วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

เตรียมตัวกันให้ดีในปีเสือทอง

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 14 มกราคม 2553

ก็ผ่านกันไปอีกหนึ่งปี สำหรับปี พ.ศ.2552 หรือ ค.ศ.2009 ที่น่าจะถือได้ว่าเป็นปีสุดยอดของความผันผวน ผมเชื่อว่าหลายท่านยังจำกันได้นะครับในช่วงไตรมาสหนึ่งของปีที่แล้ว ที่ทั่วโลกกำลังอยู่ในช่วงของการ De-leveraging นักลงทุนทั้งหลายต่างหนีตายขายสินทรัพย์เสี่ยงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น หุ้น ทองคำ น้ำมัน สินค้าเกษตร หันมาถือครองเงินสดในรูปของเงินดอลลาร์สหรัฐ และ/หรือ พันธบัตรระยะสั้นๆ ของรัฐบาลสหรัฐ (U.S. Treasury Bill) จนก่อให้เกิดกระแสความกลัวเรื่องภาวะเงินฝืด หรือ Deflation กันทั่วโลก

โดยเห็นได้จาก จุดต่ำสุดของดัชนีหุ้น Dow Jones ของสหรัฐ และดัชนีหุ้นไทย SET แตะที่ระดับต่ำสุดในวันเดียวกันเมื่อวันที่ 9 มี.ค.52 ที่ระดับ 6,547 และ 411 จุดตามลำดับ (ปัจจุบัน 12 ม.ค.53 ปรับขึ้นมาอยู่ที่ 10,627 และ 745 จุดแล้ว) ขณะที่น้ำมันดิบ West Texas แตะจุดต่ำสุดที่ระดับ US$ 33/บาร์เรล ณ วันที่ 12 ก.พ.52 (ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ US$ 80/บาร์เรล) ขณะที่ยางแผ่นรมควันชั้น 3 (RSS3) ใน AFET แตะระดับต่ำสุดที่ 49.25 บาท/กก. ณ วันที่ 12 มี.ค.52 (ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 105 บาท/กก.)

ส่วนทองคำเมื่อตอนสิ้นปี 2551 ราคาปิดที่ US$ 873.70/oz. ตกลงมาต่ำที่สุดที่ US$ 817.80/oz. เมื่อวันที่ 16 ม.ค.51 จากนั้นก็เคลื่อนไหวอยู่ระหว่างช่วง 850 ถึง 1,000 ดอลลาร์ จนมาถึงช่วงไตรมาส 4 ของปีที่ทองคำวิ่งทะลุ 1,000 มาซื้อขายกันที่ราคาสูงสุด 1,226 ในวันที่ 3 ธ.ค. เหตุผลที่ทองคำไม่ค่อยปรับตัวลงไปมากนักเหมือนสินค้าโภคภัณฑ์ชนิดอื่นๆ อาจมีสาเหตุจาก การที่ทองคำสามารถทำหน้าที่เป็น เงินตรา (Currency) ได้ด้วย เหมือนที่ครั้งหนึ่งที่ นายอลัน กรีนสแปนเคยกล่าวไว้ว่า "Gold still represents the ultimate form of payment in the world." ซึ่งหากทองคำทำหน้าที่เป็นเงินตราแล้ว ก็จะสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีในภาวะเงินฝืด (Deflation) ด้วยเช่นกัน

แต่ด้วยการดำเนินนโยบายการคลังของประเทศต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น ของรัฐบาลสหรัฐ จีน และ ญี่ปุ่น (ในบ้านเราก็มีไทยเข้มแข็ง) ผนวกกับ การดำเนินนโยบายเสริมสภาพคล่องของธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะนโยบายนโยบายดอกเบี้ยเกือบศูนย์ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) และนโยบายการอัดฉีดเงินเข้าระบบด้วยการซื้อพันธบัตร (Quantitative Easing: QE) ของ FED และ ธนาคารกลางของอังกฤษ ทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่าง ๆ ปรับตัวเพิ่มขึ้นกันถ้วนหน้าเมื่อเทียบกับตอนสิ้นปี 2551 อาทิ ทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้น 24% เงิน (Silver) เพิ่มขึ้น 49% น้ำมันดิบเพิ่มขึ้น 78% ทองแดงปรับตัวเพิ่มขึ้น 137% ยางพารา (Rubber-AFET) เพิ่มขึ้น 90% หรือ น้ำตาลทรายที่ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นไปกว่าเท่าตัว

ประเด็นต่อไปที่น่าสนใจ ก็คือ ในปี 2553 เสือทองนี้ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทั้ง น้ำมัน ทองคำ และ ยางพารา จะมีแนวโน้มหรือทิศทางเป็นอย่างไร เนื่องมาจากก็ยังมีข้อถกเถียงกันที่ยังค้างคาใจกันอยู่ระหว่างนักวิชาการค่ายเงินฝืด VS นักวิชาการค่ายเงินเฟ้อ ซึ่งด้านของนักวิชาการด้านเงินฝืดเชื่อว่าราคาของสินค้าน่าจะปรับตัวลดลง อันเนื่องมาจาก ภาวะหนี้สินก้อนมหึมาที่ยังค้างอยู่ในระบบทั่วโลกของทุกภาคส่วนที่กำลังรอเหตุปะทุ (Debt Crisis) เช่นในประเทศอย่าง กรีซ สเปน ไอร์แลนด์ เหมือนอย่างกับ วิกฤตหนี้ในดูไบ เมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว

ขณะที่ด้านนักวิชาการค่ายเงินเฟ้อ เชื่อว่า ด้วยระบบเงินตราในปัจจุบันที่เป็นระบบ Paper Money ที่มีเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นเงินสำรองระหว่างประเทศ (ไม่ผูกติดกับทองคำเหมือนในช่วง Great Depression เมื่อปี ค.ศ. 1920-1930) ซึ่งทำให้ธนาคารกลางต่าง ๆ ทั่วโลกมีอำนาจที่จะอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบการเงินตนได้ ผนวกกับภาวะทางเศรษฐกิจที่ดูเหมือนว่ายังไม่ฟื้นตัวของสหรัฐ (โดยเห็นได้จากตัวเลขการจ้างงานและตัวเลขคนว่างงานที่ยังไม่ดีขึ้นในสหรัฐ ที่เพิ่งประกาศออกมาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว) ทำให้มีความเชื่อว่า FED ยังคงนโยบายดอกเบี้ยที่ใกล้ศูนย์เปอร์เซ็นต์ หรือ รวมถึงยังคงนโยบาย QE ไปอีกระยะหนึ่ง

ประกอบกับกำหนดการขายพันธบัตรสหรัฐในปี 2553 เพื่อใช้จ่ายตามโครงการการขาดดุลงบประมาณกว่า US$ 1.5 ล้านล้าน (1.5 trillion) ที่ปกติที่ต้องขายให้กับผู้สนใจทั่วไป (เหมือนโครงการไทยเข้มแข็งบ้านเรา) ก็เป็นที่น่าสงสัยว่าจะมีคนสนใจซื้อหรือไม่ ซึ่งหากไม่มีคนสนใจซื้อ ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ FED ก็คงต้องเข้ามาเป็นผู้ซื้อเสียเอง ซึ่งก็จะเหมือนกับ FED พิมพ์เงิน $US ออกมาเข้าระบบ อันจะนำไปสู่ภาวะ Inflation นั่นเอง

อีกทั้งในปัจจุบัน ภาระหนี้อย่างเป็นทางการรวมถึงข้อผูกมัดต่างของรัฐบาลรัฐบาล (Total Debt and unfunded liabilities) ที่มีอยู่ถึง US$73 ล้านล้าน (73 trillion) รัฐบาลสหรัฐคงมีแรงจูงใจในการดำเนินนโยบายให้เกิดเงินเฟ้อ (ซึ่งทำให้รัฐบาลชำระหนี้ที่มีอยู่ได้ง่ายดายขึ้น) กว่าให้เงินสภาพเงินฝืด เป็นแน่

ส่วนตัวผม จึงเห็นด้วยกับนักวิชาการค่ายเงินเฟ้อ และเชื่อว่าในอนาคตอันไม่ไกลนักนี้ โลกของเราคงจะต้องเผชิญกับภาวะข้าวของแพง จึงขอให้ท่านผู้อ่านเตรียมตัวรับกับภาวการณ์ในช่วงปีสองปีนี้กันให้ดีนะครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น