ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 21 มิถุนายน 2550
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน
2550 ได้พิจารณาตามที่กระทรวงการคลัง เสนอ วาระที่ 23 เรื่อง
การแก้ไขปัญหาหนี้สินกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรตามที่กระทรวงการคลังเสนอ แล้ว
อนุมัติงบประมาณปีงบประมาณ 2551
เพื่อชดเชยให้แก่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)
ภายในวงเงินงบประมาณ 28,891.97 ล้านบาท
เป็นต้นเงินกู้ค้างชำระ จำนวน 19,514.87 ล้านบาท
ที่เหลือเป็นดอกเบี้ยชดเชยแทนเกษตรกร จำนวน 9,377.10 ล้านบาท
เพื่อเป็นการเตือนความจำให้หลายท่านทราบครับว่า เม็ดเงินงบประมาณกว่า 2.8 หมื่นล้านบาท
นี้ไม่ใช่เงินงบประมาณก้อนแรกที่เป็นภาระสำหรับรัฐบาลท่านพลเอก สุรยุทธ์ ต้องชำระหนี้ให้กับกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรนะครับ
(ต่อไปจะขอเรียกว่า กองทุนรวม) แต่ในปีงบประมาณ 2550 นี้
รัฐบาลก็ได้ตั้งงบไว้ชำระหนี้ให้กองทุนรวมนี้ไปแล้วเป็นจำนวนถึง 23,079 ล้านบาท ดูแล้วน่าตกใจไหมครับว่า เพียงระยะเวลาสั้นๆ
ที่รัฐบาลนี้ได้เข้าบริหารประเทศ รัฐบาลต้องกันเงินงบประมาณถึงกว่า 5 หมื่นล้านบาท เพื่อใช้ชำระภาระหนี้ให้กองทุนรวม (ทั้งๆ
ที่ตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ เลย) ภาระที่รัฐบาลชุดก่อนๆ ได้ก่อเอาไว้ทั้งสิ้น
ผมยังไม่แน่ใจครับว่ายอดรวมหนี้หลังจากการใช้ภาษีอากรของพวกเราทุกคน
ชำระหนี้ให้กองทุนรวมไปแล้วกว่า 5 หมื่นล้าน ในปี 2550 และ 2551 ยังมียอดหนี้ค้างจ่าย บวก ดอกเบี้ย
อีกเท่าไร ที่พวกเรา และลูกหลานของเราต้องจ่ายอีก
แต่ในฐานะผู้เสียภาษี ผมคนหนึ่งละครับที่รู้สึกไม่พอใจ
และมักมีคำถามอยู่ในใจ รัฐบาลชุดก่อนๆ มาโดยเฉพาะรัฐบาลชุดที่แล้วมีนโยบายเกี่ยวกับกองทุนรวมนี้อย่างไร
ถึงทำให้กองทุนรวมนี้มีภาระหนี้สินมากมายมหาศาลขนาดนี้
ซึ่งสาเหตุที่ผมพอจะคิดได้ล้วนเป็นสาเหตุยอดฮิตที่คุ้นหูกัน นั่นคือ
การทุจริตคอร์รัปชัน และการดำเนินนโยบายแทรกแซงราคา
และกลไกตลาดอย่างรุนแรงของรัฐบาลที่แล้ว
หลังจากที่ได้อ่านมติคณะรัฐมนตรี
วันที่ 12 มิถุนายน 2550 ฉบับเต็ม
ที่มีการเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ต WWW.THAIGOV.GO.TH เรื่องที่
45
เกี่ยวกับเรื่องการแก้ไขปัญหาหนี้สินกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
แล้วรู้สึกเริ่มมีความหวังครับ เพราะว่านอกจากคณะรัฐมนตรี
มีมติอนุมัติงบตามที่กระทรวงการคลัง เสนอแล้ว
ยังได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แก่ ให้คณะกรรมการนโยบายข้าว (กนข.)
และคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.)
ทำการปรับปรุงแก้ไขการดำเนินโครงการรับจำนำผลิตผลการเกษตรให้มีประสิทธิภาพขึ้น
ประกอบด้วย 1.ให้กำหนดนโยบายการรับจำนำให้ใกล้เคียงกับสภาพตลาด
2.กรณีการรับจำนำข้าวเปลือก ให้เน้นรับจำนำที่ยุ้งฉาง
และสถาบันเกษตรกรเป็นหลัก 3.ให้จัดทำแผนรับจำนำให้มีความสอดคล้องกับภาวะตลาด
และ 4.ในระยะยาวต้องมีแผนการส่งเสริมตลาดกลางสินค้าเกษตร
และตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า (หรือ AFET) เพื่อลดภาระการแทรกแซงตลาด
ทั้งนี้ ให้กองทุนรวมประเมินผลการดำเนินงานแต่ละโครงการแล้วรายงานผลสำเร็จ
ผลกระทบด้านต่างๆ ปัญหาอุปสรรค ข้อดีข้อเสีย เพื่อเสนอให้คณะรัฐมนตรีทราบด้วย
ข้อเท็จจริงจากมติ
ครม.ดังกล่าว โดยเฉพาะประเด็นที่ 4 เกี่ยวข้องกับ
ตลาดกลางสินค้าเกษตร และตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า (หรือ AFET) โดยตรง ทำให้ผมเข้าใจว่ารัฐบาลของท่านสุรยุทธ์
นี้ได้ตระหนักถึงข้อจำกัดช่องโหว่ของโครงการรับจำนำสินค้าเกษตรเป็นอย่างดี
รวมถึงทราบว่ารัฐบาลได้มีแนวทางแก้ปัญหาของพี่น้องเกษตรกรในระยะยาวไว้แล้ว
และเป็นที่น่าสังเกตว่า ในวาระที่ 25 ของการประชุม
ครม.ในคราวเดียวกันนี้ เรื่อง การประเมินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกและมันสำปะหลัง
ปี 2548/2549 และปี 2549/2550
เสนอโดยกระทรวงพาณิชย์ ที่ประชุม ครม. มีมติรับทราบ
ผลการประเมินโครงการรับจำนำข้าวเปลือก และมันสำปะหลัง จากคณะกรรมการประเมิน
ที่กระทรวงพาณิชย์แต่งตั้ง ชุดที่มีอธิการบดี มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เป็นประธาน
ซึ่งหนึ่งในแนวทางแก้ปัญหาโครงการรับจำนำในระยะยาว (3 ถึง 5 ปี) ที่คณะกรรมการประเมิน ได้มีข้อเสนอแนะนั้น คือ
การส่งเสริมการใช้กลไกของ AFET ซึ่งสอดรับกันพอดี
กับมติของวาระที่ 23 เรื่อง
การแก้ไขปัญหาหนี้สินกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ที่เสนอโดยกระทรวงการคลัง
ทั้งๆ ที่ต้นเรื่องของวาระดังกล่าวมาจากต่างกระทรวงกัน
จากมติ ครม. ในทั้ง
2 วาระดังกล่าวนี้ ทำให้ผมได้เห็นถึงการสนับสนุน
และการตระหนักถึงความสำคัญของ AFET ของรัฐบาล ในการที่ใช้ AFET
เป็นเครื่องมือแก้ปัญหาระบบการค้าขายสินค้าเกษตรของประเทศในระยะยาว
อย่างไรก็ดีผมเชื่อว่าท่านผู้อ่านหลายท่านก็คงสงสัยครับว่า AFET จะทำหน้าที่เป็นหนึ่งในเครื่องมือในการช่วยลดความจำเป็นในการเข้าแทรกแซงกลไกตลาดเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรของหน่วยงานภาครัฐ
ได้อย่างไร
เพราะว่า
ในทางทฤษฎี
ตลาดสินค้าล่วงหน้ามีหน้าที่หลักในการเป็นเครื่องมือการบริหารความเสี่ยง (Risk
Management) สำหรับบุคคลที่เกี่ยวข้อง
และมีหน้าที่เป็นเครื่องมือเพื่อค้นหาราคาในอนาคต (Price Discovery) ของสินค้าเกษตรตัวที่มีการซื้อหรือขายใน AFET เท่านั้น
ซึ่งสำหรับรายละเอียดที่ว่า AFET จะมาช่วยภาครัฐได้อย่างไรนั้น
ผมขออนุญาตนำมาบอกเล่าต่อในโอกาสต่อไปนะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น