ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 10 เมษายน 2551
ในช่วงเวลาที่ผ่านมา
ราคาข้าวสารที่จำหน่ายภายในประเทศ และที่ส่งออกไปยังผู้ซื้อต่างประเทศ
ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทำให้มีข่าวสารข้อมูลจำนวนมากเกี่ยวกับ
"ข้าว" ถูกนำเสนอโดยสื่อมวลชนแขนงต่างๆ
ย้อนกลับมาดูตัวเลขเรื่องราคากันอีกครั้ง
ณ วันทำการแรกของปีนี้ (2 ม.ค.2551) ราคาข้าวขาว 5 % ขายส่ง ณ ตลาดกรุงเทพ ไม่รวมกระสอบ
รายงานโดยกรมการค้าภายใน (WWW.DIT.GO.TH) ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 11.33 บาท/กก. หรือ 11,330 บาท/ตัน เทียบกับปัจจุบัน (8 เม.ย.2551) ข้าวขาว 5%
มีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 26.03 บาท/กก. หรือ 26,030 บาท/ตัน เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 130 (130%) !!! เพียงระยะเวลา
3 เดือนเศษๆ เท่านั้น
ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 2 ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 19.85 บาท/กก. หรือ 19,850 บาท/ตัน ณ วันที่ 2 มกราคม 2550 เทียบกับปัจจุบัน (8 เม.ย.2551) อยู่ที่ 32.55
บาท/กก. หรือ 32,550 บาท/ตัน หรือ เพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ 64
ซึ่งคิดเป็นเปอร์เซ็นต์แล้วถือได้ว่าข้าวหอมปรับตัวเพิ่มขึ้นน้อยกว่าข้าวขาวอยู่พอสมควร
(64% ของข้าวหอม เทียบกับ 130%
ของข้าวขาว)
เมื่อมาพิจารณาถึงข้าวถุงชนิด 5 กก. ที่พวกเราส่วนใหญ่ซื้อรับประทานกัน ต้นทุน ณ
วันที่ 8 เมษายน 2551
ยังไม่รวมค่าบรรจุภัณฑ์ สำหรับข้าวขาว 5% อยู่ที่ประมาณ 130 บาท/ถุง และข้าวหอม 100% ชั้น 2 อยู่ที่ประมาณ 163 บาท/ถุง
หากท่านใดซื้อข้าวถุงได้ต่ำกว่าราคาที่ว่านี้
โปรดดีใจเถิดว่าท่านได้ข้าวที่ราคาต่ำกว่าต้นทุนปัจจุบันของผู้ผลิตข้าวถุง ณ
วันที่ 8 เมษายน 2551 เสียอีก
ราคาซื้อขายล่วงหน้าในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย
หรือ AFET (WWW.AFET.OR.TH) ณ วันที่ 8
เมษายน 2551 ราคาข้าวขาว 5%
เพื่อการส่งมอบเดือนพฤษภาคม (BWR5 MAY08) ปิดที่ราคา 31.40 บาท/กก. หรือ 31,400 บาท/ตัน
แสดงให้เห็นแนวโน้มราคาว่า ราคาข้าวขาว 5% ในเดือนพฤษภาคม ราคาน่าจะอยู่ที่เท่ากับ
31.40 บาท/กก. แพงกว่าราคา 26.03
บาท/กก. ของกรมการค้าภายในกว่า 5 บาท/กก.
ตามทฤษฎีแล้ว
การที่ราคาซื้อขายล่วงหน้า (Futures Price) จะถูกกว่า หรือ แพงกว่า ราคาที่ซื้อขายกันอยู่ในปัจจุบัน (Cash
Price) นั้น ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น สภาพภาวะ demand
และ supply ในช่วงเวลาที่ต่างกัน
ค่าความคาดหวังของผู้คนในตลาด ค่าต้นทุนการเก็บรักษาข้าว ฯลฯ
การปรับตัวเพิ่มขึ้นแรงๆ
ของราคาข้าวทั้งในตลาดจริง (cash market) และในตลาดล่วงหน้า (Futures Market) ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นี้
อาจจะยังไม่เป็นที่คุ้นเคยของผู้คนในประเทศเรา (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาด Futures
ซึ่งถือว่าเป็นของค่อนข้างใหม่สำหรับบ้านเรา)
ทำให้เกิดประเด็นข้อสงสัยขึ้น เช่น
มีการเก็งกำไรปั่นราคาข้าวกันอย่างผิดปกติหรือไม่ หรือข่าวคราวที่ว่ามีกองทุน Hedge
Fund เข้า trade ใน AFET มีข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร (ติดตามรายละเอียดในเฮดจ์ฟันด์แห่เก็งกำไรข้าว
"มิ่งขวัญ" ยึดแบบโอเปกกำหนดราคาข้าวเอง" ไทยรัฐ 4 เม.ย.2551)
ประเด็นดังกล่าว ดร.ชัยพัฒน์ สหัสกุล
เลขาธิการคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า (ก.ส.ล.)
ออกมายืนยันแล้วว่า ไม่พบมีกลุ่มเฮดจ์ฟันด์จากต่างประเทศเข้ามาซื้อขายใน AFET แต่อย่างใด อีกทั้งการปรับตัวสูงขึ้นของข้าวขาว 5% ใน AFET นั้น ถือได้ว่าเป็นไปตามกลไกตลาดแล้ว
(ข่าวกรมประชาสัมพันธ์ 4 เม.ย.2551)
เคยสังเกตกันไหมครับว่า
แทบทุกครั้งหากจะมีการถามหาต้นเหตุของการขึ้นๆ ลงๆ อย่างรุนแรงของราคาสินค้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชนิดใด
จำเลยสำคัญที่มักจะโดนโยนความผิดให้เสมอ คือ นักเก็งกำไร (speculator) ซึ่งก็แบ่งได้อีกหลายประเภทเช่น
นักเก็งกำไรรายย่อย/รายใหญ่ในประเทศ กองทุนในประเทศ และพวก Hedge Fund จากต่างประเทศ
พูดถึงคำว่า Hedge Fund หากแปลตรงตัว Hedge แปลว่า
การเข้าลดความเสี่ยง หรือการบริหารความเสี่ยง ดังนั้น Hedge Fund จึงแปลได้ว่า "กองทุนเพื่อการบริหารความเสี่ยง"
แต่จากพฤติกรรมของ Hedge Fund ในปัจจุบัน
มีแนวโน้มที่จะเก็งกำไรอยู่เป็นจำนวนมาก คำว่า Hedge Fund นี้
จึงถูกแปลว่าเป็นกองทุนเพื่อการเก็งกำไรไป ฉะนั้นอย่าสับสนคำว่า Hedge Fund
กับคำว่า Hedger นะครับ
การเก็งกำไรที่พอเหมาะพอควร
ก็ไม่ได้เป็นเรื่องเลวร้ายอะไร นักเก็งกำไรโดยทั่วไป
จะเข้ามาซื้อขายเพื่อทำกำไรโดยการคาดคะเนการเคลื่อนไหวของราคา (เช่น
เข้าซื้อเพื่อเห็นว่าราคาสินค้าน่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้น และเข้าขายหากเห็นว่าราคาสินค้าจะปรับตัวลดลง)
ซึ่งเป็นบทที่สำคัญมากต่อกระบวนการทำงานของตลาด
นักเก็งกำไรจะรับทำหน้าที่เสมือนเป็นน้ำมันหล่อลื่นให้ตลาด (ทำการซื้อมาขายไป
หรือขายมาแล้วก็ซื้อไป) ช่วยให้ตลาดมีสภาพที่ซื้อง่าย ขายคล่อง
หรือที่เรียกว่ามีสภาพคล่อง (liquidity) BID-ASK
Spread ไม่กว้างห่างกันจนเกินไป
สอดคล้องกันไปของคุณสมบัติสำคัญที่ตลาดพึงจะมี
นอกจากนี้ การเก็งกำไร และ/หรือ
นักเก็งกำไร ยังจะเป็นการช่วยเพิ่มข่าวสารให้กับตลาด กล่าวคือ
หากมีผู้สนใจเข้าซื้อขายสินค้าล่วงหน้ากันเยอะๆ ข่าวทั้งทางหนังสือพิมพ์ วิทยุ
และโทรทัศน์ จะหันมารายงานราคาข้อมูลการซื้อขายกันมากขึ้น
ทั้งในตลาดจริงและตลาดล่วงหน้า (เมื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าตน)
รวมทั้งจะมีการรายงานข้อมูลต่างๆ
ที่เกี่ยวข้องกับราคาซื้อขายกันมากขึ้น เช่น สภาพดินฟ้าอากาศ ต้นทุนการผลิต
นโยบายรัฐ อีกทั้งก็จะมีบทวิเคราะห์จากผู้เชี่ยวชาญต่างๆ
ออกมารายงานสู่สาธารณชนมากขึ้น (เปรียบจากก่อนหน้านี้
ราคาและข้อมูลข้าวสารเกี่ยวกับสินค้า จะถูกกำหนดจากผู้คนในวงการเพียงไม่กี่ราย)
ฉะนั้นการมีข่าวสารมากขึ้น
ผู้ซื้อ-ผู้ขายในตลาดก็จะสามารถตัดสินใจขายสินค้าของตนได้ถูกต้องมากขึ้น ตลาดเมื่อมีข่าวสารเข้ามามาก
ก็จะทำหน้าที่การค้นหาราคา (price
discovery) ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ส่งผลให้ระบบการซื้อขายสินค้าโดยรวมทั้งระบบมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม ตามวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งตลาดซื้อขายล่วงหน้า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น