วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Movie Box Office Futures

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 18 ธันวาคม 2551

เมื่อประมาณตีหนึ่งของวันที่ 17 ธันวาคม 2551 คณะกรรมการของธนาคารกลางของสหรัฐ (Fed) ได้ลดอัตราดอกเบี้ยชี้นำ (Fed Fund Rate) มาอยู่ที่ช่วงระหว่าง 0% ถึง 0.25% และปรับลดอัตราดอกเบี้ย Discount Rate (อัตราดอกเบี้ยเมื่อธนาคารขอกู้กับ Fed โดยตรง) ลง 0.75% มาอยู่ที่ระดับ 0.5% การปรับลดดอกเบี้ยลงครั้งนี้ทำให้อัตราดอกเบี้ย Fed Fund Rate และ Discount Rate ของสหรัฐอยู่ในระดับที่ต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ นับได้ว่าเป็นยาแรงที่ FED นำออกมาใช้ในภาวะวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ณ ขณะนี้

แต่เป็นที่น่าสังเกตครับว่า ถึงแม้ว่าประเทศสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ แต่รายได้จากการขายตั๋วชมภาพยนตร์ (Box Office) ก็ไม่ได้ปรับตัวลดลงตามภาวะเศรษฐกิจ ตรงกันข้ามกลับขายตั๋วภาพยนตร์ได้เพิ่มขึ้น อาทิ ในช่วงเทศกาล Thanksgiving 2008 ที่ผ่านมาในสหรัฐฯ ยอดขายตั๋วหนังปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 4 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (Thanksgiving box office sales up despite economy, wndu.com , 30 Nov 2551)

เช่นเดียวกันกับในช่วงสถานการณ์เศรษฐกิจชะงัก หรือ Recession ครั้งก่อนหน้า เช่น ในระหว่างปี ค.ศ.1980-1982 และ ในปี ค.ศ.2001 หรือ หลังเหตุการณ์ก่อการร้าย 9/11 ปี ค.ศ.2001 ยอดขายตั๋วหนัง Box Office ก็มิได้ปรับตัวลงตามภาวะเศรษฐกิจแต่อย่างใด (The box office indicator: When times get tough, consumers beeline to the movies, CnnMoney.com, 22 Aug 2008)

เหตุผลที่ยอดขายตั๋วหนัง Box Office ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจตกต่ำ และ/หรือ ช่วงที่ภาวะบ้านเมืองไม่ปกติ ก็อาจเป็นเพราะว่าคนอเมริกันหันมาเข้าโรงภาพยนตร์ เพื่อผ่อนคลาย (เพื่อให้ลืมปัญหาประจำวันไปชั่วคราว)

ส่วนประเทศไทยนั้น ผมไม่แน่ใจครับว่าคนไทยจะมีพฤติกรรมการเข้าโรงหนัง เมื่อเกิดภาวะวิกฤติเหมือนคนอเมริกันหรือไม่ แต่เท่าที่ติดตามข่าวสารในช่วงที่ผ่านมาก็พบว่ามีรายงานว่าคนไทยอาจจะหั่นงบดูภาพยนตร์กันในช่วงเวลาปัจจุบันนี้ เช่น " "บ้านเมืองไม่สงบ! วงการหนังสะเทือน" (ข่าวสด 14 ธ.ค.2551) "พิษ ศก.ลามแห่ลดรายจ่ายดูหนัง จีทีเอช ดิ้นหาพันธมิตรรุกตลาด" (คมชัดลึก 13 ธ.ค.2551) "เสี่ยเจียง" รับ "ปืนใหญ่ฯ" ขาดทุน บ้านเมืองไม่นิ่งส่งผลหนังไทย" (เดลินิวส์ 2 ธ.ค.2551)

แต่สำหรับหนังฟอร์มยักษ์อย่างเช่น องค์บาก 2 ที่นำแสดงโดยซูเปอร์สตาร์นักบู๊ของไทยอย่างจา พนม ยีรัมย์ และกำกับการแสดงโดยโทนี่ จา ก็ไม่ได้ทำให้หลาย ๆ คนที่คอยแอบลุ้นกับความสำเร็จของหนังไทยเรื่องนี้ผิดหวังครับ เนื่องจากเปิดเข้าฉายเพียง 4 วันก็ทำรายได้ทะลุ 100 ล้านบาทไปแล้ว ซึ่งเชื่อว่าท้ายสุดแล้วรายได้ขององค์บาก 2 คงจะคุ้มกับต้นทุนที่ลงทุนไป (ไม่แน่ใจว่าเท่าไร) แต่ที่แน่นอนแล้วก็คือทราบว่าขณะนี้ องค์บาก 3 กำลังอยู่ระหว่างถ่ายทำด้วยงบเบื้องต้นประมาณ 300 ล้านบาท (สหมงคลฯ ทุ่ม 300 ล. เดินหน้าสร้าง "องค์บาก" 3, สำนักข่าวเนชั่น 13 ธ.ค.2551)

การสร้างภาพยนตร์ในแต่ละเรื่องล้วนแต่ต้องมีการทุ่มทุนกันเป็นจำนวนมากครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวงการ Hollywood (วงการหนังของสหรัฐ) แค่ค่าตัวของคนแสดงหนัง ก็ปาเข้าไปเกินกว่า 10 ล้านเหรียญสหรัฐแล้ว (กว่า 350 ล้านบาทต่อเรื่อง) ยังไม่รวมถึงต้นทุนในการสร้างที่ส่วนใหญ่ก็ปาเข้าไปอีกหลายสิบล้านเหรียญ ซึ่งเป็นเหตุให้เมื่อถึงเวลานำหนังออกมาฉาย ทำให้มีหนังเป็นจำนวนมากต้องประสบกับภาวะขาดทุน

ด้วยเหตุจากความเสี่ยงที่ผู้สร้างภาพยนตร์ต้องเผชิญซึ่งก็คือ เมื่อลงทุนสร้างภาพยนตร์แล้วมีความเสี่ยงที่จะขาดทุน เนื่องจากไม่มีใครรับประกันได้ว่ารายได้จากหนังเมื่อถูกเข้าฉายแล้วจะคุ้มค่ากับต้นทุนที่ลงทุนไปหรือไม่

บริษัท Cantor Fitzgerald หนึ่งในเป็นสถาบันการเงินชั้นนำระดับโลก จึงได้ริเริ่มที่จะจัดตั้งตลาดที่ชื่อว่า Cantor Exchange เพื่อซื้อขายอนุพันธ์ทางการเงินที่เกี่ยวกับวงการภาพยนตร์ โดยผลิตภัณฑ์ตัวแรกที่ Cantor Exchange คาดว่าจะเปิดให้ซื้อขายได้ก็คือ Movie Box Office Futures Contract ซึ่งปัจจุบันอยู่ในระหว่างการรอผลการอนุมัติจาก US Commodity Futures Trading Commission ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลการซื้อขายล่วงหน้าในสหรัฐ (ในบ้านเราก็อาจเทียบเคียงได้กับหน่วยงานกำกับดูแล เช่น คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และ คณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า (กสล.)

การซื้อขายล่วงหน้า Movie Box Office Futures เป็นการซื้อขายล่วงหน้าตัวเลขรายได้ของภาพยนตร์ในแต่ละเรื่องในช่วง 4 สัปดาห์แรกที่ภาพยนตร์แต่ละเรื่องออกฉาย ผู้ที่คาดการณ์ว่ารายได้ของภาพยนตร์เรื่องใดจะมากกว่าราคาของ Futures ที่ซื้อขายกันอยู่ก็สามารถเข้าซื้อล่วงหน้า หรือ เข้ามาเปิด Long Position สำหรับ Movie Box Office Futures สำหรับหนังเรื่องนั้น ๆ ได้ แล้วจะมีกำไรเมื่อราคาของ Futures ปรับตัวสูงขึ้น (รายได้ของหนังได้มากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้)

ในทางตรงกันข้าม ผู้ที่คาดการณ์ว่ารายได้ของหนังในช่วง 4 สัปดาห์แรกจะน้อยกว่าราคาของ Futures ที่ซื้อขายกันอยู่ก็สามารถเข้ามาขายล่วงหน้า หรือ เข้ามาเปิด Short Position สำหรับ Movie Box Office Futures และจะทำกำไรเมื่อราคา Futures ปรับตัวลดลง (รายได้ของหนังได้น้อยกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้)

การเปิดให้มีการซื้อขายล่วงหน้า Movie Box Office Futures หากประสบความสำเร็จจะช่วยให้ผู้สร้างหนัง สามารถบริหารความเสี่ยงของตนได้ด้วยการเข้าบริหารความเสี่ยงในตลาด Cantor Exchange นี้ เพื่อประกันรายได้ที่ตนจะได้รับจากการสร้างหนังแต่ละเรื่อง อีกทั้งเป็นการเพิ่มโอกาสการลงทุนสำหรับนักลงทุนผู้ชาญฉลาด

จะเห็นได้ว่า Movie Box Office Futures นี้เป็นเป็นเครื่องมือทางการเงินรูปแบบใหม่อีกรูปแบบหนึ่งที่ถูกนำเสนอออกมาในที่ความแน่นอนคือความไม่แน่นอนอย่างเช่นปัจจุบัน แต่ก็เป็นที่น่าสังเกตว่าหลักการการซื้อขาย Movie Box Office Futures ที่ว่าก็ไม่ใช่หลักการใหม่แต่เป็นหลักการเดียวกันกับการซื้อขายล่วงหน้าสินค้าเกษตร เช่น ข้าวโพด ที่เกิดขึ้นมากว่า 150 ปีที่แล้วที่ Chicago หรือ ยางพารา ที่มีการซื้อขายล่วงหน้ามากว่า 4 ปีแล้วในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าหรือ AFET ในประเทศไทย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น