วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

น้ำมันปาล์ม

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 17 มกราคม 2551

          ในภาวะเศรษฐกิจดังเช่นปัจจุบัน ที่ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคได้ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง อาจมีสาเหตุจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ขณะที่รายได้ของพี่น้องประชาชน ไม่ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามได้ทัน ก่อให้เกิดปัญหาปากท้องมากมายต่อพี่น้องประชาชนทั้งประเทศ
          ผมยังไม่อยากกล่าวถึงในประเด็นของแก๊สหุงต้ม ที่ดูเหมือนว่ากระทรวงพลังงาน จะเตรียมตัวที่จะปล่อยให้ราคาลอยตัวในอนาคตอันใกล้นี้ แต่ประเด็นที่อยากจะกล่าวถึงวันนี้ คือ ประเด็นเรื่องน้ำมันปาล์ม สินค้ายอดฮิตล่าสุด ที่ได้รับความสนใจจากผู้คนในสังคมทั่วไป ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากน้ำมันปาล์มสามารถนำไปใช้ทำเป็นน้ำมันพืชขวดเพื่อประกอบอาหาร
          ในขณะเดียวกัน ก็ยังสามารถนำไปใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิต เป็นพลังงานทดแทนประเภทไบโอดีเซล ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยของเรามีสัดส่วนการใช้น้ำมันปาล์ม เพื่อการบริโภคประมาณ 7 หมื่นตันต่อเดือน และใช้ในกระบวนการผลิตพลังงานทดแทนอยู่ประมาณ 3 หมื่นตันต่อเดือน ซึ่งสัดส่วนนี้ น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคตอันใกล้นี้ หากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยังอยู่ในระดับที่สูงดังเช่นปัจจุบัน (USD 90 -100 ต่อบาร์เรล)
          ล่าสุดข่าวคราวการปรับตัวลดลงของสต็อกน้ำมันปาล์มดิบในประเทศ ประกอบกับการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันปาล์ม และมีข่าวว่า จะมีแนวโน้มจะขาดแคลนนั้น ทำให้ประชาชนผู้บริโภคได้แห่ไปซื้อน้ำมันปาล์มขวด รวมถึงน้ำมันพืชประเภทอื่น เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันรำข้าว มากักตุนไว้ ("ค้าภายในวอนประชาชนอย่าตุนน้ำมันปาล์ม" กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 13 มกราคม 2551)
          สินค้าน้ำมันพืช ถือเป็นหนึ่งใน 200 สินค้า ในรายการสำคัญที่ติดตามดูแลของกรมการค้าภายใน (ดูสำหรับบัญชีรายสินค้านี้ได้ในเวบไซต์ของกรมการค้าภายใน WWW.DIT.GO.TH ครับ) โดยในช่วงเวลาที่ผ่านมา (12 ม.ค.) ผู้บริหารกรมการค้าภายในนำทีมโดยท่านอธิบดี ยรรยง พวงราช ได้นำคณะสื่อมวลชนเข้าตรวจโรงงานน้ำมันพืชรายใหญ่ รวมถึงเข้าตรวจร้านค้าส่งทั้งหลาย ซึ่งท่านให้ความมั่นใจว่า ขณะนี้น้ำมันพืชยังไม่ขาดแคลน พร้อมเตือนด้วย หากผู้ประกอบการรายใดกักตุนสินค้า จะถูกดำเนินการทางกฎหมายได้ และหากเกิดการขาดแคลนจริงๆ ก็สามารถนำสินค้าน้ำมันปาล์มเข้าจากต่างประเทศได้ ฉะนั้นจึงไม่มีประโยชน์อะไรที่ประชาชนจะซื้อน้ำมันพืชมากักตุนเอาไว้ในช่วงนี้
          สาเหตุหลักที่ราคาน้ำมันปาล์มปรับตัวเพิ่มขึ้น น่าจะมาจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกครับ ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับถึง 90-100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งเมื่อราคาน้ำมันดิบปรับตัวเพิ่มขึ้นมาสูงถึงขนาดนี้ ก็ทำให้ผู้ใช้น้ำมัน และผู้ผลิตหันมาเริ่มสนใจ ที่จะใช้หรือพัฒนาพลังงานทดแทน ประเภทอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งพลังงานทดแทนประเภทไบโอดีเซลที่ผลิตจากปาล์มน้ำมัน มันสำปะหลัง หรือ สบู่ดำ ที่เรียกกันว่า B100 ซึ่งในปัจจุบันก็ได้มีการนำน้ำมัน B100 นี้มาผสมกับน้ำมันดีเซล ออกมาจำหน่ายเพื่อใช้เป็นน้ำมันดีเซลหมุนเร็วตระกูล B เช่น ประเภท B5 (มีน้ำมันดีเซล 95% และ ไบโอดีเซล B100 อยู่ 5%) หรือ ประเภท B2 (มีน้ำมันดีเซล 98% และ ไบโอดีเซล B100 อยู่ 2%)
          ส่วนราคาไบโอดีเซล B100 ที่ผลิตและจำหน่ายในประเทศ กระทรวงพลังงานได้มีสูตรการคำนวณไว้ครับ โดยกำหนดให้ราคาขาย B100 ในกรุงเทพมหานคร ขึ้นอยู่กับราคาของปัจจัยต่างๆ ที่ใช้ผลิต ได้แก่ ราคาขายส่งน้ำมันปาล์มดิบ ตามที่กรมการค้าภายใน (DIT) ประกาศ และราคาขายเมทานอล จากผู้ค้าภายในประเทศ 3 ราย (โดยราคา B100 จะเท่ากับ  0.97 X ราคาน้ำมันปาล์มดิบ + 0.15X ราคาเมทานอล + 3.32)  โดยให้หาราคาเฉลี่ยของสัปดาห์ที่แล้ว เพื่อใช้กำหนดราคาในสัปดาห์หน้า ราคา B100 ที่คำนวณได้นี้
          ทั้งนี้มีข้อแม้ว่า ราคาขายส่งน้ำมันปาล์มดิบตามที่กรมการค้าภายใน (DIT) ประกาศจะสูงกว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดโลก (ประเทศมาเลเซีย) ไม่เกิน 1 บาท/กก. ซึ่งหากราคาน้ำมันปาล์มดิบในประเทศสูงกว่าที่ประเทศมาเลเซียมาก ก็จะพิจารณาสูตรกันใหม่เป็นครั้งๆ ไป (ติดตามรายละเอียดได้ในเวบไซต์ของกระทรวงพลังงาน WWW.ENERGY.GO.TH ครับ)
          ราคาตลาดโลกสำหรับน้ำมันปาล์มที่ผู้ค้าทั่วโลกนิยมใช้อิงราคากัน คือราคาในตลาดซื้อขายล่วงหน้าในประเทศมาเลเซียครับ ซึ่งมีชื่อเดิมว่า MALAYSIA DERIVATIVES EXCHANGE (MDEX) โดยได้เปิดให้มีการซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มดิบมาตั้งแต่ปี 2523  (ปัจจุบัน MDEX นี้ส่วนหนึ่งของตลาดหลักทรัพย์มาเลเซีย หรือ BURSA MALAYSIA ไปแล้ว)
          แต่ช่วงปลายปีที่แล้ว ก็มีตลาดล่วงหน้าอีกตลาดหนึ่ง คือ ตลาด DALIAN COMMODITY EXCHANGE (DCE) ของจีน ซึ่งถือได้ว่าปัจจุบันเป็นตลาดสินค้าล่วงหน้าชั้นนำแห่งหนึ่งของโลก ก็ได้เปิดให้ซื้อขายน้ำมันปาล์มด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ เพื่อรองรับกับแนวโน้มของการที่จะนำน้ำมันปาล์มไปใช้ในการผลิตพลังงานทดแทนมากขึ้น ผนวกกับปริมาณการบริโภคน้ำมันปาล์มของคนจีนซึ่งมีสูงอยู่แล้ว การซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มใน DCE นี้ จะมาเสริมให้ระบบตลาดการค้าน้ำมันปาล์มในประเทศจีน ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งในด้านการโปร่งใสของธุรกรรมการซื้อขายที่กระทำผ่านระบบคอมพิวเตอร์ที่ทันสมัย
          ด้านการเป็นเครื่องมือการบริหารความเสี่ยงของผู้ที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันปาล์มในจีนที่จะสามารถเข้าซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มในตลาดล่วงหน้าที่โปร่งใสและเที่ยงธรรม โดยมีปริมาณการซื้อขายตั้งแต่ต้นปี 2008 อยู่ที่ประมาณ 10,000 - 15,000 สัญญา ต่อวัน ซึ่งถือได้ว่าประสบความสำเร็จมากทีเดียว

          ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย หรือ AFET เอง ก็มีความสนใจในสินค้าน้ำมันปาล์มนี้อยู่ด้วยเช่นกันครับ แต่ก็คงต้องทำการศึกษาทั้งในด้านตลาด ตัวสินค้า และรูปแบบการซื้อขาย อย่างรอบคอบ ก่อนจะนำซื้อขายล่วงหน้าใน AFET เพื่อเป็นทางเลือกในการบริหารจัดการความเสี่ยงสำหรับผู้ประกอบการไทย แหล่งอ้างอิงราคา และเครื่องมือการลงทุนสำหรับนักลงทุนทั่วไป--จบ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น