วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ถนนทุกสายมุ่งสู่เมืองจีน

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 7 มิถุนายน 2550

เมื่อช่วงปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ผมในฐานะตัวแทนจากตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย หรือ AFET ได้เข้าร่วมคณะเดินทางส่งเสริมและขยายตลาดการค้ามันสำปะหลัง ไทย-จีน ของ อนุกรรมการเสริมสร้างและพัฒนาตลาด สมาคมผู้ผลิตมันสำประหลังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เดินทางไปเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์กับลูกค้าของทางสมาคมที่เมืองจีน ควบคู่กับการขยายตลาดการค้าใหม่ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในศักยภาพด้านการผลิต การค้า และการส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังจากประเทศไทย

คณะของเราออกเดินทางออกจากสนามบินสุวรรณภูมิ ไปยังเมืองกวางเจา มณฑลกวางตุ้ง เพื่อผ่านพิธีศุลกากรตรวจคนเข้าเมืองของประเทศจีน และรอต่อเครื่องบินไปยังเมืองชิงเต่า มณฑลซานตง ซึ่งเป็นมลฑลชายทะเลตะวันออกของจีน (อยู่ตอนเหนือเมืองเซี่ยงไฮ้ มณฑลเจียงซู) สิ่งที่มีชื่อเสียงของเมืองชิงเต่าที่สุดเห็นจะเป็นเบียร์ยี่ห้อชิงเต่าที่โด่งดังไปทั่งโลก เบียร์ชิงเต่า นี้ซื้อข้างนอกกระป๋องละ 2 หยวน หรือ 10 บาท (1 หยวนประมาณ 5 บาท ถูกมาก ๆ เลยนะครับ) แต่หากซื้อที่โรงแรมหรือสนามบินราคาจะขึ้นไปเป็น 10 ถึง 20 หยวน อีกทั้งที่เมืองชิงเต่ากำลังมีชื่อเสียงเนื่องจากจะเป็นที่ใช้แข่งขันกีฬาทางน้ำในกีฬาโอลิมปิคที่จีนจะเป็นเจ้าภาพในปีหน้านี้ ทำให้มีการติดป้ายโฆษณาเกี่ยวกับโอลิมปิค 2008 กันไปทั้งเมืองเลย

สิ่งแรกที่ผมได้สัมผัสเมื่อเข้ามายังเมืองจีนก็คือสนามบินครับ ทั้งสนามบินที่เมืองกวางเจา และสนามบินที่เมืองชิงเต่า มองผ่าน ๆ แล้วการออกแบบ คล้ายกับสนามบินสุวรรณภูมิบ้านเราเลยครับ แต่ดูเหมือนของเค้าจะใหญ่กว่า รถเข็นกระเป๋าก็มีอย่างเหลือเฟือ (ไม่เหมือนบางประเทศที่สนามบินเพิ่งเปิดรถเข็นกระเป๋าเริ่มมีจะมีเจ๊งแล้ว) ห้องน้ำก็มีอย่างเพียงพอ สิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ก็มีอย่างครบครัน (ดูแล้วน่าอิจฉานะครับ)

หลังจากออกจากสนามบินชิงเต่าด้วยรถบัส ตามท้องถนนหากไม่รู้มาก่อนมาอยู่ประเทศจีน ผมนึกว่ารถกำลังวิ่งที่ Highway ในอเมริกาครับ ถนนหนทางดูกว้างขวาง ไฟตามท้องถนนก็สว่างไสว ผิดไปจากประเทศจีนในความคิดของผมที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ไปอย่างสิ้นเชิง

คืนแรกคณะเราเข้าพักที่โรงแรมในที่ชิงเต่าเวลาเกือบตีหนึ่ง และต้องตื่นหกโมงเช้าเพื่อเดินทางไปเมืองจวี่เซี่ยน เพื่อเยี่ยมโรงงานผลิตแอลกอฮอล์ซึ่งเป็นผู้รับซื้อมันเส้น (Tapioca Chip) รายใหญ่จากพ่อค้าไทย หลังจากนั้นก็ร่วมรับประทานอาหารกลางวันกับผู้บริหารโรงงาน คนจีนเลี้ยงเหล้ากันตั้งแต่อาหารกลางวันเลยครับ อาจเป็นเพราะมาเยี่ยมชมโรงงานแอลกอฮอล์ เจ้าภาพเลยถือโอกาสเลี้ยงคณะพวกเราด้วยเหล้าขาวที่ผลิตจากโรงงานเสียเลย และความรู้ใหม่ที่ผมได้รับจากมัคคุเทศน์ว่าในประเทศจีนนี้ ถ้าคุณไม่ต้องการดื่มเหล้า ก็ให้บอกเจ้าภาพเค้าไปตรง ๆ ว่าไม่สามารถดื่มได้เพราะปัญหาสุขภาพ (หรืออะไรก็ว่าไป) เพราะว่าหากเจ้าภาพยกแก้วชนขอให้ดื่มหมดแก้ว ต้องดื่มให้หมดแก้ว การชนแก้วกับเค้าแล้วไม่ยอมดื่มให้หมดจะถือว่าเสียมารยาทเพราะคนจีนถือว่าเราไม่จริงใจกับเค้า แต่คณะเราจริงใจครับ ถึงแม้ว่าจะดื่มกันไม่ค่อยเก่ง ก็สู้ครับ ไม่ยอมให้คนจีนมาดูถูกคณะพวกเราได้

หลังจากนั้น ทางคณะเข้าเยี่ยมบริษัทผู้ผลิตแอลกอฮอล์ผู้นำเข้ามันเส้นจากไทยอีก 2 ราย โดยผู้ผลิตแอลกอฮอล์ทั้ง 3 ราย มี Comment ตรงกันครับว่า ปัจจุบันราคาแอลกอฮอล์มีความผันผวนมาก ส่งผลให้โรงงานผู้ผลิตแอลกอฮอล์รายเล็กบางรายในซานตง อาจจะต้องปิดกิจการลง ซึ่งส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะว่าผู้ประกอบการจีนไม่สามารถบริหารความเสี่ยงด้านราคาของตนได้ เนื่องจากยังไม่มีการซื้อขายแอลกอฮอล์ล่วงหน้าในจีน (มีตลาดล่วงหน้า 3 แห่งในประเทศจีนครับ อันประกอบด้วย Shanghai Futures Exchange, Dalian Commodity Exchange, and Zhengzhou Commodity Exchange) ขณะที่สินค้าแอลกอฮอล์มีซื้อขายกันแล้วที่บราซิลใน Brazilian Mercantile and Futures Exchange และ มีการค้าขาย Ethanol Futures ที่สหรัฐอเมริกาในตลาดใหญ่ ๆ อย่าง Chicago Board of Trade และ Chicago Mercantile Exchange

คณะเราใช้เวลาอยู่ที่มณฑลซานตงเป็นระยะเวลา 3 วัน เยี่ยมชมท่าเรือที่สำคัญ ๆ ได้แก่ท่าเรือยื้อจ้าว ท่าเรือหลันซาน ท่าเรือเหลียนหยุนกั่ง ท่าเรือของเค้าใหญ่มากครับ โดยเฉพาะที่เหลี่ยนหยุนกั่งที่กำลังก่อสร้างขยายท่าเรือ (ใหญ่เสียจนไม่อยากจะนำเทียบกับท่าเรือคลองเตยของเราได้) เช่นเดียวกันกับทุกเมืองที่คณะเราได้ไป ทุกมุมของเมืองในประเทศจีนเต็มไปด้วยไซด์งานก่อสร้าง เช่น คอนโด ถนน สะพาน อาคารสำนักงาน และโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ทำให้จีนยังมีต้องการสินค้าประเภทวัตถุดิบทุกประเภทอีกเป็นจำนวนมาก ความต้องการอันมหาศาลนี้ซึ่งมีมาตั้งแต่ 3 – 4 ปีที่ผ่านมาอาจเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ให้ราคาสินค้า Commodity ในตลาดโลกทุกประเภทปรับตัวเพิ่มขึ้นมา และความต้องการของประเทศจีนนี้ มักถูกนำไปอ้างเป็นสาเหตุของการปรับตัวสูงสุดของ Commodity ในปัจจุบัน

ออกจากมณฑลซานตง คณะของเราได้บินมาที่เมืองหนังหนึงเมืองหลวงของมณฑลกวางซี (เมืองกุ้ยหลินที่หลายท่านรู้จักดีอยู่ในมณฑลนี้ครับ) ที่มณฑลนี้ทางคณะได้เยี่ยมชมท่าเรือและโรงงานผลิตแอลกอฮอล์อีกอย่างละหนึ่งแห่ง สิ่งที่ผมได้สัมผัสก็คล้ายกับที่ได้สัมผัสที่ซานตงคือ ทุกที่ของเมืองจะมีการก่อสร้างที่กำลังดำเนินการอยู่ จะแตกต่างกันก็คือที่กวางซีนี้ อากาศร้อนคล้ายบ้านเรา ขณะที่ที่ซานตงอากาศกำลังเย็นสบายน่าเที่ยวมากกว่า (ที่สำคัญ ผู้หญิงที่ซานตงก็สวยกว่าที่กวางซีครับ)

จากมณฑลกวางซี ทางคณะบินกลับมาที่เมืองกวางเจา มณฑลกวางตุ้ง เพื่อแวะชอบปิ้ง และเตรียมตัวบินกลับเมืองไทย ก็ได้ความรู้ใหม่อีกว่า ที่เมืองกวางเจาแม้กระทั่งในเขตชานเมืองจะไม่อนุญาตให้ก่อสร้างอาคารต่ำกว่า 10 ชั้น บ้านของคนกวางเจาจึงเป็นได้แต่ห้องเช่าและคอนโด ไม่มีทางที่จะได้เป็น ทาวเฮ้าส์ หรือ บ้านเดี่ยว เหมือนอย่างบ้านเรา อีกทั้งราคาเฉลี่ยของคอนโดที่นี้ยังแพงกว่าราคาเฉลี่ยที่กรุงเทพเสียอีก (ที่แพงที่สุดบริเวณแม่น้ำไข่มุกได้ยินว่าก็ตกตารางเมตรละ 1.5 - 2 แสนบาทครับ)

อาหารที่กวางเจานี้คุ้นปากคนไทยมากกว่าอาหารจีนทางเหนือครับ อาจเป็นเพราะบรรพบุรุษของผมรวมทั้งคนไทยเชื้อสายจีนส่วนใหญ่มาจากมณฑลนี้ มาเมืองจีนคราวนี้ทำให้อดคิดไม่ได้ครับว่า ที่นี้หรือเป็นสถานที่ที่บรรพบุรุษของผมหอบเสื่อผืนหมอนใบจากมาเพื่อแสวงหาโอกาสที่ดีกว่าเมื่อประมาณ 80 ปีก่อน แต่ดูเหมือนว่า ณ พ.ศ. นี้ทุกอย่างกับตาลปัตรไปเลยจากเมื่อก่อน เพราะว่าถนนทุกสายขณะนี้ล้วนมุ่งหน้าสู่ประเทศจีนทั้งสิ้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น