ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 18 ธันวาคม 2551
เมื่อประมาณตีหนึ่งของวันที่ 17 ธันวาคม 2551
คณะกรรมการของธนาคารกลางของสหรัฐ (Fed) ได้ลดอัตราดอกเบี้ยชี้นำ (Fed
Fund Rate) มาอยู่ที่ช่วงระหว่าง 0% ถึง 0.25%
และปรับลดอัตราดอกเบี้ย Discount Rate (อัตราดอกเบี้ยเมื่อธนาคารขอกู้กับ
Fed โดยตรง) ลง 0.75% มาอยู่ที่ระดับ 0.5%
การปรับลดดอกเบี้ยลงครั้งนี้ทำให้อัตราดอกเบี้ย Fed Fund Rate และ Discount Rate ของสหรัฐอยู่ในระดับที่ต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์
นับได้ว่าเป็นยาแรงที่ FED นำออกมาใช้ในภาวะวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น
ณ ขณะนี้
แต่เป็นที่น่าสังเกตครับว่า ถึงแม้ว่าประเทศสหรัฐฯ
กำลังเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ แต่รายได้จากการขายตั๋วชมภาพยนตร์ (Box Office) ก็ไม่ได้ปรับตัวลดลงตามภาวะเศรษฐกิจ
ตรงกันข้ามกลับขายตั๋วภาพยนตร์ได้เพิ่มขึ้น อาทิ ในช่วงเทศกาล Thanksgiving
2008 ที่ผ่านมาในสหรัฐฯ ยอดขายตั๋วหนังปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 4 %
จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (Thanksgiving box office sales up despite
economy, wndu.com , 30 Nov 2551)
เช่นเดียวกันกับในช่วงสถานการณ์เศรษฐกิจชะงัก หรือ Recession ครั้งก่อนหน้า เช่น ในระหว่างปี ค.ศ.1980-1982 และ ในปี ค.ศ.2001 หรือ
หลังเหตุการณ์ก่อการร้าย 9/11 ปี ค.ศ.2001 ยอดขายตั๋วหนัง Box Office ก็มิได้ปรับตัวลงตามภาวะเศรษฐกิจแต่อย่างใด (The box office
indicator: When times get tough, consumers beeline to the movies, CnnMoney.com,
22 Aug 2008)
เหตุผลที่ยอดขายตั๋วหนัง Box Office ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจตกต่ำ
และ/หรือ ช่วงที่ภาวะบ้านเมืองไม่ปกติ
ก็อาจเป็นเพราะว่าคนอเมริกันหันมาเข้าโรงภาพยนตร์ เพื่อผ่อนคลาย
(เพื่อให้ลืมปัญหาประจำวันไปชั่วคราว)
ส่วนประเทศไทยนั้น ผมไม่แน่ใจครับว่าคนไทยจะมีพฤติกรรมการเข้าโรงหนัง
เมื่อเกิดภาวะวิกฤติเหมือนคนอเมริกันหรือไม่ แต่เท่าที่ติดตามข่าวสารในช่วงที่ผ่านมาก็พบว่ามีรายงานว่าคนไทยอาจจะหั่นงบดูภาพยนตร์กันในช่วงเวลาปัจจุบันนี้
เช่น " "บ้านเมืองไม่สงบ! วงการหนังสะเทือน" (ข่าวสด 14 ธ.ค.2551)
"พิษ ศก.ลามแห่ลดรายจ่ายดูหนัง จีทีเอช ดิ้นหาพันธมิตรรุกตลาด" (คมชัดลึก
13 ธ.ค.2551) "เสี่ยเจียง" รับ "ปืนใหญ่ฯ" ขาดทุน
บ้านเมืองไม่นิ่งส่งผลหนังไทย" (เดลินิวส์ 2 ธ.ค.2551)
แต่สำหรับหนังฟอร์มยักษ์อย่างเช่น องค์บาก 2
ที่นำแสดงโดยซูเปอร์สตาร์นักบู๊ของไทยอย่างจา พนม ยีรัมย์ และกำกับการแสดงโดยโทนี่
จา ก็ไม่ได้ทำให้หลาย ๆ คนที่คอยแอบลุ้นกับความสำเร็จของหนังไทยเรื่องนี้ผิดหวังครับ
เนื่องจากเปิดเข้าฉายเพียง 4 วันก็ทำรายได้ทะลุ 100 ล้านบาทไปแล้ว
ซึ่งเชื่อว่าท้ายสุดแล้วรายได้ขององค์บาก 2 คงจะคุ้มกับต้นทุนที่ลงทุนไป
(ไม่แน่ใจว่าเท่าไร) แต่ที่แน่นอนแล้วก็คือทราบว่าขณะนี้ องค์บาก 3
กำลังอยู่ระหว่างถ่ายทำด้วยงบเบื้องต้นประมาณ 300 ล้านบาท (สหมงคลฯ ทุ่ม 300 ล.
เดินหน้าสร้าง "องค์บาก" 3, สำนักข่าวเนชั่น 13 ธ.ค.2551)
การสร้างภาพยนตร์ในแต่ละเรื่องล้วนแต่ต้องมีการทุ่มทุนกันเป็นจำนวนมากครับ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวงการ Hollywood (วงการหนังของสหรัฐ) แค่ค่าตัวของคนแสดงหนัง
ก็ปาเข้าไปเกินกว่า 10 ล้านเหรียญสหรัฐแล้ว (กว่า 350 ล้านบาทต่อเรื่อง)
ยังไม่รวมถึงต้นทุนในการสร้างที่ส่วนใหญ่ก็ปาเข้าไปอีกหลายสิบล้านเหรียญ
ซึ่งเป็นเหตุให้เมื่อถึงเวลานำหนังออกมาฉาย
ทำให้มีหนังเป็นจำนวนมากต้องประสบกับภาวะขาดทุน
ด้วยเหตุจากความเสี่ยงที่ผู้สร้างภาพยนตร์ต้องเผชิญซึ่งก็คือ
เมื่อลงทุนสร้างภาพยนตร์แล้วมีความเสี่ยงที่จะขาดทุน
เนื่องจากไม่มีใครรับประกันได้ว่ารายได้จากหนังเมื่อถูกเข้าฉายแล้วจะคุ้มค่ากับต้นทุนที่ลงทุนไปหรือไม่
บริษัท Cantor Fitzgerald หนึ่งในเป็นสถาบันการเงินชั้นนำระดับโลก
จึงได้ริเริ่มที่จะจัดตั้งตลาดที่ชื่อว่า Cantor Exchange เพื่อซื้อขายอนุพันธ์ทางการเงินที่เกี่ยวกับวงการภาพยนตร์
โดยผลิตภัณฑ์ตัวแรกที่ Cantor Exchange คาดว่าจะเปิดให้ซื้อขายได้ก็คือ
Movie Box Office Futures Contract ซึ่งปัจจุบันอยู่ในระหว่างการรอผลการอนุมัติจาก
US Commodity Futures Trading Commission ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลการซื้อขายล่วงหน้าในสหรัฐ
(ในบ้านเราก็อาจเทียบเคียงได้กับหน่วยงานกำกับดูแล เช่น
คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และ
คณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า (กสล.)
การซื้อขายล่วงหน้า Movie Box Office Futures เป็นการซื้อขายล่วงหน้าตัวเลขรายได้ของภาพยนตร์ในแต่ละเรื่องในช่วง
4 สัปดาห์แรกที่ภาพยนตร์แต่ละเรื่องออกฉาย
ผู้ที่คาดการณ์ว่ารายได้ของภาพยนตร์เรื่องใดจะมากกว่าราคาของ Futures ที่ซื้อขายกันอยู่ก็สามารถเข้าซื้อล่วงหน้า หรือ เข้ามาเปิด Long
Position สำหรับ Movie Box Office Futures สำหรับหนังเรื่องนั้น
ๆ ได้ แล้วจะมีกำไรเมื่อราคาของ Futures ปรับตัวสูงขึ้น
(รายได้ของหนังได้มากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้)
ในทางตรงกันข้าม ผู้ที่คาดการณ์ว่ารายได้ของหนังในช่วง 4
สัปดาห์แรกจะน้อยกว่าราคาของ Futures ที่ซื้อขายกันอยู่ก็สามารถเข้ามาขายล่วงหน้า
หรือ เข้ามาเปิด Short Position สำหรับ Movie Box
Office Futures และจะทำกำไรเมื่อราคา Futures ปรับตัวลดลง
(รายได้ของหนังได้น้อยกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้)
การเปิดให้มีการซื้อขายล่วงหน้า Movie Box Office Futures หากประสบความสำเร็จจะช่วยให้ผู้สร้างหนัง
สามารถบริหารความเสี่ยงของตนได้ด้วยการเข้าบริหารความเสี่ยงในตลาด Cantor
Exchange นี้
เพื่อประกันรายได้ที่ตนจะได้รับจากการสร้างหนังแต่ละเรื่อง
อีกทั้งเป็นการเพิ่มโอกาสการลงทุนสำหรับนักลงทุนผู้ชาญฉลาด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น