ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 12 ตุลาคม 2549
ระบบกลไกการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ของโลกเราในปัจจุบันนี้ ราคาตลาดโลกของสินค้าโภคภัณฑ์ที่สำคัญล้วนถูกกำหนดมาจากกระบวนการซื้อขายล่วงหน้า
ในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา
หลายคนคงได้รับทราบข่าวดีเกี่ยวกับการลดลงของ ราคาน้ำมันในตลาดโลกกันมาบ้างแล้ว (ราคาน้ำมันบ้านเราลดลงมา
3-4 บาท แล้ว)
การปรับตัวลงดังกล่าวนี้เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับการปรับตัวลดลงของราคาสินค้าโภคภัณฑ์
(Commodities)
อื่น ๆ ด้วยอีกหลายชนิด อาทิ ทองคำ เงิน เหล็ก แพทตินั่ม และ
ยางพารา ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุดคือทองคำแท่ง ปรับตัวลงจากเกือบบาทละ 12,000
บาท ตกมาเหลือประมาณ 10,300 บาท (วันที่ 10 ตุลาคม 2549)
หลายคนอาจจะยังสงสัยว่า
การที่จะบอกว่าสินค้าชนิดหนึ่ง ๆ มีราคาเพิ่มขึ้นหรือลดลงนั้นเราจะรู้
หรือจะดูได้อย่างไร กระผมก็อยากจะบอกกันตรงนี้เลยว่า ระบบกลไกการซื้อขายสินค้า
โภคภัณฑ์ของโลกเราในปัจจุบันนี้
ราคาตลาดโลกของสินค้าโภคภัณฑ์ที่สำคัญล้วนถูกกำหนดมาจากกระบวนการซื้อขายล่วงหน้า (Futures
Trading) ในตลาดล่วงหน้าแทบทั้งสิ้น (ตลาดล่วงหน้ามีหลายชื่อเรียก
เช่น Futures Market , Futures Exchange, Commodity Market, Commodity
Exchange หรือ อาจจะเป็น ชื่อเมือง ตามด้วย Board of Trade เช่น Chicago Board of Trade และ New York
Board of Trade เป็นต้น) สินค้า Commodity แต่ละชนิด
จะตลาดล่วงหน้าหลัก ๆ ใช้ในการกำหนดราคาอยู่ 1-3 ตลาด อาทิ ข้าวโพดและข้าวสาลี (Corn
and Wheat) ราคาถูกกำหนดมาจากตลาดล่วงหน้าที่ชิคาโก กาแฟ Arabica
ราคาถูกกำหนดจากตลาดที่ลอนดอน (ส่วน กาแฟ Robusta นั้นราคาถูกกำหนดจากตลาดที่นิวยอร์ค)
น้ำตาลทรายขาวราคาก็ถูกกำหนดจากตลาดที่ลอนดอนเช่นกัน
(ส่วนน้ำตาลดิบถูกกำหนดจากตลาดที่นิวยอร์ค)
น้ำมันปาล์มราคาถูกกำหนดจากการซื้อขายกันที่กัวลาลัมเปอร์ที่มาเลเซีย
ส่วนสินค้ายางพารานั้นราคาจะถูกกำหนดมาจากตลาดโตเกียวและตลาดที่เซียงไฮ้
(คาดว่าน่าจะเป็น AFET ในอนาคตอันใกล้นี้ครับ)
ก็อาจมีคำถามตามมานะครับว่า
ประเทศเราในฐานะทั้งผู้ผลิตและผู้ใช้สินค้าโภคภัณฑ์นั้น
มีสิทธิที่จะไม่ปรับราคาสินค้าในประเทศตามราคาที่ปรับตัวขึ้น ๆ ลงๆ
ในตลาดโลกหรือไม่ คำตอบก็คือ มีสิทธิทำได้ ด้วยกลไกแทรกแซงของภาครัฐ เช่น
โครงการรับจำนำสินค้าเกษตรประเภทต่าง ๆ
(แต่การแทรกแซงนั้นจะทำได้นานแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับเงินในกระเป๋าของรัฐบาล)
ตัวอย่างของกระบวนการการแทรกแซงราคาที่ชัดเจนที่สุด น่าจะเป็น การแทรกแซงราคาน้ำมันโดยรัฐบาลชุดที่แล้ว
ที่ไม่ยอมปล่อยให้ราคาน้ำมันในประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้นสอดคล้องกับราคาตลาดโลก
การฝืนกลไกตลาดดังกล่าว
ทำให้ผู้บริโภคไทยส่วนใหญ่ในเวลานั้นเสียนิสัยไม่ยอมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคของตน
ผลสุดท้ายหลังจากกองทุนน้ำมันสูญเงินไปเกือบแสนล้าน (เดือนกรกฎาคม 2548
กองทุนน้ำมันมีภาระหนี้อยู่ที่ 92,070 ล้านบาท)
รัฐบาลไม่มีทางเลือกอื่นอีกต้องยอมปล่อยให้น้ำมันลอยตัว (ลักษณะคล้ายกับช่วงปี
2540 ตอนที่ประเทศไทยปล่อยลอยตัวค่าเงินบาท)
ผู้บริโภคบางรายเพิ่งสำนึกคิดที่จะประหยัดหรือหันไปใช้พลังงานทางเลือก
เสียดายแต่เงินที่ใช้ในการแทรกแซงเกือบแสนล้าน เงินขนาดนี้เอาไปสร้างรถไฟฟ้าสายยาว
ๆ ได้สายหนึ่งเลย
การปรับตัวลดลงของราคาสินค้าโภคภัณฑ์บางประเภทเช่น
น้ำมัน หรือ ทองคำ อาจจะเป็นข่าวดีกับหลายท่านครับ แต่
การปรับตัวลดลงของราคาของสินค้าบางประเภท เช่น สินค้ายางพารา
นั้นถือเป็นข่าวร้ายของพี่น้องเกษตรชาวสวนยางบ้านเรา โดย
ราคายางได้ปรับตัวลดลงจากประมาณ 100 บาท/กก. มาอยู่ที่ระดับราคา 50-60 บาท/กก.
ในระยะเวลาเพียง 2-3 เดือนเท่านั้น (ดูไทยรัฐวันที่ 8 กันยายน 2549 "เกษตร
เต้น ราคายางตกสวรรค์ หล่นฮวบเหลือ 50 บาท เหตุเบี้ยวสัญญาล่วงหน้า") การขึ้น
หรือ ลงของราคาของราคายางพารา ที่มีการ Quote ราคาและสื่อต่าง
ๆ นำมารายงานนี้ ล้วนสะท้อนมาจากการขึ้นลงของราคาในตลาดสินค้าล่วงหน้า ทั้งสิ้น
แทบทุกครั้ง
หากมีความพยายามจะหาต้นเหตุของความผันผวนของราคาสินค้าประเภทใด
จำเลยสำคัญที่หนีไม่พ้นโดนยัดเยียดความผิดว่าเป็นเหตุให้ราคามีการขึ้น-ลงที่หวือหวา
คือ การเก็งกำไร (Speculation) และ นักเก็งกำไร (Speculator)
ทั้ง ๆ ที่ นักเก็งกำไร หรือ Speculator เป็นเพียง
ผู้ที่เข้ามาขอเสี่ยงในตลาดเพื่อทำกำไร
โดยอาศัยความสามารถของตนในการคาดคะเนการเคลื่อนไหวของราคาเท่านั้น
ไม่ผิดไปจากธรรมชาติของคนที่เกิดมา เราถูกกำหนดให้ดำเนินชีวิตภายใต้ความเสี่ยง และ
บังคับให้เราเก็งกำไรรายวันอยู่แล้ว (เช่น ก่อนออกจากบ้านก็ต้องมีความคิดว่าจะนำร่มออกไปด้วยดีไหม
เพราะอาจจะเกะกะในการขึ้นรถเมล์ แต่ถ้าไม่เอาไป
หากฝนตกจะทำอย่างไรต้องเดินลุยฝนจะเอาได้ไหม?) จึงค่อนข้างที่จะไม่เป็นธรรมต่อนักเก็งกำไร
และ เป็นการสร้างความเข้าใจและทัศนคติที่ผิด ๆ เกี่ยวกับการเก็งกำไรต่อสาธารณชน
อันที่จริงบุคคลที่สมควรโดนประณามและจับดำเนินคดี คือ
บุคคลที่ทำกำไรโดยการเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น เช่น การใช้ข้อมูลภายใน
การปล่อยข่าวลือ หรือ การกักตุนสินค้าแล้วปั่นราคา มากกว่า
การเก็งกำไร และ นักเก็งกำไร จริงๆ แล้ว
มีจำเป็นและเป็นปัจจัยที่สำคัญในการซื้อขายล่วงหน้า โดยจะทำให้กลไกการซื้อขายสามารถทำหน้าที่ของมันได้อย่างสมบูรณ์และมีประสิทธิภาพ
ซึ่งรายละเอียด จะขอนำมาเล่าต่อในตอนหน้าครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น