วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

AFET กับนโยบายการรับจำนำสินค้าเกษตร

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 21 มิถุนายน 2550

          ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2550 ได้พิจารณาตามที่กระทรวงการคลัง เสนอ วาระที่ 23 เรื่อง การแก้ไขปัญหาหนี้สินกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรตามที่กระทรวงการคลังเสนอ แล้ว อนุมัติงบประมาณปีงบประมาณ 2551 เพื่อชดเชยให้แก่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ภายในวงเงินงบประมาณ 28,891.97 ล้านบาท เป็นต้นเงินกู้ค้างชำระ จำนวน 19,514.87 ล้านบาท ที่เหลือเป็นดอกเบี้ยชดเชยแทนเกษตรกร จำนวน 9,377.10 ล้านบาท

          เพื่อเป็นการเตือนความจำให้หลายท่านทราบครับว่า เม็ดเงินงบประมาณกว่า 2.8 หมื่นล้านบาท นี้ไม่ใช่เงินงบประมาณก้อนแรกที่เป็นภาระสำหรับรัฐบาลท่านพลเอก สุรยุทธ์ ต้องชำระหนี้ให้กับกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรนะครับ (ต่อไปจะขอเรียกว่า กองทุนรวม) แต่ในปีงบประมาณ 2550 นี้ รัฐบาลก็ได้ตั้งงบไว้ชำระหนี้ให้กองทุนรวมนี้ไปแล้วเป็นจำนวนถึง 23,079 ล้านบาท ดูแล้วน่าตกใจไหมครับว่า เพียงระยะเวลาสั้นๆ ที่รัฐบาลนี้ได้เข้าบริหารประเทศ รัฐบาลต้องกันเงินงบประมาณถึงกว่า 5 หมื่นล้านบาท เพื่อใช้ชำระภาระหนี้ให้กองทุนรวม (ทั้งๆ ที่ตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ เลย) ภาระที่รัฐบาลชุดก่อนๆ ได้ก่อเอาไว้ทั้งสิ้น

          ผมยังไม่แน่ใจครับว่ายอดรวมหนี้หลังจากการใช้ภาษีอากรของพวกเราทุกคน ชำระหนี้ให้กองทุนรวมไปแล้วกว่า 5 หมื่นล้าน ในปี 2550 และ 2551 ยังมียอดหนี้ค้างจ่าย บวก ดอกเบี้ย อีกเท่าไร ที่พวกเรา และลูกหลานของเราต้องจ่ายอีก

          แต่ในฐานะผู้เสียภาษี ผมคนหนึ่งละครับที่รู้สึกไม่พอใจ และมักมีคำถามอยู่ในใจ รัฐบาลชุดก่อนๆ มาโดยเฉพาะรัฐบาลชุดที่แล้วมีนโยบายเกี่ยวกับกองทุนรวมนี้อย่างไร ถึงทำให้กองทุนรวมนี้มีภาระหนี้สินมากมายมหาศาลขนาดนี้ ซึ่งสาเหตุที่ผมพอจะคิดได้ล้วนเป็นสาเหตุยอดฮิตที่คุ้นหูกัน นั่นคือ การทุจริตคอร์รัปชัน และการดำเนินนโยบายแทรกแซงราคา และกลไกตลาดอย่างรุนแรงของรัฐบาลที่แล้ว

          หลังจากที่ได้อ่านมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 12 มิถุนายน 2550 ฉบับเต็ม ที่มีการเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ต WWW.THAIGOV.GO.TH เรื่องที่ 45 เกี่ยวกับเรื่องการแก้ไขปัญหาหนี้สินกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรตามที่กระทรวงการคลังเสนอ แล้วรู้สึกเริ่มมีความหวังครับ เพราะว่านอกจากคณะรัฐมนตรี มีมติอนุมัติงบตามที่กระทรวงการคลัง เสนอแล้ว ยังได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แก่ ให้คณะกรรมการนโยบายข้าว (กนข.) และคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) ทำการปรับปรุงแก้ไขการดำเนินโครงการรับจำนำผลิตผลการเกษตรให้มีประสิทธิภาพขึ้น ประกอบด้วย 1.ให้กำหนดนโยบายการรับจำนำให้ใกล้เคียงกับสภาพตลาด 2.กรณีการรับจำนำข้าวเปลือก ให้เน้นรับจำนำที่ยุ้งฉาง และสถาบันเกษตรกรเป็นหลัก 3.ให้จัดทำแผนรับจำนำให้มีความสอดคล้องกับภาวะตลาด และ 4.ในระยะยาวต้องมีแผนการส่งเสริมตลาดกลางสินค้าเกษตร และตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า (หรือ AFET) เพื่อลดภาระการแทรกแซงตลาด ทั้งนี้ ให้กองทุนรวมประเมินผลการดำเนินงานแต่ละโครงการแล้วรายงานผลสำเร็จ ผลกระทบด้านต่างๆ ปัญหาอุปสรรค ข้อดีข้อเสีย เพื่อเสนอให้คณะรัฐมนตรีทราบด้วย

          ข้อเท็จจริงจากมติ ครม.ดังกล่าว โดยเฉพาะประเด็นที่ 4 เกี่ยวข้องกับ ตลาดกลางสินค้าเกษตร และตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า (หรือ AFET) โดยตรง ทำให้ผมเข้าใจว่ารัฐบาลของท่านสุรยุทธ์ นี้ได้ตระหนักถึงข้อจำกัดช่องโหว่ของโครงการรับจำนำสินค้าเกษตรเป็นอย่างดี รวมถึงทราบว่ารัฐบาลได้มีแนวทางแก้ปัญหาของพี่น้องเกษตรกรในระยะยาวไว้แล้ว

          และเป็นที่น่าสังเกตว่า ในวาระที่ 25 ของการประชุม ครม.ในคราวเดียวกันนี้ เรื่อง การประเมินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกและมันสำปะหลัง ปี 2548/2549 และปี 2549/2550 เสนอโดยกระทรวงพาณิชย์ ที่ประชุม ครม. มีมติรับทราบ ผลการประเมินโครงการรับจำนำข้าวเปลือก และมันสำปะหลัง จากคณะกรรมการประเมิน ที่กระทรวงพาณิชย์แต่งตั้ง ชุดที่มีอธิการบดี มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เป็นประธาน ซึ่งหนึ่งในแนวทางแก้ปัญหาโครงการรับจำนำในระยะยาว (3 ถึง 5 ปี) ที่คณะกรรมการประเมิน ได้มีข้อเสนอแนะนั้น คือ การส่งเสริมการใช้กลไกของ AFET ซึ่งสอดรับกันพอดี กับมติของวาระที่ 23 เรื่อง การแก้ไขปัญหาหนี้สินกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ที่เสนอโดยกระทรวงการคลัง ทั้งๆ ที่ต้นเรื่องของวาระดังกล่าวมาจากต่างกระทรวงกัน

          จากมติ ครม. ในทั้ง 2 วาระดังกล่าวนี้ ทำให้ผมได้เห็นถึงการสนับสนุน และการตระหนักถึงความสำคัญของ AFET ของรัฐบาล ในการที่ใช้ AFET เป็นเครื่องมือแก้ปัญหาระบบการค้าขายสินค้าเกษตรของประเทศในระยะยาว อย่างไรก็ดีผมเชื่อว่าท่านผู้อ่านหลายท่านก็คงสงสัยครับว่า AFET จะทำหน้าที่เป็นหนึ่งในเครื่องมือในการช่วยลดความจำเป็นในการเข้าแทรกแซงกลไกตลาดเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรของหน่วยงานภาครัฐ ได้อย่างไร

          เพราะว่า ในทางทฤษฎี ตลาดสินค้าล่วงหน้ามีหน้าที่หลักในการเป็นเครื่องมือการบริหารความเสี่ยง (Risk Management) สำหรับบุคคลที่เกี่ยวข้อง และมีหน้าที่เป็นเครื่องมือเพื่อค้นหาราคาในอนาคต (Price Discovery) ของสินค้าเกษตรตัวที่มีการซื้อหรือขายใน AFET เท่านั้น ซึ่งสำหรับรายละเอียดที่ว่า AFET จะมาช่วยภาครัฐได้อย่างไรนั้น ผมขออนุญาตนำมาบอกเล่าต่อในโอกาสต่อไปนะครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น