วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ย้อนเวลาหา Stagflation

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 19 มิถุนายน 2551

คงไม่มีใครปฏิเสธได้นะครับว่า ในช่วงที่ผ่านมาสินค้าในชีวิตประจำวันแทบทุกประเภทไล่ไปตั้งแต่ น้ำมัน น้ำตาล ข้าวสาร เส้นก๋วยเตี๋ยว นมข้นหวาน ปลากระป๋อง ค่ารถเมล์ ค่าเรือข้ามฟาก ฯลฯ ล้วนปรับราคาแพงขึ้นแทบทั้งสิ้น (ยกเว้น มาม่า ที่ทางผู้ผลิตได้ให้คำมั่นว่าจะยังไม่ปรับราคาขึ้นในปีนี้หลังจากที่ได้ปรับขึ้นจาก 5 บาท เป็น 6 บาทแล้ว) ในขณะที่สภาพเศรษฐกิจโดยทั่วๆ ไปก็ดูเหมือนว่ายังคงซบเซาอยู่ ทำให้ศัพท์คำว่า "Stagflation" ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาบ่อยครั้งทั้งในหน้าหนังสือพิมพ์ หรือในบทวิเคราะห์ของหน่วยงานต่างๆ

คำว่า "Stag" ซึ่งเป็นพยางค์แรกเป็นตัวแทนของคำศัพท์ว่า "Stagnation" หรือแปลว่า การชะงักงัน (ในที่นี้หมายถึงการชะงักงันทางเศรษฐกิจ) ขณะที่ "Flation" มาจากคำว่า "Inflation" หรือแปลว่า การเพิ่มขึ้นของระดับราคา (สินค้าราคาแพงขึ้น) เมื่อนำคำทั้งสองมารวมกันเป็น "Stagflation" ก็ได้คำที่ใช้อธิบายสภาวะเศรษฐกิจที่มีทั้งการชะงักงันของอัตราเจริญเติบโตทำให้มีคนตกงานมาก และสินค้ามีราคาแพง ซึ่งเป็นภาวะเศรษฐกิจที่มีสาเหตุมาจาก Supply Shock เช่น กรณีราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรง

ภาวะ Stagflation นี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในสหรัฐอเมริกาเมื่อประมาณ 30 ปีที่แล้ว ในช่วงระหว่างปี ค.ศ.1972 ถึง 1983 (พ.ศ.2515-2526) ซึ่งช่วงระยะเวลาดังกล่าว สหรัฐอเมริกามีอัตราเงินเฟ้อโดยเฉลี่ย 8-9% ขณะที่อัตราการว่างงานมีสูงสุดที่ประมาณ 10% น้ำมันดิบปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 10 เท่าตัว (จาก $3 ต่อบาร์เรล ไปสู่จุดสูงสุดที่ $35 ต่อบาร์เรล) ทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 20 เท่าตัว (จาก $42 ต่อออนซ์ ไปสู่จุดสูงสุดที่ $877 ต่อออนซ์) และราคาสินค้าโภคภัณฑ์โดยเฉลี่ยปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 350% โดยช่วงก่อนเกิดภาวะ Stagflation นี้ ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ได้ลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ (คล้ายๆ กับตอนนี้เลยนะครับ) แต่เมื่อได้เผชิญกับภาวะน้ำมันแพงรัฐบาลสหรัฐก็ได้มีมาตรการต่างๆ ออกมารับมือ เช่น ได้ออกกฎหมายการจัดสรรน้ำมันซึ่งกำหนดให้รถทะเบียนคู่สามารถเติมน้ำมันได้ในวันคู่ ขณะเดียวกันรถทะเบียนคี่ก็สามารถเติมน้ำมันได้ในวันคี่ อีกทั้ง ออกกฎหมายบังคับให้รถห้ามวิ่งเกิน 55 ไมล์ (90 กิโลเมตร) ต่อชั่วโมง จากเดิมที่ 75 ไมล์ (120 กิโลเมตร) ต่อชั่วโมง เป็นต้น

ในระหว่างภาวะ Stagflation ประชาชนต่างประสบเผชิญกับภาวะข้าวของเครื่องใช้ต่างปรับตัวขึ้นราคาอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่เงินเดือนหรือค่าจ้างที่ได้รับกลับไม่ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ประชาชนส่วนใหญ่ต่างพยายามประหยัดมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เนื่องจากทุกคนต่างไม่รู้อนาคตของตนเองว่าจะเผชิญกับอะไรต่อไป กลุ่มชนที่ยังชีพด้วยดอกเบี้ยหรือเงินบำนาญ ล้วนกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เนื่องจากความฝันที่จะมีการดำรงชีวิตหลังเกษียณอย่างสุขสบายล้วนถูกทำลายด้วย Inflation ไปทั้งสิ้น

ว่ากันว่าในช่วงที่แย่ที่สุดของภาวะ Stagflation แม้กระทั่งอพาร์ตเมนต์ที่ถนน Park Avenue ในมหานครนิวยอร์ก (ราคาหลายล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน) เจ้าของถึงกับยินดีที่จะยกให้คนอื่นไปฟรีๆ เนื่องจากไม่มีเงินจ่ายค่าบำรุงรักษาที่เพิ่มขึ้นสูงมาก ช่วงนั้นชาวอเมริกันหลายล้านคนมีปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัยเนื่องจากไม่มีเงินเหลือพอจ่ายค่าเช่าบ้าน ซึ่งเป็นปัญหาทางสังคมไปจนถึงช่วงทศวรรษที่ 80

เมื่อราคาสินค้าปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างที่ไม่สามารถคาดเดาได้ ภาคธุรกิจก็ไม่สามารถที่จะคำนวณต้นทุนในอนาคตได้อย่างถูกต้อง ผู้ประกอบการก็ไม่มีแรงจูงใจที่จะลงทุนเพิ่มหรือรับพนักงานใหม่เพื่อขยายธุรกิจ โดยเห็นได้จากอัตราการว่างงานในสหรัฐได้ขึ้นไปแตะที่ระดับ 10% ในปี ค.ศ.1982 (ติดตามรายละเอียดได้ใน The Coming Economic Collapse ของ Stephen LEBB)

ในระหว่างปี ค.ศ.1979-1983 ประธาน Fed สมัยนั้น Paul Volcker เลือกที่จะใช้ยาแรงสู้กับ Stagflation ด้วยวิธีการเพิ่มดอกเบี้ยด้วยการลดปริมาณเงินในระบบเพื่อแก้ปัญหาเรื่องเงินเฟ้อ (Inflation) ให้สำเร็จ (ก่อนจะคำนึงถึงเรื่องอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ) โดยอัตราดอกเบี้ย (Fed Fund Rate) ในช่วงนั้นได้เพิ่มขึ้นไปถึงร้อยละ 20 ในปลายปี ค.ศ.1980 แล้วก็ค่อยๆ ลดดอกเบี้ยด้วยการเพิ่มปริมาณเงินในระบบผสมผสานกับการอัดฉีดงบประมาณจากทางรัฐบาลทำให้เศรษฐกิจของอเมริกาสามารถหลุดพ้นออกจาก Stagflation ไปได้ในปี ค.ศ.1984

เป็นที่น่าสังเกตว่า ความเหมือนกันของเหตุการณ์ในช่วงนั้น กับ เหตุการณ์ในช่วงเวลาปัจจุบันนี้ ก็คือเรื่องราคาสินค้าที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น แต่ที่ไม่เหมือนกันที่คือ ในช่วงนี้ (ปี ค.ศ.2007-2008) สหรัฐได้เผชิญอีกรูปแบบหนึ่งด้วย ก็คือ ปัญหาการแตกของฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์จนเป็นเหตุไปถึงปัญหาเรื่อง Subprime ที่เราๆ ท่านได้รู้กันดีแล้ว

ในช่วงเวลาที่ผ่านมา Fed เลือกที่จะลดดอกเบี้ย Fed Fund Rate มาอย่างต่อเนื่อง จนมาถึงที่ระดับ 2% เมื่อสองเดือนที่แล้ว (เม.ย.51) และดูเหมือนว่า Fed คงไม่กล้าที่จะลดดอกเบี้ยลงปีอีกแล้วเนื่องจากแรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อที่มาอยู่ที่ระดับ 4.2% และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นไปอีก (เปรียบเทียบกับในบ้านเราที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ระดับ 3.25% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อเท่ากับ 7.8%)

คงต้องรอดูกันต่อไปครับว่าประเทศยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐจะแก้ไขปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นี้อย่างไร Ben Bernanke ประธาน Fed คนปัจจุบัน จะเลือกที่จะขึ้นดอกเบี้ยเพื่อต่อสู้กับศัตรูของผู้ออมเงินอย่างเงินเฟ้อเหมือนอย่างที่ Volcker ทำเมื่อ 30 กว่าปีที่แล้วหรือไม่ หรือ Ben เลือกที่จะคงดอกเบี้ยไว้เพื่อเตรียมรับมือกับปัญหาวิกฤติการเงินลูกต่อๆ ไป (เช่น Subprime ภาคต่อ หรือสินเชื่อบัตรเครดิตที่อาจจะระเบิดขึ้นได้ตลอดเวลา) ซึ่งไม่ว่าการตัดสินใจของสหรัฐจะเป็นอย่างไรล้วนจะส่งผลกระทบมาสู่ประเทศไทยของเราแทบทั้งสิ้น พวกเราคงได้แต่คอยเฝ้าติดตามเหตุการณ์ตอนต่อไปด้วยความไม่ประมาทครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น