ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 21 ธันวาคม 2549
หลายคนคงได้ทราบกันแล้วนะครับว่า การซื้อขายล่วงหน้า (Futures Trading) ในตลาดสินค้าล่วงหน้า (Futures Exchange/Commodity Exchange) แตกต่างไปจากการซื้อขายสินค้าในตลาดสินค้าปัจจุบันหรือสินค้าจริงอย่างไร และ ได้ทราบกันบ้างแล้วถึงความเหมือนที่แตกต่างกันของการซื้อขายล่วงหน้าแบบ Futures และ การซื้อขายล่วงหน้าแบบ Forward
หลายคนคงได้ทราบกันแล้วนะครับว่า การซื้อขายล่วงหน้า (Futures Trading) ในตลาดสินค้าล่วงหน้า (Futures Exchange/Commodity Exchange) แตกต่างไปจากการซื้อขายสินค้าในตลาดสินค้าปัจจุบันหรือสินค้าจริงอย่างไร และ ได้ทราบกันบ้างแล้วถึงความเหมือนที่แตกต่างกันของการซื้อขายล่วงหน้าแบบ Futures และ การซื้อขายล่วงหน้าแบบ Forward
จะขออนุญาตกล่าวอีกทีนะครับ
ว่าการซื้อขายล่วงหน้าแบบ Futures นั้น
สินค้าที่ซื้อขายกันเรียกว่า Futures Contract จะเกิดขึ้นเฉพาะในตลาดสินค้าล่วงหน้าที่มีการจัดตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการเท่านั้น
(Organized Exchange) ตัวอย่างของสัญญา Futures เช่น สัญญาซื้อขายล่วงหน้ายางแผ่นรมควันชั้น 3 (Ribbed Smoked
Sheet no.3) ใน AFET (จัดเป็น Exchange
Trade เหมือนการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์)
ส่วนการซื้อขายล่วงหน้าแบบ Forward นั้นสินค้าที่ซื้อขายกันเรียกว่า
Forward Contract นั้นจะซื้อขายหรือตกลงที่ไหนก็ได้
อาจจะเป็นที่ร้านน้ำชาที่เยาวราช ร้านกาแฟที่พารากอน
เคาร์เตอร์ขายเหล้าขายเบียร์ของคลับใด ๆ ในกรุงเทพ (ถือเป็นการซื้อขายแบบ Over-the-counter
หรือ OTC ประเภทหนึ่ง) ตัวอย่างสัญญา Forward
เช่น สัญญาซื้อขายเงินตราล่วงหน้า
ที่ผู้ส่งออกทำสัญญากับธนาคารพาณิชย์ หรือ สัญญาซื้อขายข้าวระหว่างโรงสีกับผู้ส่งออก
โดยการซื้อขายทั้งสองรูปแบบนี้จะมีความเหมือนกันตรงที่ทั้งคู่เป็นการซื้อขายล่วงหน้าโดยสัญญาจะมีผลบังคับใช้ในอนาคต
ไม่ใช่เป็นการซื้อขายเพื่อส่งมอบรับมอบสินค้า
ณ ปัจจุบันนี้
แต่ในความเหมือนก็มีความแตกต่างกันอยู่หลายข้อเหมือนกัน
เช่น Forward
Contract เป็นสัญญาที่ผู้ซื้อผู้ขายตกลงเงื่อนไขทำสัญญากันเอง
ผู้ซื้อผู้ขายจะกำหนดเงื่อนไขในสัญญาที่เกี่ยวกับ ปริมาณ คุณภาพ สถานที่ส่งมอบ
ระยะเวลาการส่งมอบ ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของผู้ซื้อและผู้ขาย
โดยไม่มีมาตรฐานที่ชัดเจน (ชาวนาและผู้ประกอบการสินค้าเกษตรบ้านเราคุ้นเคยกันมากับการซื้อขายแบบนี้)
การไม่มีมาตรฐานของสัญญาแบบ Forward
นี้เอง ทำให้หาผู้รับช่วงสัญญาต่อได้ยาก (หาผู้ขายต่อได้ยาก หรือ
ไม่มีสภาพคล่อง) ทำให้มักเกิดการบิดพริ้ว หรือ
การเบี้ยวสัญญากันขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งสัญญาซื้อขาย Forward ของสินค้าเกษตร ถึงขนาดมีเรื่องเล่าต่อ ๆ กันมาเกี่ยวการซื้อขายแบบ Forward
และ การบิดพริ้วสัญญา ระหว่างช่วงปี 1840 - 1860 ณ เมือง Chicago
สหรัฐอเมริกา ชาวนาแถบชานเมือง Chicago ได้ตกลงทำสัญญา
Forward กับพ่อค้าในเมือง และเมื่อถึงเวลาที่กำหนด
ชาวนาจึงขนผลผลิตตนด้วยรถม้า มาส่งให้กับผู้ซื้อตามสัญญา Forward ที่ทำกันไว้
แต่เมื่อเดินทางมาถึง ผู้ซื้อกลับปฏิเสธที่จะรับมอบและจ่ายเงินตามสัญญา
Forward นั้น ชาวนาโกรธมากเพราะอุตส่าห์ขนผลผลิตมาตั้งไกล
แต่ผู้ปฏิเสธหน้าตาเฉยที่จะไม่รับสินค้าดังกล่าว ชาวนาจึงชักปืนออกขู่ว่า
"เลือกเอาละกันว่า จะรับสินค้า หรือ จะรับลูกปืน"
(เมืองไทยเราก็มีตัวอย่างคล้าย ๆ อย่างนี้อยู่เยอะครับ)
เพื่อเป็นการแก้ข้อจำกัดของการซื้อขายแบบ Forward
ดังกล่าว
จึงได้มีการพัฒนารูปแบบสัญญาซื้อขายที่เป็นมาตรฐานที่เรียกกันว่า Futures
Contract ขึ้นที่ Chicago Board of Trade ในปี
1865 (โดยตลาดจะเป็นผู้กำหนดเงื่อนไขต่าง ๆ ในสัญญาให้เป็นมาตรฐาน ได้แก่ คุณภาพ
สถานที่ส่งมอบ ระยะเวลาการส่งมอบ) ตัวอย่างของ Futures Contract ในปัจจุบัน เช่น Rice Futures ใน AFET ระบุว่าการซื้อขาย 1 สัญญา คือ การซื้อขายข้าวขาว 5 %
มาตรฐานกระทรวงพาณิชย์ จำนวน 15 ตัน ส่งมอบในเขตกรุงเทพฯ ณ มีนาคม 2549 หรือ Corn
Futures ของ CBOT ระบุว่า การซื้อขาย 1 สัญญา
คือ การซื้อขายข้าวโพด คุณภาพ No. 2 Yellow จำนวน 5,000 bushel ส่งมอบกันในเขตเมือง Chicago
ณ เดือนมีนาคม 2549
การกำหนดสัญญาให้เป็นมาตรฐานนั้นมีเหตุผล คือ
ต้องการให้ สัญญา Futures สามารถเปลี่ยนมือได้ง่าย
(เพราะว่า สินค้าที่เป็นมาตรฐานย่อมจะเปลี่ยนมือได้ง่ายกว่าสินค้าที่ไม่มีมาตรฐาน)
และ เมื่อสัญญามีมาตรฐานแล้ว สิ่งเดียวที่ผู้ซื้อ-ผู้ขายต้องตกลงกันก็คือ
"ราคา" (ผู้ซื้อและผู้ขายก็ไม่ต้องมานั่งเจรจาเงื่อนไขของสัญญากันอีก)
ทำให้การเปลี่ยนมือของสัญญา Futures สามารถทำได้ง่ายกว่าสัญญา
Forward ซึ่งหากกรณีผู้ซื้อหรือผู้ขายไม่ต้องการส่งหรือรับสินค้าชนิดนั้นแล้ว
ก็จะหาผู้รับช่วงสัญญาต่อได้ง่าย
การที่ผู้ซื้อหรือผู้ขายสามารถหาผู้รับช่วงสัญญาต่อ
และปลดภาระผูกพันที่มีอยู่กับสัญญา Futures นี้
เราเรียกกันว่า การความสามารถในการ Offset Position
ตัวอย่างของการ Offset
Position นี้ เช่น สมมติว่า นายแดงเข้ามาซื้อล่วงหน้าใน AFET
สัญญาข้าวส่งมอบเดือนมีนาคม 2549 (WR5P
Mar06) และ ต่อมาไม่ต้องการรับมอบข้าวจริง
(นายแดงอาจสามารถซื้อข้าวของตนจากที่อื่นที่ถูกกว่าแล้ว) นายแดงก็สามาถเข้ามา AFET
และ ขายสัญญา WR5P Mar06
ของตน หากสามารถขายได้ (จะกำไร หรือ ขาดทุน
ก็ขึ้นอยู่กับว่านายแดงซื้อมาที่ราคาเท่าไร หากซื้อมาแพงแล้วขายถูกก็ขาดทุน หาก
ซื้อถูกขายแพงก็กำไร) นายแดงก็สามารถปลดภาระผูกพันที่มีกับ AFET พร้อมรับผลกำไรหรือผลขาดทุนจากการซื้อขายของตนได้โดยไม่มีภาระในการรับมอบข้าวแต่อย่างใด
นอกเหนือไปจากเรื่องการปรับปรุงรูปแบบสัญญาให้เป็นมาตรฐานแล้ว
แนวคิดสำคัญในการซื้อขาย Futures ที่ถูกพัฒนามาพร้อม ๆ
กับการปรับปรุงรูปแบบของสัญญา คือ แนวคิดของการเรียกเก็บเงินประกันในการซื้อขาย
หรือ เงิน Margin จากทั้งทางฝั่งผู้ซื้อและฝั่งผู้ขาย
(หลายคนอาจจะไม่คุ้นกับแนวทางการเรียกเงินประกันแบบนี้ เนื่องจาก
ปกติแล้วเราจะคุ้นเคยว่าผู้ซื้อมักต้องจ่ายเงินมัดจำโดยผู้ขายไม่ต้องจ่ายอะไร)
กระบวนการเรียกเก็บเงิน Margin นี้เป็นกระบวนการที่สำคัญเพื่อใช้รองรับความเสี่ยงที่ผู้ซื้อและผู้ขายจะบิดพริ้วไม่ปฏิบัติตามสัญญา
Futures นั้น ๆ ซึ่งรายละเอียดเกี่ยวกับการวางเงิน Margin
ในการซื้อขายล่วงหน้านั้น ขอนำมากล่าวในตอนต่อไปนะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น