วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

วันแม่ ดอกมะลิ และ Dutch Auction

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 13 สิงหาคม 2552

รัฐบาลกำหนดให้มีการจัดงาน "วันแม่" ปีนี้อย่างยิ่งใหญ่ ชื่องานอย่างเป็นทางการ คือ “การจัดงานเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระบรมราชินีนาถ 77 พรรษา 12 สิงหาคม 2552 โดย ฯพณฯ สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี รับหน้าที่เป็นประธานกรรมการอำนวยการจัดงาน ซึ่งในเขตกรุงเทพมหานครนี้ จะทำการปิดถนน เพื่อจัดงานตั้งแต่ท้องสนามหลวง ไปจนถึงลานพระบรมรูปทรงม้า โดยคณะจัดงานคาดว่าจะมีผู้มาร่วมพิธีมากกว่า 3 แสนคน (“คาด3แสนคนร่วมงานวันแม่ ตร.สั่งจัดเส้นทางจราจรรับมือ มติชน 11 สิงหาคม 2552)

ในช่วงเทศกาลวันแม่ ณ ขณะนี้ “ดอกมะลิ” ถือได้ว่าเป็นสินค้ายอดนิยมที่หลายท่านซื้อหา และได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของวันแม่ไปแล้ว เนื่องจากดอกมะลิเป็นดอกไม้มงคลพื้นบ้านของไทยที่เป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ ผู้คนจึงนิยมนำดอกมะลิไปใช้บูชาพระ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือนำไปกราบไหว้พ่อแม่และผู้มีพระคุณทั้งหลาย

ณ วันที่ 11 สิงหาคม 2552 ขณะที่ผมเขียนบทความชิ้นนี้อยู่นั้น เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจได้รายงานว่า ราคาดอกมะลิที่ปากคลองตลาดก่อนที่จะถึงวันแม่แห่งชาติ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยราคาต่ำสุดขายอยู่ที่ลิตรละ 220 บาท ราคาสูงสุดลิตรละ 300 บาท ซึ่งบรรดาผู้ค้าต่างคาดการณ์ว่า ราคาจะเพิ่มขึ้นอีกในวันนี้ ไปเป็นลิตรละ 350-400 บาท

สอดคล้องกับทางศูนย์วิจัยกสิกรไทย ที่ได้คาดว่า ราคาดอกมะลิจะพุ่งสูงขึ้นถึงลิตรละ 400-600 บาท หรืออาจจะสูงถึงลิตรละ 600-800 บาท หากเข้าใกล้ช่วงวันแม่มากขึ้น (เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วที่มีราคาลิตรละ 400 บาท) โดยเกษตรกรที่ปลูกดอกมะลิในปีนี้ ได้รับผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง ทำให้ต้นมะลิไม่ออกดอก ประกอบกับการดูแลรักษาต้นมะลิที่ค่อนข้างยุ่งยาก ทำให้เกษตรกรบางรายลดจำนวนการปลูกดอกมะลิลง ส่งผลให้ปริมาณดอกมะลิมีไม่เพียงพอกับความต้องการของตลาด เป็นเหตุให้ราคาดอกมะลิเพิ่มสูงขึ้นมาก (“ดอกมะลิ : ราคาพุ่ง...ต้อนรับวันแม่แห่งชาติ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย 7 สิงหาคม 2552)

ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้มีการหาประโยชน์อย่างไม่เป็นธรรมจากผู้บริโภค ทางกรมการค้าภายใน โดยท่านอธิบดียรรยง พวงราช ได้เปิดเผยว่า ทางกรมจะส่งเจ้าหน้าที่ออกตรวจสอบการจำหน่ายดอกมะลิในย่านการค้าต่างๆ เพื่อไม่ให้มีการหาประโยชน์โดยไม่เป็นธรรมจากความต้องการที่มีมากขึ้น (“คุมสินค้าวันแม่กันโก่งราคา มาร์คเปิดสิงหาพาแม่เที่ยว โพสต์ ทูเดย์ 9 สิงหาคม 2552)

ย่านการค้าดอกไม้ หรือ ตลาดกลางดอกไม้ ซึ่งน่าจะเป็นเป้าหมายอันดับแรกของท่านอธิบดียรรยง หรือไม่พ้นย่าน “ปากคลองตลาด” ตลาดค้าขายดอกไม้ที่ถือได้ว่าสำคัญและใหญ่ที่สุด บริเวณเชิงสะพานพุทธฯ ฝั่งพระนครติดกับโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย โดยการค้าขายดอกไม้ที่เกิดขึ้นบริเวณนี้เป็นการค้าขายที่ผู้ปลูก และ/หรือ ผู้ขายส่ง จะนำดอกไม้มาตั้งขาย เพื่อรอผู้ที่ต้องการจะซื้อ ด้วยวิธีการและราคาซื้อขายก็เป็นไปตามที่เจรจาตกลงกัน โดยมีทั้งลักษณะของการขายปลีก และขายส่ง ตามแต่ความสะดวกและความพึงพอใจของผู้ขาย

เมื่อกล่าวถึงระบบการค้าขายดอกไม้ที่ปากคลองตลาด ผมอดที่จะกล่าวถึงระบบการค้าขายดอกไม้ในตลาดกลางดอกไม้ของประเทศผู้ส่งออกดอกไม้รายยักษ์ใหญ่อย่างเช่น ฮอลแลนด์ หรือ เนเธอร์แลนด์ ไม่ได้ (ดอกไม้จากฮอลแลนด์ล้วนมีราคาแพงทั้งสิ้น เช่น ดอกลิลลี่ หรือ ดอกทิวลิป เป็นต้น) ซึ่งเมื่อพิจารณาดูแล้วจะแตกต่างไปจากระบบการค้าขายที่ปากคลองตลาดอย่างมาก เนื่องมาจากตลาดกลางดอกไม้ในฮอลแลนด์มีระบบการซื้อขายดอกไม้ที่เป็นลักษณะเฉพาะที่เรียกว่าการประมูลแบบดัตช์ (Dutch Auction) ซึ่งเป็นวิธีการค้าขายดอกไม้ที่กล่าวได้ว่าเป็นวัฒนธรรมของชาวฮอลแลนด์ เลยทีเดียว

ตามตำราแล้ว การประมูล หรือ Auction จะสามารถแบ่งออกเป็นหลายรูปแบบ เช่น การประมูลแบบอังกฤษ (English Auction) การประมูลแบบดัตช์ (Dutch Auction) การประมูลโดยเปิดเผยแบบในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า (Open Auction) หรือ ประมูลแบบยื่นซองปิดผนึก (Sealed-Bid Auction) เช่น การประมูลที่มีการยื่นซองประมูลงานก่อสร้างที่มีข่าวคราวการทุจริตกันบ่อยครั้ง เป็นต้น)

ดูเหมือนว่าการประมูลที่เป็นที่คุ้นเคยของคนทั่วๆ ไปที่สุด คือ การประมูลแบบอังกฤษ (English Auction) ซึ่งผู้ซื้อเสนอราคาเข้ามาในระบบและราคาเสนอซื้อสูงสุดจะถูกแสดงผลให้ทุกคนได้เห็น โดยผู้ซื้อสามารถเสนอราคากี่ครั้งก็ได้จนถึงเวลาที่ปิดการประมูล ผู้ชนะการประมูลคือผู้เสนอราคาสูงที่สุด ตัวอย่างของ English Auction เช่น การประมูลพระตามเว็บไซต์ หรือ การประมูลสินค้าผ่านเว็บไซต์ ebay เป็นต้น

แต่วิธีของ Dutch Auction ซึ่งเป็นวิธีการประมูลดอกไม้ในตลาดกลางดอกไม้ในฮอลแลนด์ จะแตกต่างไปจากวิธี English Auction (ที่เป็นที่คุ้นเคยกันมากกว่า) ตรงที่ว่า Dutch Auction นี้ ผู้ขายจะกำหนดราคาเสนอขายสำหรับสินค้าตนไว้ที่สูงที่สุด แล้วคนขายจะค่อยๆ ลดราคาขายของตนลงมา เช่น แรกเริ่มกำหนดขายดอกไม้ที่ 100 บาท ต่อมาราคาก็จะไหลลดลงไปเรื่อยๆ เป็น 99...98...97...96 ตามนาฬิกาที่เรียกว่า Dutch Clock เมื่อราคาลดมาอยู่ในระดับที่ผู้ซื้อต้องการซื้อ ผู้ซื้อรายแรกที่เคาะหยุดนาฬิกา จะเป็นผู้ชนะ ณ ระดับราคาที่สั่งให้หยุดไว้

Dutch Auction มีข้อดีกว่า English Auction ตรงที่การประมูลนี้รอบหนึ่งจะใช้เวลารวดเร็วมาก ไม่ต้องมานั่งรอเวลาให้ปิดประมูลแบบ English Auction (ซึ่งบางครั้งรอเป็น 2-3 สัปดาห์ เลยก็มี) เหมาะสำหรับการประมูลขายสินค้าที่เหี่ยวเฉาเร็วอย่างดอกไม้ ซึ่งต้องจำหน่ายให้ถึงมือผู้บริโภคอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ตัวอย่างของ Dutch Auction นี้เป็นตัวอย่างหนึ่งของระบบตลาดและกลไกการซื้อขายสินค้าเกษตรในต่างประเทศ ที่ถูกออกแบบให้เหมาะสมกับสินค้าชนิดนั้นๆ ตามความต้องการของผู้ซื้อและผู้ขาย ซึ่งอาจจะแตกต่างไปจากการค้าขายสินค้าเกษตรชนิดอื่นๆ ที่ส่วนใหญ่ใช้กลไกตลาดกลางและกลไกตลาดสินค้าล่วงหน้าในการทำธุรกรรมการซื้อขาย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น