ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 14 มกราคม 2553
ก็ผ่านกันไปอีกหนึ่งปี สำหรับปี พ.ศ.2552 หรือ ค.ศ.2009
ที่น่าจะถือได้ว่าเป็นปีสุดยอดของความผันผวน ผมเชื่อว่าหลายท่านยังจำกันได้นะครับในช่วงไตรมาสหนึ่งของปีที่แล้ว
ที่ทั่วโลกกำลังอยู่ในช่วงของการ De-leveraging นักลงทุนทั้งหลายต่างหนีตายขายสินทรัพย์เสี่ยงต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็น หุ้น ทองคำ น้ำมัน สินค้าเกษตร
หันมาถือครองเงินสดในรูปของเงินดอลลาร์สหรัฐ และ/หรือ พันธบัตรระยะสั้นๆ
ของรัฐบาลสหรัฐ (U.S. Treasury Bill) จนก่อให้เกิดกระแสความกลัวเรื่องภาวะเงินฝืด
หรือ Deflation กันทั่วโลก
โดยเห็นได้จาก จุดต่ำสุดของดัชนีหุ้น Dow Jones ของสหรัฐ
และดัชนีหุ้นไทย SET แตะที่ระดับต่ำสุดในวันเดียวกันเมื่อวันที่
9 มี.ค.52 ที่ระดับ 6,547 และ 411 จุดตามลำดับ (ปัจจุบัน 12 ม.ค.53
ปรับขึ้นมาอยู่ที่ 10,627 และ 745 จุดแล้ว) ขณะที่น้ำมันดิบ West Texas แตะจุดต่ำสุดที่ระดับ US$ 33/บาร์เรล ณ วันที่ 12
ก.พ.52 (ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ US$ 80/บาร์เรล)
ขณะที่ยางแผ่นรมควันชั้น 3 (RSS3) ใน AFET แตะระดับต่ำสุดที่ 49.25 บาท/กก. ณ วันที่ 12 มี.ค.52
(ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 105 บาท/กก.)
ส่วนทองคำเมื่อตอนสิ้นปี 2551 ราคาปิดที่ US$ 873.70/oz. ตกลงมาต่ำที่สุดที่ US$ 817.80/oz. เมื่อวันที่ 16 ม.ค.51
จากนั้นก็เคลื่อนไหวอยู่ระหว่างช่วง 850 ถึง 1,000 ดอลลาร์ จนมาถึงช่วงไตรมาส 4
ของปีที่ทองคำวิ่งทะลุ 1,000 มาซื้อขายกันที่ราคาสูงสุด 1,226 ในวันที่ 3 ธ.ค.
เหตุผลที่ทองคำไม่ค่อยปรับตัวลงไปมากนักเหมือนสินค้าโภคภัณฑ์ชนิดอื่นๆ
อาจมีสาเหตุจาก การที่ทองคำสามารถทำหน้าที่เป็น เงินตรา (Currency) ได้ด้วย เหมือนที่ครั้งหนึ่งที่ นายอลัน กรีนสแปนเคยกล่าวไว้ว่า "Gold
still represents the ultimate form of payment in the world." ซึ่งหากทองคำทำหน้าที่เป็นเงินตราแล้ว
ก็จะสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีในภาวะเงินฝืด (Deflation) ด้วยเช่นกัน
แต่ด้วยการดำเนินนโยบายการคลังของประเทศต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
เช่น ของรัฐบาลสหรัฐ จีน และ ญี่ปุ่น (ในบ้านเราก็มีไทยเข้มแข็ง) ผนวกกับ
การดำเนินนโยบายเสริมสภาพคล่องของธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก
โดยเฉพาะนโยบายนโยบายดอกเบี้ยเกือบศูนย์ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) และนโยบายการอัดฉีดเงินเข้าระบบด้วยการซื้อพันธบัตร (Quantitative
Easing: QE) ของ FED และ ธนาคารกลางของอังกฤษ
ทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่าง ๆ ปรับตัวเพิ่มขึ้นกันถ้วนหน้าเมื่อเทียบกับตอนสิ้นปี
2551 อาทิ ทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้น 24% เงิน (Silver) เพิ่มขึ้น
49% น้ำมันดิบเพิ่มขึ้น 78% ทองแดงปรับตัวเพิ่มขึ้น 137% ยางพารา (Rubber-AFET)
เพิ่มขึ้น 90% หรือ น้ำตาลทรายที่ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นไปกว่าเท่าตัว
ประเด็นต่อไปที่น่าสนใจ ก็คือ ในปี 2553 เสือทองนี้
ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทั้ง น้ำมัน ทองคำ และ ยางพารา
จะมีแนวโน้มหรือทิศทางเป็นอย่างไร
เนื่องมาจากก็ยังมีข้อถกเถียงกันที่ยังค้างคาใจกันอยู่ระหว่างนักวิชาการค่ายเงินฝืด
VS นักวิชาการค่ายเงินเฟ้อ
ซึ่งด้านของนักวิชาการด้านเงินฝืดเชื่อว่าราคาของสินค้าน่าจะปรับตัวลดลง
อันเนื่องมาจาก
ภาวะหนี้สินก้อนมหึมาที่ยังค้างอยู่ในระบบทั่วโลกของทุกภาคส่วนที่กำลังรอเหตุปะทุ
(Debt Crisis) เช่นในประเทศอย่าง กรีซ สเปน ไอร์แลนด์
เหมือนอย่างกับ วิกฤตหนี้ในดูไบ เมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว
ขณะที่ด้านนักวิชาการค่ายเงินเฟ้อ เชื่อว่า
ด้วยระบบเงินตราในปัจจุบันที่เป็นระบบ Paper Money ที่มีเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นเงินสำรองระหว่างประเทศ
(ไม่ผูกติดกับทองคำเหมือนในช่วง Great Depression เมื่อปี
ค.ศ. 1920-1930) ซึ่งทำให้ธนาคารกลางต่าง ๆ
ทั่วโลกมีอำนาจที่จะอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบการเงินตนได้
ผนวกกับภาวะทางเศรษฐกิจที่ดูเหมือนว่ายังไม่ฟื้นตัวของสหรัฐ
(โดยเห็นได้จากตัวเลขการจ้างงานและตัวเลขคนว่างงานที่ยังไม่ดีขึ้นในสหรัฐ
ที่เพิ่งประกาศออกมาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว) ทำให้มีความเชื่อว่า FED ยังคงนโยบายดอกเบี้ยที่ใกล้ศูนย์เปอร์เซ็นต์ หรือ รวมถึงยังคงนโยบาย QE
ไปอีกระยะหนึ่ง
ประกอบกับกำหนดการขายพันธบัตรสหรัฐในปี 2553
เพื่อใช้จ่ายตามโครงการการขาดดุลงบประมาณกว่า US$ 1.5 ล้านล้าน (1.5
trillion) ที่ปกติที่ต้องขายให้กับผู้สนใจทั่วไป
(เหมือนโครงการไทยเข้มแข็งบ้านเรา) ก็เป็นที่น่าสงสัยว่าจะมีคนสนใจซื้อหรือไม่
ซึ่งหากไม่มีคนสนใจซื้อ ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ FED ก็คงต้องเข้ามาเป็นผู้ซื้อเสียเอง
ซึ่งก็จะเหมือนกับ FED พิมพ์เงิน $US ออกมาเข้าระบบ
อันจะนำไปสู่ภาวะ Inflation นั่นเอง
อีกทั้งในปัจจุบัน
ภาระหนี้อย่างเป็นทางการรวมถึงข้อผูกมัดต่างของรัฐบาลรัฐบาล (Total Debt and
unfunded liabilities) ที่มีอยู่ถึง US$73
ล้านล้าน (73 trillion) รัฐบาลสหรัฐคงมีแรงจูงใจในการดำเนินนโยบายให้เกิดเงินเฟ้อ
(ซึ่งทำให้รัฐบาลชำระหนี้ที่มีอยู่ได้ง่ายดายขึ้น) กว่าให้เงินสภาพเงินฝืด เป็นแน่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น