ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 13 สิงหาคม 2552
รัฐบาลกำหนดให้มีการจัดงาน "วันแม่" ปีนี้อย่างยิ่งใหญ่
ชื่องานอย่างเป็นทางการ คือ การจัดงานเฉลิมพระเกียรติ
สมเด็จพระบรมราชินีนาถ 77 พรรษา 12 สิงหาคม 2552 โดย ฯพณฯ
สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี รับหน้าที่เป็นประธานกรรมการอำนวยการจัดงาน
ซึ่งในเขตกรุงเทพมหานครนี้ จะทำการปิดถนน เพื่อจัดงานตั้งแต่ท้องสนามหลวง
ไปจนถึงลานพระบรมรูปทรงม้า โดยคณะจัดงานคาดว่าจะมีผู้มาร่วมพิธีมากกว่า 3 แสนคน (คาด3แสนคนร่วมงานวันแม่
ตร.สั่งจัดเส้นทางจราจรรับมือ มติชน 11
สิงหาคม 2552)
ในช่วงเทศกาลวันแม่ ณ ขณะนี้ ดอกมะลิ ถือได้ว่าเป็นสินค้ายอดนิยมที่หลายท่านซื้อหา
และได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของวันแม่ไปแล้ว เนื่องจากดอกมะลิเป็นดอกไม้มงคลพื้นบ้านของไทยที่เป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์
ผู้คนจึงนิยมนำดอกมะลิไปใช้บูชาพระ สิ่งศักดิ์สิทธิ์
หรือนำไปกราบไหว้พ่อแม่และผู้มีพระคุณทั้งหลาย
ณ วันที่ 11 สิงหาคม 2552 ขณะที่ผมเขียนบทความชิ้นนี้อยู่นั้น
เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจได้รายงานว่า
ราคาดอกมะลิที่ปากคลองตลาดก่อนที่จะถึงวันแม่แห่งชาติ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยราคาต่ำสุดขายอยู่ที่ลิตรละ 220 บาท ราคาสูงสุดลิตรละ 300 บาท
ซึ่งบรรดาผู้ค้าต่างคาดการณ์ว่า ราคาจะเพิ่มขึ้นอีกในวันนี้ ไปเป็นลิตรละ 350-400
บาท
สอดคล้องกับทางศูนย์วิจัยกสิกรไทย ที่ได้คาดว่า
ราคาดอกมะลิจะพุ่งสูงขึ้นถึงลิตรละ 400-600 บาท หรืออาจจะสูงถึงลิตรละ 600-800 บาท
หากเข้าใกล้ช่วงวันแม่มากขึ้น (เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วที่มีราคาลิตรละ
400 บาท) โดยเกษตรกรที่ปลูกดอกมะลิในปีนี้ ได้รับผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง
ทำให้ต้นมะลิไม่ออกดอก ประกอบกับการดูแลรักษาต้นมะลิที่ค่อนข้างยุ่งยาก
ทำให้เกษตรกรบางรายลดจำนวนการปลูกดอกมะลิลง
ส่งผลให้ปริมาณดอกมะลิมีไม่เพียงพอกับความต้องการของตลาด
เป็นเหตุให้ราคาดอกมะลิเพิ่มสูงขึ้นมาก (ดอกมะลิ : ราคาพุ่ง...ต้อนรับวันแม่แห่งชาติ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
7 สิงหาคม 2552)
ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้มีการหาประโยชน์อย่างไม่เป็นธรรมจากผู้บริโภค
ทางกรมการค้าภายใน โดยท่านอธิบดียรรยง พวงราช ได้เปิดเผยว่า
ทางกรมจะส่งเจ้าหน้าที่ออกตรวจสอบการจำหน่ายดอกมะลิในย่านการค้าต่างๆ
เพื่อไม่ให้มีการหาประโยชน์โดยไม่เป็นธรรมจากความต้องการที่มีมากขึ้น (คุมสินค้าวันแม่กันโก่งราคา มาร์คเปิดสิงหาพาแม่เที่ยว โพสต์ ทูเดย์
9 สิงหาคม 2552)
ย่านการค้าดอกไม้ หรือ ตลาดกลางดอกไม้
ซึ่งน่าจะเป็นเป้าหมายอันดับแรกของท่านอธิบดียรรยง หรือไม่พ้นย่าน ปากคลองตลาด ตลาดค้าขายดอกไม้ที่ถือได้ว่าสำคัญและใหญ่ที่สุด
บริเวณเชิงสะพานพุทธฯ ฝั่งพระนครติดกับโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย
โดยการค้าขายดอกไม้ที่เกิดขึ้นบริเวณนี้เป็นการค้าขายที่ผู้ปลูก และ/หรือ
ผู้ขายส่ง จะนำดอกไม้มาตั้งขาย เพื่อรอผู้ที่ต้องการจะซื้อ
ด้วยวิธีการและราคาซื้อขายก็เป็นไปตามที่เจรจาตกลงกัน
โดยมีทั้งลักษณะของการขายปลีก และขายส่ง ตามแต่ความสะดวกและความพึงพอใจของผู้ขาย
เมื่อกล่าวถึงระบบการค้าขายดอกไม้ที่ปากคลองตลาด
ผมอดที่จะกล่าวถึงระบบการค้าขายดอกไม้ในตลาดกลางดอกไม้ของประเทศผู้ส่งออกดอกไม้รายยักษ์ใหญ่อย่างเช่น
ฮอลแลนด์ หรือ เนเธอร์แลนด์ ไม่ได้ (ดอกไม้จากฮอลแลนด์ล้วนมีราคาแพงทั้งสิ้น เช่น
ดอกลิลลี่ หรือ ดอกทิวลิป เป็นต้น)
ซึ่งเมื่อพิจารณาดูแล้วจะแตกต่างไปจากระบบการค้าขายที่ปากคลองตลาดอย่างมาก
เนื่องมาจากตลาดกลางดอกไม้ในฮอลแลนด์มีระบบการซื้อขายดอกไม้ที่เป็นลักษณะเฉพาะที่เรียกว่าการประมูลแบบดัตช์
(Dutch Auction)
ซึ่งเป็นวิธีการค้าขายดอกไม้ที่กล่าวได้ว่าเป็นวัฒนธรรมของชาวฮอลแลนด์
เลยทีเดียว
ตามตำราแล้ว การประมูล หรือ Auction จะสามารถแบ่งออกเป็นหลายรูปแบบ
เช่น การประมูลแบบอังกฤษ (English Auction) การประมูลแบบดัตช์
(Dutch Auction) การประมูลโดยเปิดเผยแบบในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า
(Open Auction) หรือ ประมูลแบบยื่นซองปิดผนึก (Sealed-Bid
Auction) เช่น
การประมูลที่มีการยื่นซองประมูลงานก่อสร้างที่มีข่าวคราวการทุจริตกันบ่อยครั้ง
เป็นต้น)
ดูเหมือนว่าการประมูลที่เป็นที่คุ้นเคยของคนทั่วๆ ไปที่สุด คือ
การประมูลแบบอังกฤษ (English Auction) ซึ่งผู้ซื้อเสนอราคาเข้ามาในระบบและราคาเสนอซื้อสูงสุดจะถูกแสดงผลให้ทุกคนได้เห็น
โดยผู้ซื้อสามารถเสนอราคากี่ครั้งก็ได้จนถึงเวลาที่ปิดการประมูล
ผู้ชนะการประมูลคือผู้เสนอราคาสูงที่สุด ตัวอย่างของ English Auction เช่น การประมูลพระตามเว็บไซต์ หรือ การประมูลสินค้าผ่านเว็บไซต์ ebay
เป็นต้น
แต่วิธีของ Dutch Auction ซึ่งเป็นวิธีการประมูลดอกไม้ในตลาดกลางดอกไม้ในฮอลแลนด์
จะแตกต่างไปจากวิธี English Auction (ที่เป็นที่คุ้นเคยกันมากกว่า)
ตรงที่ว่า Dutch Auction นี้
ผู้ขายจะกำหนดราคาเสนอขายสำหรับสินค้าตนไว้ที่สูงที่สุด แล้วคนขายจะค่อยๆ
ลดราคาขายของตนลงมา เช่น แรกเริ่มกำหนดขายดอกไม้ที่ 100 บาท
ต่อมาราคาก็จะไหลลดลงไปเรื่อยๆ เป็น 99...98...97...96 ตามนาฬิกาที่เรียกว่า Dutch
Clock เมื่อราคาลดมาอยู่ในระดับที่ผู้ซื้อต้องการซื้อ
ผู้ซื้อรายแรกที่เคาะหยุดนาฬิกา จะเป็นผู้ชนะ ณ ระดับราคาที่สั่งให้หยุดไว้
Dutch Auction มีข้อดีกว่า English Auction ตรงที่การประมูลนี้รอบหนึ่งจะใช้เวลารวดเร็วมาก
ไม่ต้องมานั่งรอเวลาให้ปิดประมูลแบบ English Auction (ซึ่งบางครั้งรอเป็น
2-3 สัปดาห์ เลยก็มี) เหมาะสำหรับการประมูลขายสินค้าที่เหี่ยวเฉาเร็วอย่างดอกไม้
ซึ่งต้องจำหน่ายให้ถึงมือผู้บริโภคอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น