วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ตลาดล่วงหน้าผู้กำหนดราคาสินค้าโภคภัณฑ์โลก

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 12 ตุลาคม 2549

ระบบกลไกการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ของโลกเราในปัจจุบันนี้ ราคาตลาดโลกของสินค้าโภคภัณฑ์ที่สำคัญล้วนถูกกำหนดมาจากกระบวนการซื้อขายล่วงหน้า

ในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา หลายคนคงได้รับทราบข่าวดีเกี่ยวกับการลดลงของ ราคาน้ำมันในตลาดโลกกันมาบ้างแล้ว (ราคาน้ำมันบ้านเราลดลงมา 3-4 บาท แล้ว) การปรับตัวลงดังกล่าวนี้เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับการปรับตัวลดลงของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities) อื่น ๆ ด้วยอีกหลายชนิด อาทิ ทองคำ เงิน เหล็ก แพทตินั่ม และ ยางพารา ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุดคือทองคำแท่ง ปรับตัวลงจากเกือบบาทละ 12,000 บาท ตกมาเหลือประมาณ 10,300 บาท (วันที่ 10 ตุลาคม 2549)

หลายคนอาจจะยังสงสัยว่า การที่จะบอกว่าสินค้าชนิดหนึ่ง ๆ มีราคาเพิ่มขึ้นหรือลดลงนั้นเราจะรู้ หรือจะดูได้อย่างไร กระผมก็อยากจะบอกกันตรงนี้เลยว่า ระบบกลไกการซื้อขายสินค้า โภคภัณฑ์ของโลกเราในปัจจุบันนี้ ราคาตลาดโลกของสินค้าโภคภัณฑ์ที่สำคัญล้วนถูกกำหนดมาจากกระบวนการซื้อขายล่วงหน้า (Futures Trading) ในตลาดล่วงหน้าแทบทั้งสิ้น (ตลาดล่วงหน้ามีหลายชื่อเรียก เช่น Futures Market , Futures Exchange, Commodity Market, Commodity Exchange หรือ อาจจะเป็น ชื่อเมือง ตามด้วย Board of Trade เช่น Chicago Board of Trade และ New York Board of Trade เป็นต้น) สินค้า Commodity แต่ละชนิด จะตลาดล่วงหน้าหลัก ๆ ใช้ในการกำหนดราคาอยู่ 1-3 ตลาด อาทิ ข้าวโพดและข้าวสาลี (Corn and Wheat) ราคาถูกกำหนดมาจากตลาดล่วงหน้าที่ชิคาโก กาแฟ Arabica ราคาถูกกำหนดจากตลาดที่ลอนดอน (ส่วน กาแฟ Robusta นั้นราคาถูกกำหนดจากตลาดที่นิวยอร์ค) น้ำตาลทรายขาวราคาก็ถูกกำหนดจากตลาดที่ลอนดอนเช่นกัน (ส่วนน้ำตาลดิบถูกกำหนดจากตลาดที่นิวยอร์ค) น้ำมันปาล์มราคาถูกกำหนดจากการซื้อขายกันที่กัวลาลัมเปอร์ที่มาเลเซีย ส่วนสินค้ายางพารานั้นราคาจะถูกกำหนดมาจากตลาดโตเกียวและตลาดที่เซียงไฮ้ (คาดว่าน่าจะเป็น AFET ในอนาคตอันใกล้นี้ครับ)

ก็อาจมีคำถามตามมานะครับว่า ประเทศเราในฐานะทั้งผู้ผลิตและผู้ใช้สินค้าโภคภัณฑ์นั้น มีสิทธิที่จะไม่ปรับราคาสินค้าในประเทศตามราคาที่ปรับตัวขึ้น ๆ ลงๆ ในตลาดโลกหรือไม่ คำตอบก็คือ มีสิทธิทำได้ ด้วยกลไกแทรกแซงของภาครัฐ เช่น โครงการรับจำนำสินค้าเกษตรประเภทต่าง ๆ (แต่การแทรกแซงนั้นจะทำได้นานแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับเงินในกระเป๋าของรัฐบาล) ตัวอย่างของกระบวนการการแทรกแซงราคาที่ชัดเจนที่สุด น่าจะเป็น การแทรกแซงราคาน้ำมันโดยรัฐบาลชุดที่แล้ว ที่ไม่ยอมปล่อยให้ราคาน้ำมันในประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้นสอดคล้องกับราคาตลาดโลก การฝืนกลไกตลาดดังกล่าว ทำให้ผู้บริโภคไทยส่วนใหญ่ในเวลานั้นเสียนิสัยไม่ยอมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคของตน ผลสุดท้ายหลังจากกองทุนน้ำมันสูญเงินไปเกือบแสนล้าน (เดือนกรกฎาคม 2548 กองทุนน้ำมันมีภาระหนี้อยู่ที่ 92,070 ล้านบาท) รัฐบาลไม่มีทางเลือกอื่นอีกต้องยอมปล่อยให้น้ำมันลอยตัว (ลักษณะคล้ายกับช่วงปี 2540 ตอนที่ประเทศไทยปล่อยลอยตัวค่าเงินบาท) ผู้บริโภคบางรายเพิ่งสำนึกคิดที่จะประหยัดหรือหันไปใช้พลังงานทางเลือก เสียดายแต่เงินที่ใช้ในการแทรกแซงเกือบแสนล้าน เงินขนาดนี้เอาไปสร้างรถไฟฟ้าสายยาว ๆ ได้สายหนึ่งเลย

การปรับตัวลดลงของราคาสินค้าโภคภัณฑ์บางประเภทเช่น น้ำมัน หรือ ทองคำ อาจจะเป็นข่าวดีกับหลายท่านครับ แต่ การปรับตัวลดลงของราคาของสินค้าบางประเภท เช่น สินค้ายางพารา นั้นถือเป็นข่าวร้ายของพี่น้องเกษตรชาวสวนยางบ้านเรา โดย ราคายางได้ปรับตัวลดลงจากประมาณ 100 บาท/กก. มาอยู่ที่ระดับราคา 50-60 บาท/กก. ในระยะเวลาเพียง 2-3 เดือนเท่านั้น (ดูไทยรัฐวันที่ 8 กันยายน 2549 "เกษตร เต้น ราคายางตกสวรรค์ หล่นฮวบเหลือ 50 บาท เหตุเบี้ยวสัญญาล่วงหน้า") การขึ้น หรือ ลงของราคาของราคายางพารา ที่มีการ Quote ราคาและสื่อต่าง ๆ นำมารายงานนี้ ล้วนสะท้อนมาจากการขึ้นลงของราคาในตลาดสินค้าล่วงหน้า ทั้งสิ้น

แทบทุกครั้ง หากมีความพยายามจะหาต้นเหตุของความผันผวนของราคาสินค้าประเภทใด จำเลยสำคัญที่หนีไม่พ้นโดนยัดเยียดความผิดว่าเป็นเหตุให้ราคามีการขึ้น-ลงที่หวือหวา คือ การเก็งกำไร (Speculation) และ นักเก็งกำไร (Speculator) ทั้ง ๆ ที่ นักเก็งกำไร หรือ Speculator เป็นเพียง ผู้ที่เข้ามาขอเสี่ยงในตลาดเพื่อทำกำไร โดยอาศัยความสามารถของตนในการคาดคะเนการเคลื่อนไหวของราคาเท่านั้น ไม่ผิดไปจากธรรมชาติของคนที่เกิดมา เราถูกกำหนดให้ดำเนินชีวิตภายใต้ความเสี่ยง และ บังคับให้เราเก็งกำไรรายวันอยู่แล้ว (เช่น ก่อนออกจากบ้านก็ต้องมีความคิดว่าจะนำร่มออกไปด้วยดีไหม เพราะอาจจะเกะกะในการขึ้นรถเมล์ แต่ถ้าไม่เอาไป หากฝนตกจะทำอย่างไรต้องเดินลุยฝนจะเอาได้ไหม?) จึงค่อนข้างที่จะไม่เป็นธรรมต่อนักเก็งกำไร และ เป็นการสร้างความเข้าใจและทัศนคติที่ผิด ๆ เกี่ยวกับการเก็งกำไรต่อสาธารณชน อันที่จริงบุคคลที่สมควรโดนประณามและจับดำเนินคดี คือ บุคคลที่ทำกำไรโดยการเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น เช่น การใช้ข้อมูลภายใน การปล่อยข่าวลือ หรือ การกักตุนสินค้าแล้วปั่นราคา มากกว่า

การเก็งกำไร และ นักเก็งกำไร จริงๆ แล้ว มีจำเป็นและเป็นปัจจัยที่สำคัญในการซื้อขายล่วงหน้า โดยจะทำให้กลไกการซื้อขายสามารถทำหน้าที่ของมันได้อย่างสมบูรณ์และมีประสิทธิภาพ ซึ่งรายละเอียด จะขอนำมาเล่าต่อในตอนหน้าครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น