ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 14 สิงหาคม 2014
งานวันแม่ปีนี้
คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ร่วมกับสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
และหน่วยงานต่างๆ ได้จัดงานอย่างยิ่งใหญ่ ณ บริเวณสวนอัมพรและลานพระราชวังดุสิต
ภายในงานมีนิทรรศการและการแสดงต่าง ๆ อาทิ
การแสดงดนตรี การฉายภาพยนตร์ โชว์รถโบราณ และมีพิธีการจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล
ที่สนามหลวง เมื่อตอนค่ำของวันที่ 12 ส.ค. 2557
และในช่วงเทศกาลเช่นนี้"ดอกมะลิ"
ถือได้ว่าเป็นสินค้ายอดนิยมที่หลายท่านซื้อหา อีกทั้งได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของวันแม่ไปแล้ว
เนื่องจากดอกมะลิเป็นดอกไม้มงคลพื้นบ้านของไทย ที่เป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์
ผู้คนจึงนิยมนำดอกมะลิไปใช้บูชาพระ สิ่งศักดิ์สิทธิ์
หรือนำไปกราบไหว้พ่อแม่และผู้มีพระคุณทั้งหลายซึ่งก็เป็นเรื่องปกติสำหรับช่วงนี้ของทุกปีว่า
ราคาดอกมะลิและดอกไม้ทดแทนอื่น
จะมีราคาที่ปรับตัวตามความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นในเทศกาล
โดยในปีนี้ดอกมะลิได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเวลาปกติที่กิโลกรัมละ 300
บาทไปเป็น 500 - 1,200 บาทและแพงอย่างมากในจังหวัดที่ห่างไกลและสถานการณ์ยังไม่ปกติอาทิ ที่
จ.ยะลา ทราบว่าราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นถึงกิโลกรัมละ 2,000บาท
ขณะที่ดอกไม้ที่เป็นสินค้าทดแทนอย่าง ดอกรัก
ก็ได้มีราคาที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน อาทิ จาก 50 บาท ไปเป็น 200 บาท
การปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาดอกไม้นี้
ว่ากันว่าเป็นไปตามกลไกของราคากลาง ที่อ้างอิงจาก "ปากคลองตลาด" แหล่งจำหน่ายดอกไม้ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ซึ่งพ่อค้าแม่ค้า
(ที่ไม่ใช่เป็นเจ้าของสวนดอกไม้เอง) จะเป็นผู้รับดอกไม้มาขายต่อ
"ปากคลองตลาด"หรือ
ศูนย์กลางการซื้อขายดอกไม้ที่สำคัญและใหญ่ที่สุดของประเทศนี้
ตั้งอยู่บริเวณเชิงสะพานพุทธฯ ติดกับโรงเรียนสวนกุหลาบฯการค้าขายดอกไม้เป็นในลักษณะที่
ผู้ปลูก และ/หรือ ผู้ขายส่ง จะนำดอกไม้มาตั้งขาย เพื่อรอ ผู้ที่ต้องการจะซื้อ
ด้วยวิธีการและราคาซื้อขายก็เป็นไปตามที่เจรจาตกลงกัน ซึ่งเป็นได้ทั้งลักษณะของการขายปลีกหรือส่ง
ตามแต่ความสะดวกและความพึงพอใจของผู้ซื้อและผู้ขาย(แต่ด้วยเทศกาลวันแม่ในปีนี้
มีความพิเศษกว่าทุกปี
นั่นคือเป็นวันหยุดยาวถึง 4 วัน
ทำให้มีรายงานว่าปากคลองตลาดในปีนี้มีความคึกคักน้อยลงไปจากปีก่อน ๆ)
เมื่อกล่าวถึงระบบการค้าขายดอกไม้ที่ปากคลองตลาด ผมอดไม่ได้ที่จะ
กล่าวถึงระบบการค้าขายดอกไม้ในตลาดกลาง ดอกไม้ของประเทศผู้ส่งออกดอกไม้รายยักษ์ใหญ่อย่างเช่น
ฮอลแลนด์ หรือ เนเธอร์แลนด์ (ดอกไม้จากฮอลแลนด์ล้วนมีราคาแพงทั้งสิ้น เช่น
ดอกลิลลี่ หรือ ดอกทิวลิป เป็นต้น)
ซึ่งเมื่อพิจารณาดูแล้วจะแตกต่างไปจากระบบการค้าขายที่ปากคลองตลาดอย่างมาก
เนื่องมาจากตลาดกลางดอกไม้ในฮอลแลนด์
มีระบบการซื้อขายดอกไม้ที่เป็นลักษณะเฉพาะที่เรียกว่าการประมูลแบบดัตช์ (Dutch Auction) ซึ่งเป็นวิธีการค้าขายดอกไม้ที่กล่าวได้ว่าเป็นวัฒนธรรมของชาวฮอลแลนด์
ถึงขนาดเป็นที่กำเนิดของปรากฏการณ์
ที่มีการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่าเป็นหนึ่งในตัวอย่างของภาวะฟองสบู่แตกครั้งใหญ่ที่สุดของวงการการค้า ที่รู้จักกันดีในชื่อของ The Tulip-Bulb Craze
ตามตำราแล้ว การประมูล หรือ Auction จะสามารถแบ่งออกเป็นหลายรูปแบบ เช่น การประมูลแบบอังกฤษ (English
Auction หรือ ) การประมูลแบบดัตช์ (Dutch Auction) การประมูลโดยเปิดเผยในตลาดที่จัดตั้งอย่างเป็นทางการ
(Auction in the Exchange) หรือ ประมูลแบบยื่นซองปิดผนึก (Sealed-Bid
Auction) เช่น การประมูลที่มีการยื่นซองประมูลงานก่อสร้าง หรือ
การยื่นซองประมูลซื้อข้าวจากรัฐบาล
ดูเหมือนว่าการประมูลที่เป็นที่คุ้นเคยของคนทั่วๆ
ไปที่สุด คือ การประมูลแบบอังกฤษ (English Auction)หรือมีอีกชื่อหนึ่งว่า
the open ascending price auction ซึ่งผู้ซื้อเสนอราคาเข้ามาในระบบ
และราคาเสนอซื้อสูงสุด จะถูกแสดงผลให้ทุกคนได้เห็น
โดยผู้ซื้อสามารถเสนอราคากี่ครั้งก็ได้จนถึงเวลาที่ปิดการประมูล
ผู้ชนะการประมูลคือผู้เสนอราคาสูงที่สุด ตัวอย่างของ English Auction เช่นการประมูลเพชร หรือ ภาพเขียน ใน AuctionHouse ในทวีปยุโรปการประมูลป้ายทะเบียนรถยนต์ของกรมขนส่งทางบกหรือ
การประมูลพระเครื่องพระบูชาตามเว็บไซต์ต่าง ๆ เป็นต้น
แต่วิธีของ Dutch Auction ซึ่งเป็นวิธีการประมูลดอกไม้ในตลาดกลางดอกไม้ในฮอลแลนด์
จะแตกต่างไปจากวิธี English Auction (ที่เป็นที่คุ้นเคยกันมากกว่า)
ตรงที่ว่า Dutch Auction นี้ ผู้ขายจะกำหนดราคาเสนอขาย
สำหรับสินค้าตนไว้สูงที่สุด แล้วคนขายจะค่อยๆ ลดราคาขายของตนลงมา เช่น
แรกเริ่มกำหนดขายดอกไม้ที่ 100 บาท ต่อมาราคาก็จะไหลลดลงไปเรื่อยๆ เป็น
99...98...97...96 ตามนาฬิกาที่เรียกว่า Dutch Clock เมื่อราคาลดมาอยู่ในระดับที่ผู้ซื้อต้องการซื้อ
ผู้ซื้อรายแรกที่เคาะหยุดนาฬิกา จะเป็นผู้ชนะ ณ ระดับราคาที่สั่งให้หยุดไว้
Dutch Auctionมีข้อดีกว่า
English Auction ตรงที่การประมูลนี้รอบหนึ่งจะใช้เวลารวดเร็วมาก
ไม่ต้องมานั่งรอเวลาให้ปิดประมูลแบบ English Auction (ซึ่งบางครั้งรอเป็น
2-3 สัปดาห์ เลยก็มี) เหมาะสำหรับการประมูลขายสินค้าที่เหี่ยวเฉาเร็วอย่างดอกไม้
ซึ่งต้องจำหน่ายให้ถึงมือผู้บริโภคอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
และการค่อย ๆ ลดลงของราคาสินค้า ในระยะกระบวนการประมูลที่แสดงโดย Dutch
Clock ทำให้ Dutch Auction มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า
the open descending price auction
อย่างไรก็ดี ที่ประเทศญี่ปุ่น ก็มีวิธีการประมูลอีกรูปแบบหนึ่งเรียกว่า Japanese Auction ที่มีการเคลื่อนไหวของราคาประมูลเหมือน
English Auction นั่นคือราคาเป็นขาขึ้น เช่น 10.. 20..30..40
และเรื่อย ๆ
ซึ่งในขณะที่ราคาประมูลกำลังปรับขึ้นไปอยู่นั้น ผู้ซื้อมี 2 ทางเลือกที่จะอยู่ต่อ หรือ ยอมแพ้
โดยการประมูลจะดำเนินต่อไป
(ราคาปรับขึ้นไปเรื่อยๆ) จนกระทั่งเหลือผู้ประมูลอยู่ในการแข่งขันเพียงคนเดียว
(คู่แข่งคนสุดท้ายยอมแพ้โดยเลือกออกจากการประมูล)
ผู้ชนะคือผู้ที่อยู่เป็นคนสุดท้ายและจะต้องจ่ายค่าสินค้าตามราคาสุดท้ายที่วิ่งขึ้นมาถึง
Japanese Auction ใช้เวลาประมูลแต่ละรอบรวดเร็วมาก
สูสีหรืออาจจะเร็วว่าDutch Auction ด้วยซ้ำ
จึงเป็นวิธีการที่ชาวญี่ปุ่นใช้ในการประมูลปลาสด ซึ่งเพิ่งถูกนำขึ้นมาจากเรือประมง
ณ สะพานปลา และถือได้ว่าเป็น ส่วนหนึ่งวัฒนธรรมของชาวญี่ปุ่นด้วยเช่นเดียวกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น