วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

English-Dutch-JapaneseAuctions

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 14 สิงหาคม 2014
         
         งานวันแม่ปีนี้ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ร่วมกับสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานต่างๆ ได้จัดงานอย่างยิ่งใหญ่ ณ บริเวณสวนอัมพรและลานพระราชวังดุสิต ภายในงานมีนิทรรศการและการแสดงต่าง ๆ  อาทิ การแสดงดนตรี การฉายภาพยนตร์ โชว์รถโบราณ และมีพิธีการจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล ที่สนามหลวง เมื่อตอนค่ำของวันที่ 12 ส.ค. 2557

          และในช่วงเทศกาลเช่นนี้"ดอกมะลิ" ถือได้ว่าเป็นสินค้ายอดนิยมที่หลายท่านซื้อหา อีกทั้งได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของวันแม่ไปแล้ว เนื่องจากดอกมะลิเป็นดอกไม้มงคลพื้นบ้านของไทย ที่เป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ ผู้คนจึงนิยมนำดอกมะลิไปใช้บูชาพระ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือนำไปกราบไหว้พ่อแม่และผู้มีพระคุณทั้งหลายซึ่งก็เป็นเรื่องปกติสำหรับช่วงนี้ของทุกปีว่า ราคาดอกมะลิและดอกไม้ทดแทนอื่น จะมีราคาที่ปรับตัวตามความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นในเทศกาล

          โดยในปีนี้ดอกมะลิได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเวลาปกติที่กิโลกรัมละ 300 บาทไปเป็น 500 - 1,200 บาทและแพงอย่างมากในจังหวัดที่ห่างไกลและสถานการณ์ยังไม่ปกติอาทิ ที่ จ.ยะลา ทราบว่าราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นถึงกิโลกรัมละ 2,000บาท ขณะที่ดอกไม้ที่เป็นสินค้าทดแทนอย่าง ดอกรัก ก็ได้มีราคาที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน อาทิ จาก 50 บาท ไปเป็น 200 บาท

          การปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาดอกไม้นี้ ว่ากันว่าเป็นไปตามกลไกของราคากลาง ที่อ้างอิงจาก "ปากคลองตลาด" แหล่งจำหน่ายดอกไม้ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย  ซึ่งพ่อค้าแม่ค้า (ที่ไม่ใช่เป็นเจ้าของสวนดอกไม้เอง) จะเป็นผู้รับดอกไม้มาขายต่อ

          "ปากคลองตลาด"หรือ ศูนย์กลางการซื้อขายดอกไม้ที่สำคัญและใหญ่ที่สุดของประเทศนี้ ตั้งอยู่บริเวณเชิงสะพานพุทธฯ ติดกับโรงเรียนสวนกุหลาบฯการค้าขายดอกไม้เป็นในลักษณะที่ ผู้ปลูก และ/หรือ ผู้ขายส่ง จะนำดอกไม้มาตั้งขาย เพื่อรอ ผู้ที่ต้องการจะซื้อ ด้วยวิธีการและราคาซื้อขายก็เป็นไปตามที่เจรจาตกลงกัน  ซึ่งเป็นได้ทั้งลักษณะของการขายปลีกหรือส่ง ตามแต่ความสะดวกและความพึงพอใจของผู้ซื้อและผู้ขาย(แต่ด้วยเทศกาลวันแม่ในปีนี้ มีความพิเศษกว่าทุกปี  นั่นคือเป็นวันหยุดยาวถึง 4 วัน ทำให้มีรายงานว่าปากคลองตลาดในปีนี้มีความคึกคักน้อยลงไปจากปีก่อน ๆ)

          เมื่อกล่าวถึงระบบการค้าขายดอกไม้ที่ปากคลองตลาด ผมอดไม่ได้ที่จะ กล่าวถึงระบบการค้าขายดอกไม้ในตลาดกลาง ดอกไม้ของประเทศผู้ส่งออกดอกไม้รายยักษ์ใหญ่อย่างเช่น ฮอลแลนด์ หรือ เนเธอร์แลนด์ (ดอกไม้จากฮอลแลนด์ล้วนมีราคาแพงทั้งสิ้น เช่น ดอกลิลลี่ หรือ ดอกทิวลิป เป็นต้น) ซึ่งเมื่อพิจารณาดูแล้วจะแตกต่างไปจากระบบการค้าขายที่ปากคลองตลาดอย่างมาก

          เนื่องมาจากตลาดกลางดอกไม้ในฮอลแลนด์ มีระบบการซื้อขายดอกไม้ที่เป็นลักษณะเฉพาะที่เรียกว่าการประมูลแบบดัตช์ (Dutch Auction)  ซึ่งเป็นวิธีการค้าขายดอกไม้ที่กล่าวได้ว่าเป็นวัฒนธรรมของชาวฮอลแลนด์ ถึงขนาดเป็นที่กำเนิดของปรากฏการณ์ ที่มีการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่าเป็นหนึ่งในตัวอย่างของภาวะฟองสบู่แตกครั้งใหญ่ที่สุดของวงการการค้า ที่รู้จักกันดีในชื่อของ The Tulip-Bulb Craze

          ตามตำราแล้ว การประมูล หรือ Auction จะสามารถแบ่งออกเป็นหลายรูปแบบ เช่น การประมูลแบบอังกฤษ (English Auction หรือ ) การประมูลแบบดัตช์ (Dutch Auction)  การประมูลโดยเปิดเผยในตลาดที่จัดตั้งอย่างเป็นทางการ (Auction in the Exchange) หรือ ประมูลแบบยื่นซองปิดผนึก (Sealed-Bid Auction) เช่น การประมูลที่มีการยื่นซองประมูลงานก่อสร้าง หรือ การยื่นซองประมูลซื้อข้าวจากรัฐบาล

          ดูเหมือนว่าการประมูลที่เป็นที่คุ้นเคยของคนทั่วๆ ไปที่สุด คือ การประมูลแบบอังกฤษ (English Auction)หรือมีอีกชื่อหนึ่งว่า the open ascending price auction ซึ่งผู้ซื้อเสนอราคาเข้ามาในระบบ และราคาเสนอซื้อสูงสุด จะถูกแสดงผลให้ทุกคนได้เห็น โดยผู้ซื้อสามารถเสนอราคากี่ครั้งก็ได้จนถึงเวลาที่ปิดการประมูล

          ผู้ชนะการประมูลคือผู้เสนอราคาสูงที่สุด ตัวอย่างของ English Auction เช่นการประมูลเพชร หรือ ภาพเขียน ใน  AuctionHouse ในทวีปยุโรปการประมูลป้ายทะเบียนรถยนต์ของกรมขนส่งทางบกหรือ การประมูลพระเครื่องพระบูชาตามเว็บไซต์ต่าง ๆ เป็นต้น

          แต่วิธีของ Dutch Auction ซึ่งเป็นวิธีการประมูลดอกไม้ในตลาดกลางดอกไม้ในฮอลแลนด์ จะแตกต่างไปจากวิธี English Auction (ที่เป็นที่คุ้นเคยกันมากกว่า) ตรงที่ว่า Dutch Auction นี้ ผู้ขายจะกำหนดราคาเสนอขาย สำหรับสินค้าตนไว้สูงที่สุด แล้วคนขายจะค่อยๆ ลดราคาขายของตนลงมา เช่น แรกเริ่มกำหนดขายดอกไม้ที่ 100 บาท ต่อมาราคาก็จะไหลลดลงไปเรื่อยๆ เป็น 99...98...97...96 ตามนาฬิกาที่เรียกว่า Dutch Clock  เมื่อราคาลดมาอยู่ในระดับที่ผู้ซื้อต้องการซื้อ ผู้ซื้อรายแรกที่เคาะหยุดนาฬิกา จะเป็นผู้ชนะ ณ ระดับราคาที่สั่งให้หยุดไว้

          Dutch Auctionมีข้อดีกว่า English Auction ตรงที่การประมูลนี้รอบหนึ่งจะใช้เวลารวดเร็วมาก ไม่ต้องมานั่งรอเวลาให้ปิดประมูลแบบ English Auction (ซึ่งบางครั้งรอเป็น 2-3 สัปดาห์ เลยก็มี) เหมาะสำหรับการประมูลขายสินค้าที่เหี่ยวเฉาเร็วอย่างดอกไม้ ซึ่งต้องจำหน่ายให้ถึงมือผู้บริโภคอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และการค่อย ๆ ลดลงของราคาสินค้า ในระยะกระบวนการประมูลที่แสดงโดย Dutch Clock ทำให้ Dutch Auction มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า the open descending price auction

          อย่างไรก็ดี ที่ประเทศญี่ปุ่น ก็มีวิธีการประมูลอีกรูปแบบหนึ่งเรียกว่า  Japanese Auction ที่มีการเคลื่อนไหวของราคาประมูลเหมือน English Auction นั่นคือราคาเป็นขาขึ้น เช่น 10.. 20..30..40 และเรื่อย ๆ  ซึ่งในขณะที่ราคาประมูลกำลังปรับขึ้นไปอยู่นั้น  ผู้ซื้อมี 2 ทางเลือกที่จะอยู่ต่อ หรือ ยอมแพ้

          โดยการประมูลจะดำเนินต่อไป (ราคาปรับขึ้นไปเรื่อยๆ) จนกระทั่งเหลือผู้ประมูลอยู่ในการแข่งขันเพียงคนเดียว (คู่แข่งคนสุดท้ายยอมแพ้โดยเลือกออกจากการประมูล) ผู้ชนะคือผู้ที่อยู่เป็นคนสุดท้ายและจะต้องจ่ายค่าสินค้าตามราคาสุดท้ายที่วิ่งขึ้นมาถึง

          Japanese Auction ใช้เวลาประมูลแต่ละรอบรวดเร็วมาก สูสีหรืออาจจะเร็วว่าDutch Auction ด้วยซ้ำ จึงเป็นวิธีการที่ชาวญี่ปุ่นใช้ในการประมูลปลาสด ซึ่งเพิ่งถูกนำขึ้นมาจากเรือประมง ณ สะพานปลา และถือได้ว่าเป็น ส่วนหนึ่งวัฒนธรรมของชาวญี่ปุ่นด้วยเช่นเดียวกัน

          ตัวอย่างของ English/Dutch/Japanese  Auctionsนี้เป็นตัวอย่างหนึ่ง ของระบบตลาดและกลไกการซื้อขายสินค้าในต่างประเทศ ที่ถูกออกแบบให้เหมาะสมกับสินค้าชนิดนั้นๆ ตามความต้องการของผู้ซื้อและผู้ขาย ซึ่งอาจจะแตกต่างไปจากการค้าขายสินค้าโภคภัณฑ์หรือสินค้าทางการเงินชนิดอื่นๆ  ที่ส่วนใหญ่ใช้กลไกตลาดกลางและกลไกตลาดสินค้าล่วงหน้าในการทำธุรกรรมการซื้อขาย ครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น