วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

การห้ามซื้อขายสินค้าล่วงหน้าในบางประเทศ

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 28 สิงหาคม 2551

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า ข่าวคราวของนักกีฬาไทย ที่สามารถคว้าเหรียญรางวัลได้ถึง 2 เหรียญทอง และ 2 เหรียญเงิน จากการแข่งขันโอลิมปิกปักกิ่งเกมส์ ประเทศจีน ระหว่างวันที่ 8-24 สิงหาคม 2551 จะถูกกลบไปหมดด้วย "ปฏิบัติการไทยคู่ฟ้า" ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่เป่านกหวีดกันตั้งแต่ช่วงเช้าตรู่ของวันที่ 26 สิงหาคม 2551

นักกีฬาผู้ที่สามารถนำเหรียญรางวัลกลับมาครั้งนี้ จะได้รับยอดอัดฉีดเบื้องต้นถึง 76 ล้านบาท โดยผู้ที่มีเหรียญทองห้อยคอกลับมาอย่าง สมจิตร จงจอหอ และ "น้องเก๋" ประภาวดี เจริญรัตนธารากูล จะได้รับเบื้องต้นประมาณ 23 ล้านบาท ขณะที่ยอดนักชก และยอดนักเตะ เจ้าของเหรียญเงิน อย่าง มนัส บุญจำนงค์ และ "น้องสอง" บุตรี เผือดผ่อง จะได้รับรางวัลเบื้องต้นประมาณ 15 ล้านบาท (อ่านรายละเอียดใน "ฉลองยิ่งใหญ่ฮีโร่ เหรียญทอง-เงิน โอลิมปิก" เดลินิวส์ 26 สิงหาคม 2551) เรียกได้ว่าสามารถเริ่มชีวิตใหม่กันได้อย่างสบายๆ เลย

แต่หากผมไม่ใช่นักกีฬา แต่เป็นนักลงทุนผู้ถือครองสินค้า "ทองคำ" (Gold) หรือ "เงิน" (Silver) ในพอร์ตการลงทุน คงไม่ได้มีความสุขอย่างนักกีฬาเหรียญทอง-เงิน ดังกล่าว เนื่องจากตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคมจนถึงวันปิดโอลิมปิก (24 สิงหาคม 51) ราคาทองคำในตลาดโลกปรับตัวลดลงมาจาก US$909.55/oz เหลือเพียง US$822.10/oz และ ราคาโลหะเงินปรับตัวลดลงมาจาก US$17.43/oz เหลือเพียง US$13.32/oz ลดลงประมาณ 10% และ 24% ตามลำดับ โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ให้น้ำหนักกับการปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงของโลหะมีค่าอย่างทองคำและเงิน ว่ามาจากสาเหตุการแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องของเงิน US Dollar เมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่น (ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาเกือบ 5% ในช่วงเวลาเดียวกัน)

เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อสินค้าคนรวยอย่างทองคำ หรือโลหะเงินจะปรับตัวเพิ่มขึ้น หรือปรับตัวลดลงรุนแรง รัฐบาลหรือ Regulator ก็ไม่ค่อยที่จะเข้ามาแทรกแซงตลาดซื้อขายสินค้าจำพวกเหล่านี้มากเท่าไร (ยกเว้นเกิดกรณีทุจริตปั่นตลาด) ไม่เหมือนกับ กรณีสินค้าเกษตร (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าการเมือง) ที่เมื่อไรก็ตามที่ราคาสินค้าเกษตรผันผวนอย่างรุนแรงไม่ว่าจะเป็นทิศทางขาขึ้นหรือขาลง รัฐบาลในหลายประเทศ ชอบที่จะเข้ามาแทรกแซงด้วยมาตรการต่างๆ เช่น โครงการพยุงราคา การควบคุมราคา การกำหนดเพดานราคาขั้นสูง (Ceiling)-ราคาขั้นต่ำ (Floor) และ/หรือในบางกรณีอาจสั่งห้ามซื้อขายล่วงหน้าสินค้าชนิดที่มีปัญหา

ตัวอย่างของการสั่งห้ามซื้อขายล่วงหน้าสินค้าเกษตร เห็นได้ชัดที่สุดคือ เมื่อแนวโน้มราคาสินค้าเกษตรปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง Regulator ของอินเดีย ได้สั่งห้ามซื้อขายล่วงหน้าใน 4 ประเภทสินค้า (ได้แก่ น้ำมันถั่วเหลือง มันฝรั่ง ยางพารา เมล็ด Channa) เป็นระยะเวลา 4 เดือน (ตั้งแต่วันที่ 7 พฤษภาคม - 6 กันยายน 2551) ซึ่งยังไม่รวมถึงการห้ามซื้อขายล่วงหน้าอย่างไม่มีกำหนดในสินค้าข้าว (Rice Futures) และข้าวสาลี (Wheat Futures) ที่รัฐบาลสั่งห้ามมาตั้งแต่ กุมภาพันธ์ 2550

การห้ามซื้อขายล่วงหน้าดังกล่าวของ Regulator อินเดียถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง เพราะตามหลักการ การมีหรือไม่มีการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้ามิได้ช่วยให้ และ/หรือ ทำให้ราคาสินค้าเกษตรชนิดนั้นมีเสถียรภาพมากขึ้น (เนื่องมาจากราคาสินค้าเกษตรย่อมผันแปรไปตาม Demand-Supply ในตลาดโลก) แต่การห้ามดังกล่าวเป็นการจำกัดมิให้ผู้ประกอบการสามารถบริหารความเสี่ยงด้านราคาได้ (ทำให้ไม่มีเครื่องมือการบริหารความเสี่ยงด้านราคา) อีกทั้งทำให้เกษตรกรก็ไม่มีแหล่งราคาอ้างอิงในการกำหนดราคาขายสินค้าของตน ส่งผลให้เกิดการได้เปรียบเรื่องข้อมูลข่าวสารของราคาระหว่างเกษตรกรรายย่อยกับผู้ประกอบการรายใหญ่ เปิดช่องให้ผู้ที่มีข้อมูลดีกว่าเอารัดเอาเปรียบอีกฝ่ายหนึ่งได้สะดวกง่ายได้ขึ้น

ย้อนหลังไปที่สหรัฐอเมริกา เมื่อ 50 ปีที่แล้ว (ค.ศ.1958) ก็เคยเกิดเหตุการณ์ในทำนองเดียวกันคือ เกษตรกรในอเมริกาในสมัยนั้นเชื่อว่าการซื้อขายล่วงหน้าหัวหอมทำให้ราคาหัวหอมตก จึงล็อบบี้ให้ ส.ส.จากรัฐมิชิแกนในขณะนั้น คือ Gerald Ford (ส.ส. ผู้นี้ได้ดำรงประธานาธิบดีของสหรัฐระหว่างปี ค.ศ.1974-1977) ให้ผลักดันกฎหมายห้ามซื้อขายล่วงหน้าหัวหอม หรือ Onion Futures Act ในปี ค.ศ.1958 ซึ่งยังคงบังคับใช้มาถึงขณะนี้

แต่เมื่อมาพิจารณาถึงความผันผวนราคาหัวหอมในสหรัฐอเมริกา (ไม่มีการซื้อขายล่วงหน้าแล้ว) ในช่วง 2- 3 มาปีนี้ เปรียบเทียบสินค้าอื่น (ที่มีการซื้อขายล่วงหน้า) เช่น น้ำมันดิบ (ซื้อขายล่วงหน้าที่ NYMEX) หรือ ข้าวโพด (ซื้อขายล่วงหน้าที่ CBOT) ก็พบว่าราคาหัวหอมมีความผันผวนกว่า น้ำมันดิบ หรือ ข้าวโพดเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ระหว่างตุลาคม 2549-เมษายน 2550 หัวหอมมีราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 400% จากนั้นปรับตัวลดลงเกือบ 100% จนถึงเดือนมีนาคม 2551 จากนั้นก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก 300% ในเดือนเมษายนของปี 2551 (อ่านรายละเอียดใน What onions teach us about oil prices, CNNMoney.com) ทำให้ปัจจุบันเริ่มมีเสียงเรียกร้องจากผู้ประกอบการให้นำหัวหอมกลับมาซื้อขายล่วงหน้า กันอีกครั้งบ้างแล้ว

ย้อนกลับมาที่ประเทศไทย ซึ่งเราเองมีการซื้อขายล่วงหน้า (Futures Trading) เช่นเดียวกัน ทั้งในส่วนของสินค้าเกษตรที่ซื้อขายกันในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (AFET) และในส่วนของสินค้าทางการเงิน และ/สินค้าโภคภัณฑ์อื่น (เช่น ดัชนีหุ้น หรือ ทองคำ) ที่รับผิดชอบโดยตลาดอนุพันธ์ (TFEX) การทำความเข้าใจกับผู้กำหนดนโยบายทุกระดับ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด ทั้งนี้ เพื่อเป็นการป้องกันมิให้เกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการซื้อขายล่วงหน้าดังที่เกิดขึ้นในประเทศอื่น

นอกจากนี้ การให้ศึกษาเกี่ยวกับประโยชน์และวัตถุประสงค์ของการซื้อขายล่วงหน้า (Futures Trading) ให้แก่บุคลากร ของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งในส่วนของตลาดสินค้าล่วงหน้า ผู้ประกอบธุรกิจ ผู้กำกับดูแล สมาคมการค้า สถาบันการศึกษา หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง จะมีช่วยให้เครื่องมือที่มีคุณค่าอย่างการซื้อขายล่วงหน้า ได้ทำหน้าที่ของมันได้อย่างเต็มที่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น