ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 8 พฤศจิกายน 2550
ขณะที่เขียนบทความอยู่นี้ (วันที่ 6-7 พ.ย.50)
ผมเหลือบไปเห็นราคาน้ำมันที่หน้าจอคอมพิวเตอร์รายงานโดยเว็บไซต์ของสำนักข่าว Bloomberg
ราคาน้ำมันดิบใน Nymex เดือนใกล้ (Spot
Month) ซื้อขายกันเฉียด ๆ 97 เหรียญสหรัฐ ต่อ บาร์เรล
นับว่าสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่ราคาทองคำตลาด Spot ที่รายงานโดย
TheBullionDesk.com ก็ซื้อขายกัน 835-840 เหรียญสหรัฐ กว่า ๆ
ต่อ ออนซ์ สูงที่สุดในรอบ 27 ปี (ราคาปิดของทองคำที่สูงที่สุดอยู่ที่ 850
เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ ในปี พ.ศ.2523 ครับ)
ราคาของสินค้าทั้งสองเพิ่มขึ้นมาเป็นประวัติการณ์นี้ล้วนมาจากเหตุผลของการอ่อนตัวลงเรื่อย
ๆ ของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐซึ่ง ณ ขณะนี้ลงมาแตะที่ 1.457 เหรียญ ต่อ 1 ยูโร
เปรียบเทียบกับตอนที่เงินยูโรถูกนำออกมาใช้ใหม่ ๆ ตอนนั้นผมจำได้ว่าอัตราอยู่ที่
0.80 0.90 เหรียญสหรัฐ ต่อ 1 ยูโร เท่านั้น
แนวโน้มการอ่อนค่าลงเรื่อย ๆ
ของเงินเหรียญสหรัฐ ระบาดไปทั่วโลกกระทั่งวงการนางแบบครับ เพราะว่าล่าสุด
ตามรายงานข่าวของ CNBC ระบุว่า ซุปเปอร์โมเดล Gisele
Bundchen (หนึ่งในนางแบบ Victoria Secret ครับถ้ายังจำกันได้)
ร้องขอให้ P&G หรือ Procter & Gamble บริษัทสัญชาติอเมริกัน จ่ายค่าตัวเธอในงานโฆษณายาสระผมยี่ห้อ
"แพนทีน" เป็นเงินสกุลยูโร เนื่องจากเธอไม่เชื่อมั่นในเงินเหรียญสหรัฐ
ในทำนองเดียวกันกับกรณีของ Warran Buffet โคตรเซียนหุ้นที่ทุกคนรู้จักกันดี
(รวยเป็นอันดับ 3 ของโลก) ตามรายงานระบุว่า เมื่อมีนักข่าวถาม Buffet (ขณะนั่งเครื่องบินไปเมืองจีน) ว่า
"เงินสกุลใดในโลกตอนนี้น่าถือครองที่สุด Buffet ตอบกับมาพร้อมเสียงหัวเราะว่า
ไม่ใช่สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ"
สำหรับในประเทศไทยเอง
ในช่วงสัปดาห์ที่แล้วมีท่านผู้บริหารของบริษัทหลักทรัพย์ในไทยท่านหนึ่งก็ได้ให้ความเห็นว่าค่าเงินดอลลาร์มีสิทธิกลับมาแตะที่ระดับ
25 บาท อีกครั้งในช่วงเวลา 3-4 ปีข้างหน้า
พร้อมทั้งยังแนะนำภาครัฐให้ตรียมพร้อมรับมือกันให้ดี
แนวโน้มอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์นี้ทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่าง
ๆ ที่ซื้อขายกันเป็นเงินดอลล่าร์ ได้แก่ สินค้าพลังงาน โลหะมีค่า โลหะอุตสาหกรรม
หรือ สินค้าเกษตร ปรับตัวเพิ่มขึ้นกันยกแผงเลยครับ
ทำให้เกิดความสนใจในหมู่นักลงทุนไทยที่จะหันเข้ามาลงทุนในสินทรัพย์กลุ่มที่เป็นสินค้าโภคภัณฑ์กันมากขึ้น
(โดยเห็นได้จากการที่ บลจ.หลายบริษัทเริ่มหันมาเปิดกองทุน Exposure
ในส่วนของสินค้าโภคภัณฑ์กันบ้างแล้ว) ยังไม่นับรวมถึงปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นมาอย่างค่อนข้างมีนัย
สำหรับ Rubber Futures ในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย
(AFET)
แต่เนื่องมาจากนักลงทุนบ้านเราส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนในตลาดหุ้น
ซึ่งทุกท่านจะคุ้นเคยกับดัชนีหุ้นต่างประเทศที่สามารถส่งผลกระทบต่อดัชนี SET
ของไทยได้ ตัวหลัก ๆ เช่น ดัชนีดาวโจนส์ นิเคอิ ฮั่งเส็ง
หรือจะเป็นดัชนี Strait Times ของสิงคโปร์
ก็เลยมีนักลงทุนผู้สนใจเข้าลงทุนในตลาด Commodity
หลายท่านตั้งคำถามว่า มีรูปแบบของ Commodity Index ซึ่งเป็นสากลที่นักลงทุนสามารถนำมาอ้างอิงไหม แล้วใน AFET เอง มีการจัดทำ AFET Index หรือไม่
ขอตอบคำถามที่สองก่อนนะครับว่า ใน AFET
ยังไม่มีการจัดทำดัชนีราคาในรูปแบบของ Commodity Index เนื่องมาจาก AFET มีสินค้าซื้อขายกันเพียง 4 ชนิด
และราคาของสินค้าแต่ละชนิดก็สามารถนำไปอ้างอิงโดยตรง
สำหรับดัชนีราคาสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity
Index) ที่เป็นสากลนั้นมีอยู่ครับ โดย Commodity Index ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่นิยมใช้อิงราคากันสำหรับสินค้าโภคภัณฑ์ ได้แก่ Dow
Jones AIG Commodities Index (DJAIG), S&P Goldman Sachs Commodities Index
(S&P GSCI), Deutsche Bank Liquid Commodity Index (DBLCI)) และที่ดังที่สุดตอนนี้เห็นจะเป็น
Rogers International Commodities Index (RICI) ที่สร้างโดย Jim
Rogers
ความแตกต่างกันระหว่างดัชนีแต่ละประเภทก็ขึ้นอยู่กับชนิดของสินค้าที่ถูกนำมารวมอยู่ในดัชนี
รวมถึงน้ำหนัก (Weight) ของสินค้านั้นที่มีผลต่อดัชนีดังกล่าวด้วย
เช่น ใน Reuters/Jefferies CRB Index จะประกอบด้วยสินค้า 17
ประเภท โดยแต่ละประเภทมีผลต่อดัชนีเท่า ๆ กัน (equally weighted ชนิดสินค้าละ 5.875%) ในขณะที่ใน RICI ของ Rogers
ประกอบด้วยสินค้า 35 ประเภท
แต่ให้น้ำหนักสำหรับสินค้าน้ำมันดิบมากที่สุดถึง 35% ในขณะที่ให้น้ำหนักในสินค้นเกษตรเช่น
กาแฟ และ น้ำตาล เพียง 2% เท่านั้น
นักลงทุนในต่างประเทศสามารถลงทุนในดัชนีสินค้าโภคภัณฑ์เหล่านี้
ด้วยการซื้อ กองทุนรวมที่เรียกว่า Index Fund ที่สร้างขึ้นเพื่อให้ได้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนีดังกล่าวเหล่านี้ที่สุด
หรือจะเลือกซื้อเป็นรูปแบบของ Exchange Traded Fund (ETFs) รูปแบบคล้าย
ๆ กับ TDEX ของบ้านเราแต่เป็นรูปแบบ ETF ที่อิงกับราคาของ Commodity Index (หรือมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า
Exchange Traded Commodities i.e., ETCs) ซึ่งเริ่มที่จะเป็นที่นิยมกันมากของนักลงทุนทั่วโลก
เพราะว่าค่าธรรมเนียมจะถูกกว่าและมีสภาพคล่องที่สูงกว่ากองทุนรวม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น