ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 7 มิถุนายน 2550
เมื่อช่วงปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
ผมในฐานะตัวแทนจากตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย หรือ AFET
ได้เข้าร่วมคณะเดินทางส่งเสริมและขยายตลาดการค้ามันสำปะหลัง ไทย-จีน
ของ อนุกรรมการเสริมสร้างและพัฒนาตลาด
สมาคมผู้ผลิตมันสำประหลังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เดินทางไปเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน
โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์กับลูกค้าของทางสมาคมที่เมืองจีน
ควบคู่กับการขยายตลาดการค้าใหม่ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในศักยภาพด้านการผลิต
การค้า และการส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังจากประเทศไทย
คณะของเราออกเดินทางออกจากสนามบินสุวรรณภูมิ
ไปยังเมืองกวางเจา มณฑลกวางตุ้ง เพื่อผ่านพิธีศุลกากรตรวจคนเข้าเมืองของประเทศจีน
และรอต่อเครื่องบินไปยังเมืองชิงเต่า มณฑลซานตง ซึ่งเป็นมลฑลชายทะเลตะวันออกของจีน
(อยู่ตอนเหนือเมืองเซี่ยงไฮ้ มณฑลเจียงซู)
สิ่งที่มีชื่อเสียงของเมืองชิงเต่าที่สุดเห็นจะเป็นเบียร์ยี่ห้อชิงเต่าที่โด่งดังไปทั่งโลก
เบียร์ชิงเต่า นี้ซื้อข้างนอกกระป๋องละ 2 หยวน หรือ 10 บาท (1 หยวนประมาณ 5 บาท
ถูกมาก ๆ เลยนะครับ) แต่หากซื้อที่โรงแรมหรือสนามบินราคาจะขึ้นไปเป็น 10 ถึง 20
หยวน
อีกทั้งที่เมืองชิงเต่ากำลังมีชื่อเสียงเนื่องจากจะเป็นที่ใช้แข่งขันกีฬาทางน้ำในกีฬาโอลิมปิคที่จีนจะเป็นเจ้าภาพในปีหน้านี้
ทำให้มีการติดป้ายโฆษณาเกี่ยวกับโอลิมปิค 2008 กันไปทั้งเมืองเลย
สิ่งแรกที่ผมได้สัมผัสเมื่อเข้ามายังเมืองจีนก็คือสนามบินครับ
ทั้งสนามบินที่เมืองกวางเจา และสนามบินที่เมืองชิงเต่า มองผ่าน ๆ แล้วการออกแบบ
คล้ายกับสนามบินสุวรรณภูมิบ้านเราเลยครับ แต่ดูเหมือนของเค้าจะใหญ่กว่า
รถเข็นกระเป๋าก็มีอย่างเหลือเฟือ (ไม่เหมือนบางประเทศที่สนามบินเพิ่งเปิดรถเข็นกระเป๋าเริ่มมีจะมีเจ๊งแล้ว)
ห้องน้ำก็มีอย่างเพียงพอ สิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ก็มีอย่างครบครัน
(ดูแล้วน่าอิจฉานะครับ)
หลังจากออกจากสนามบินชิงเต่าด้วยรถบัส
ตามท้องถนนหากไม่รู้มาก่อนมาอยู่ประเทศจีน ผมนึกว่ารถกำลังวิ่งที่ Highway
ในอเมริกาครับ ถนนหนทางดูกว้างขวาง ไฟตามท้องถนนก็สว่างไสว
ผิดไปจากประเทศจีนในความคิดของผมที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ไปอย่างสิ้นเชิง
คืนแรกคณะเราเข้าพักที่โรงแรมในที่ชิงเต่าเวลาเกือบตีหนึ่ง
และต้องตื่นหกโมงเช้าเพื่อเดินทางไปเมืองจวี่เซี่ยน
เพื่อเยี่ยมโรงงานผลิตแอลกอฮอล์ซึ่งเป็นผู้รับซื้อมันเส้น (Tapioca
Chip) รายใหญ่จากพ่อค้าไทย
หลังจากนั้นก็ร่วมรับประทานอาหารกลางวันกับผู้บริหารโรงงาน
คนจีนเลี้ยงเหล้ากันตั้งแต่อาหารกลางวันเลยครับ
อาจเป็นเพราะมาเยี่ยมชมโรงงานแอลกอฮอล์
เจ้าภาพเลยถือโอกาสเลี้ยงคณะพวกเราด้วยเหล้าขาวที่ผลิตจากโรงงานเสียเลย และความรู้ใหม่ที่ผมได้รับจากมัคคุเทศน์ว่าในประเทศจีนนี้
ถ้าคุณไม่ต้องการดื่มเหล้า ก็ให้บอกเจ้าภาพเค้าไปตรง ๆ
ว่าไม่สามารถดื่มได้เพราะปัญหาสุขภาพ (หรืออะไรก็ว่าไป)
เพราะว่าหากเจ้าภาพยกแก้วชนขอให้ดื่มหมดแก้ว ต้องดื่มให้หมดแก้ว
การชนแก้วกับเค้าแล้วไม่ยอมดื่มให้หมดจะถือว่าเสียมารยาทเพราะคนจีนถือว่าเราไม่จริงใจกับเค้า
แต่คณะเราจริงใจครับ ถึงแม้ว่าจะดื่มกันไม่ค่อยเก่ง ก็สู้ครับ
ไม่ยอมให้คนจีนมาดูถูกคณะพวกเราได้
หลังจากนั้น
ทางคณะเข้าเยี่ยมบริษัทผู้ผลิตแอลกอฮอล์ผู้นำเข้ามันเส้นจากไทยอีก 2 ราย
โดยผู้ผลิตแอลกอฮอล์ทั้ง 3 ราย มี Comment ตรงกันครับว่า
ปัจจุบันราคาแอลกอฮอล์มีความผันผวนมาก
ส่งผลให้โรงงานผู้ผลิตแอลกอฮอล์รายเล็กบางรายในซานตง อาจจะต้องปิดกิจการลง
ซึ่งส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะว่าผู้ประกอบการจีนไม่สามารถบริหารความเสี่ยงด้านราคาของตนได้
เนื่องจากยังไม่มีการซื้อขายแอลกอฮอล์ล่วงหน้าในจีน (มีตลาดล่วงหน้า 3
แห่งในประเทศจีนครับ อันประกอบด้วย Shanghai Futures Exchange, Dalian
Commodity Exchange, and Zhengzhou Commodity Exchange) ขณะที่สินค้าแอลกอฮอล์มีซื้อขายกันแล้วที่บราซิลใน
Brazilian Mercantile and Futures Exchange และ มีการค้าขาย Ethanol
Futures ที่สหรัฐอเมริกาในตลาดใหญ่ ๆ อย่าง Chicago Board of
Trade และ Chicago Mercantile Exchange
คณะเราใช้เวลาอยู่ที่มณฑลซานตงเป็นระยะเวลา 3
วัน เยี่ยมชมท่าเรือที่สำคัญ ๆ ได้แก่ท่าเรือยื้อจ้าว ท่าเรือหลันซาน
ท่าเรือเหลียนหยุนกั่ง ท่าเรือของเค้าใหญ่มากครับ
โดยเฉพาะที่เหลี่ยนหยุนกั่งที่กำลังก่อสร้างขยายท่าเรือ
(ใหญ่เสียจนไม่อยากจะนำเทียบกับท่าเรือคลองเตยของเราได้)
เช่นเดียวกันกับทุกเมืองที่คณะเราได้ไป
ทุกมุมของเมืองในประเทศจีนเต็มไปด้วยไซด์งานก่อสร้าง เช่น คอนโด ถนน สะพาน
อาคารสำนักงาน และโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ
ทำให้จีนยังมีต้องการสินค้าประเภทวัตถุดิบทุกประเภทอีกเป็นจำนวนมาก
ความต้องการอันมหาศาลนี้ซึ่งมีมาตั้งแต่ 3 4
ปีที่ผ่านมาอาจเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ให้ราคาสินค้า Commodity ในตลาดโลกทุกประเภทปรับตัวเพิ่มขึ้นมา และความต้องการของประเทศจีนนี้
มักถูกนำไปอ้างเป็นสาเหตุของการปรับตัวสูงสุดของ Commodity ในปัจจุบัน
ออกจากมณฑลซานตง
คณะของเราได้บินมาที่เมืองหนังหนึงเมืองหลวงของมณฑลกวางซี
(เมืองกุ้ยหลินที่หลายท่านรู้จักดีอยู่ในมณฑลนี้ครับ)
ที่มณฑลนี้ทางคณะได้เยี่ยมชมท่าเรือและโรงงานผลิตแอลกอฮอล์อีกอย่างละหนึ่งแห่ง
สิ่งที่ผมได้สัมผัสก็คล้ายกับที่ได้สัมผัสที่ซานตงคือ
ทุกที่ของเมืองจะมีการก่อสร้างที่กำลังดำเนินการอยู่
จะแตกต่างกันก็คือที่กวางซีนี้ อากาศร้อนคล้ายบ้านเรา
ขณะที่ที่ซานตงอากาศกำลังเย็นสบายน่าเที่ยวมากกว่า (ที่สำคัญ
ผู้หญิงที่ซานตงก็สวยกว่าที่กวางซีครับ)
จากมณฑลกวางซี ทางคณะบินกลับมาที่เมืองกวางเจา
มณฑลกวางตุ้ง เพื่อแวะชอบปิ้ง และเตรียมตัวบินกลับเมืองไทย ก็ได้ความรู้ใหม่อีกว่า
ที่เมืองกวางเจาแม้กระทั่งในเขตชานเมืองจะไม่อนุญาตให้ก่อสร้างอาคารต่ำกว่า 10
ชั้น บ้านของคนกวางเจาจึงเป็นได้แต่ห้องเช่าและคอนโด ไม่มีทางที่จะได้เป็น
ทาวเฮ้าส์ หรือ บ้านเดี่ยว เหมือนอย่างบ้านเรา
อีกทั้งราคาเฉลี่ยของคอนโดที่นี้ยังแพงกว่าราคาเฉลี่ยที่กรุงเทพเสียอีก
(ที่แพงที่สุดบริเวณแม่น้ำไข่มุกได้ยินว่าก็ตกตารางเมตรละ 1.5 - 2 แสนบาทครับ)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น