ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 17 มกราคม 2551
ในภาวะเศรษฐกิจดังเช่นปัจจุบัน
ที่ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคได้ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง
อาจมีสาเหตุจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก
ขณะที่รายได้ของพี่น้องประชาชน ไม่ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามได้ทัน
ก่อให้เกิดปัญหาปากท้องมากมายต่อพี่น้องประชาชนทั้งประเทศ
ผมยังไม่อยากกล่าวถึงในประเด็นของแก๊สหุงต้ม ที่ดูเหมือนว่ากระทรวงพลังงาน
จะเตรียมตัวที่จะปล่อยให้ราคาลอยตัวในอนาคตอันใกล้นี้
แต่ประเด็นที่อยากจะกล่าวถึงวันนี้ คือ ประเด็นเรื่องน้ำมันปาล์ม
สินค้ายอดฮิตล่าสุด ที่ได้รับความสนใจจากผู้คนในสังคมทั่วไป
ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากน้ำมันปาล์มสามารถนำไปใช้ทำเป็นน้ำมันพืชขวดเพื่อประกอบอาหาร
ในขณะเดียวกัน
ก็ยังสามารถนำไปใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิต เป็นพลังงานทดแทนประเภทไบโอดีเซล
ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยของเรามีสัดส่วนการใช้น้ำมันปาล์ม เพื่อการบริโภคประมาณ 7 หมื่นตันต่อเดือน และใช้ในกระบวนการผลิตพลังงานทดแทนอยู่ประมาณ 3 หมื่นตันต่อเดือน ซึ่งสัดส่วนนี้ น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคตอันใกล้นี้
หากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยังอยู่ในระดับที่สูงดังเช่นปัจจุบัน (USD 90
-100 ต่อบาร์เรล)
ล่าสุดข่าวคราวการปรับตัวลดลงของสต็อกน้ำมันปาล์มดิบในประเทศ
ประกอบกับการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันปาล์ม และมีข่าวว่า จะมีแนวโน้มจะขาดแคลนนั้น
ทำให้ประชาชนผู้บริโภคได้แห่ไปซื้อน้ำมันปาล์มขวด รวมถึงน้ำมันพืชประเภทอื่น เช่น
น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันรำข้าว มากักตุนไว้
("ค้าภายในวอนประชาชนอย่าตุนน้ำมันปาล์ม" กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 13 มกราคม 2551)
สินค้าน้ำมันพืช
ถือเป็นหนึ่งใน 200 สินค้า
ในรายการสำคัญที่ติดตามดูแลของกรมการค้าภายใน
(ดูสำหรับบัญชีรายสินค้านี้ได้ในเวบไซต์ของกรมการค้าภายใน WWW.DIT.GO.TH ครับ) โดยในช่วงเวลาที่ผ่านมา (12 ม.ค.)
ผู้บริหารกรมการค้าภายในนำทีมโดยท่านอธิบดี ยรรยง พวงราช
ได้นำคณะสื่อมวลชนเข้าตรวจโรงงานน้ำมันพืชรายใหญ่
รวมถึงเข้าตรวจร้านค้าส่งทั้งหลาย ซึ่งท่านให้ความมั่นใจว่า
ขณะนี้น้ำมันพืชยังไม่ขาดแคลน พร้อมเตือนด้วย หากผู้ประกอบการรายใดกักตุนสินค้า
จะถูกดำเนินการทางกฎหมายได้ และหากเกิดการขาดแคลนจริงๆ
ก็สามารถนำสินค้าน้ำมันปาล์มเข้าจากต่างประเทศได้ ฉะนั้นจึงไม่มีประโยชน์อะไรที่ประชาชนจะซื้อน้ำมันพืชมากักตุนเอาไว้ในช่วงนี้
สาเหตุหลักที่ราคาน้ำมันปาล์มปรับตัวเพิ่มขึ้น
น่าจะมาจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกครับ
ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับถึง 90-100
ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งเมื่อราคาน้ำมันดิบปรับตัวเพิ่มขึ้นมาสูงถึงขนาดนี้
ก็ทำให้ผู้ใช้น้ำมัน และผู้ผลิตหันมาเริ่มสนใจ ที่จะใช้หรือพัฒนาพลังงานทดแทน
ประเภทอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งพลังงานทดแทนประเภทไบโอดีเซลที่ผลิตจากปาล์มน้ำมัน
มันสำปะหลัง หรือ สบู่ดำ ที่เรียกกันว่า B100 ซึ่งในปัจจุบันก็ได้มีการนำน้ำมัน
B100 นี้มาผสมกับน้ำมันดีเซล
ออกมาจำหน่ายเพื่อใช้เป็นน้ำมันดีเซลหมุนเร็วตระกูล B เช่น
ประเภท B5 (มีน้ำมันดีเซล 95% และ
ไบโอดีเซล B100 อยู่ 5%) หรือ ประเภท B2
(มีน้ำมันดีเซล 98% และ ไบโอดีเซล B100 อยู่ 2%)
ส่วนราคาไบโอดีเซล B100 ที่ผลิตและจำหน่ายในประเทศ กระทรวงพลังงานได้มีสูตรการคำนวณไว้ครับ
โดยกำหนดให้ราคาขาย B100 ในกรุงเทพมหานคร
ขึ้นอยู่กับราคาของปัจจัยต่างๆ ที่ใช้ผลิต ได้แก่ ราคาขายส่งน้ำมันปาล์มดิบ
ตามที่กรมการค้าภายใน (DIT) ประกาศ และราคาขายเมทานอล
จากผู้ค้าภายในประเทศ 3 ราย (โดยราคา B100 จะเท่ากับ 0.97 X ราคาน้ำมันปาล์มดิบ + 0.15X ราคาเมทานอล + 3.32) โดยให้หาราคาเฉลี่ยของสัปดาห์ที่แล้ว
เพื่อใช้กำหนดราคาในสัปดาห์หน้า ราคา B100 ที่คำนวณได้นี้
ทั้งนี้มีข้อแม้ว่า
ราคาขายส่งน้ำมันปาล์มดิบตามที่กรมการค้าภายใน (DIT) ประกาศจะสูงกว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดโลก
(ประเทศมาเลเซีย) ไม่เกิน 1 บาท/กก.
ซึ่งหากราคาน้ำมันปาล์มดิบในประเทศสูงกว่าที่ประเทศมาเลเซียมาก
ก็จะพิจารณาสูตรกันใหม่เป็นครั้งๆ ไป
(ติดตามรายละเอียดได้ในเวบไซต์ของกระทรวงพลังงาน WWW.ENERGY.GO.TH ครับ)
ราคาตลาดโลกสำหรับน้ำมันปาล์มที่ผู้ค้าทั่วโลกนิยมใช้อิงราคากัน
คือราคาในตลาดซื้อขายล่วงหน้าในประเทศมาเลเซียครับ ซึ่งมีชื่อเดิมว่า MALAYSIA DERIVATIVES EXCHANGE (MDEX) โดยได้เปิดให้มีการซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มดิบมาตั้งแต่ปี 2523 (ปัจจุบัน MDEX นี้ส่วนหนึ่งของตลาดหลักทรัพย์มาเลเซีย หรือ BURSA
MALAYSIA
ไปแล้ว)
แต่ช่วงปลายปีที่แล้ว ก็มีตลาดล่วงหน้าอีกตลาดหนึ่ง คือ ตลาด DALIAN COMMODITY EXCHANGE (DCE) ของจีน ซึ่งถือได้ว่าปัจจุบันเป็นตลาดสินค้าล่วงหน้าชั้นนำแห่งหนึ่งของโลก
ก็ได้เปิดให้ซื้อขายน้ำมันปาล์มด้วยเช่นกัน ทั้งนี้
เพื่อรองรับกับแนวโน้มของการที่จะนำน้ำมันปาล์มไปใช้ในการผลิตพลังงานทดแทนมากขึ้น
ผนวกกับปริมาณการบริโภคน้ำมันปาล์มของคนจีนซึ่งมีสูงอยู่แล้ว
การซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มใน DCE นี้
จะมาเสริมให้ระบบตลาดการค้าน้ำมันปาล์มในประเทศจีน ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ทั้งในด้านการโปร่งใสของธุรกรรมการซื้อขายที่กระทำผ่านระบบคอมพิวเตอร์ที่ทันสมัย
ด้านการเป็นเครื่องมือการบริหารความเสี่ยงของผู้ที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันปาล์มในจีนที่จะสามารถเข้าซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มในตลาดล่วงหน้าที่โปร่งใสและเที่ยงธรรม
โดยมีปริมาณการซื้อขายตั้งแต่ต้นปี 2008 อยู่ที่ประมาณ
10,000 - 15,000 สัญญา ต่อวัน
ซึ่งถือได้ว่าประสบความสำเร็จมากทีเดียว
ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย หรือ AFET เอง
ก็มีความสนใจในสินค้าน้ำมันปาล์มนี้อยู่ด้วยเช่นกันครับ
แต่ก็คงต้องทำการศึกษาทั้งในด้านตลาด ตัวสินค้า และรูปแบบการซื้อขาย อย่างรอบคอบ
ก่อนจะนำซื้อขายล่วงหน้าใน AFET เพื่อเป็นทางเลือกในการบริหารจัดการความเสี่ยงสำหรับผู้ประกอบการไทย
แหล่งอ้างอิงราคา และเครื่องมือการลงทุนสำหรับนักลงทุนทั่วไป--จบ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น