทียบกับค่าเงิน
U.S. DOLLAR จนปัจจุบันแข็งค่าอยู่ที่ระดับ 1 EURO สามารถแลกเงินดอลลาร์สหรัฐได้ 1.5 ดอลลาร์แล้ว
ดังนั้นจึงเป็นที่น่าสังเกตว่า กรณีออสเตรเลีย
กลับเลือกที่จะปรับดอกเบี้ยขึ้น เพื่อตอบสนองต่อภาวะเงินเฟ้อ
โดยปัจจุบันดอกเบี้ยในออสเตรเลียอยู่ที่ 7% ต่อปี ในขณะที่เงินเฟ้ออยู่ที่ 4.3 %
ต่อปี ซึ่งน่าอิจฉาผู้ออมเงินในออสเตรเลีย
ที่ได้รับดอกเบี้ยที่แท้จริงอยู่ที่ระดับ 2.7% ต่อปี
(ไม่เหมือนกับผู้ออมเงินในประเทศเรา
ที่ดูเหมือนผู้ฝากเงินจะได้รับดอกเบี้ยในอัตราที่ต่ำกว่าเงินเฟ้อมาหลายปีแล้ว)
ทว่าเป็นที่ยินดีว่าในวันที่ 27 ก.พ. 2551 นี้
คณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. ของแบงก์ชาติ
ยังคงดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วัน (อาร์พี) ไว้ที่ระดับ 3.25% เพราะ
กนง. มีความเป็นห่วงภาวะเงินเฟ้อที่เราคนไทยทุกคนต่างเผชิญกันอยู่ ซึ่งแน่นอนว่า
การประกาศคงดอกเบี้ยครั้งนี้ อาจจะขัดใจนักเล่นหุ้นหลายท่าน ผู้ที่ต้องการให้ กนง.
ปรับดอกเบี้ยลง ซึ่งจะทำให้หุ้นขึ้น
เพราะว่าตามทฤษฎีหากดอกเบี้ยลดต่ำลงราคาหุ้นย่อมปรับตัวสูงขึ้น
ดังนั้นจึงต้องจับตาดูกันต่อไปว่า FED
ยังจะคงนโยบายแก้ปัญหาเศรษฐกิจด้วยวิธีการง่าย ๆ เช่น ลดดอกเบี้ย
อยู่ต่อไปหรือไม่ โดยหากพิจารณาประธาน FED ซึ่งก็คือ คุณ Ben
Bernanke หรือ "Helicopter Ben" ฉายาที่ได้จากคำกล่าวสุนทรพจน์เมื่อปี
พ.ศ. 2545 ว่า "ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นเจ้าของเทคโนโลยี ที่เรียกว่า
แท่นพิมพ์ธนบัตรที่ทำให้สหรัฐสามารถพิมพ์แบงก์ดอลลาร์ออกมาได้มากตามที่ต้องการโดยที่ไม่มีต้นทุน"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น