ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 9 กันยายน 2551
หากนับเอาตั้งแต่วันที่ 8 กันยายน 2551
ซึ่งเป็นวันที่รัฐบาลของสหรัฐอเมริกา
ประกาศเข้าครอบครองกิจการกึ่งรัฐบาลที่ชื่อว่า Fannie Mae and Freddie Mac ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการประทุขึ้นของวิกฤตการณ์การเงินที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ขณะนี้
จะมีใครเชื่อครับว่า เพียงระยะเวลาสั้น ๆ เพียงแค่ 1 เดือน ราคาหุ้น และ/หรือ
สินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) ต่างปรับตัวดิ่งลงกันอย่างหนักขนาดนี้
อาทิ ระหว่าง 8 ก.ย. 51 จนถึง 7 ต.ค. 51 ดัชนี SET Index ได้ปรับตัวลดลง
25 % ดัชนีดาวโจนส์ (หุ้นใหญ่ 30 ตัว) ในสหรัฐฯ 18 % ดัชนี S&P500 ในสหรัฐฯ (หุ้นใหญ่ 500 ตัว) ปรับตัวลดลงถึง 21.5 % น้ำมันดิบ (ตลาด NYMEX)
ก็ปรับตัวลงลงถึง 17 % มาอยู่ระดับ 87 ดอลล่าร์ต่อบาร์เรล
ยกเว้นทองคำที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมา 9.8%
สินค้าเกษตรในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (หรือ AFET) ก็ปรับตัวดิ่งลงเช่นกัน โดยยางพารา (RSS3
Futures) ได้ปรับตัวลดลงจากราคา 98.4 บาท เหลือเพียง 73.95
บาทต่อกก. (ลดลง 25 %) ขณะที่ข้าวขาว 5 เปอร์เซ็นต์ (BWR5
Futures) ก็ปรับตัวลดลง 22.25 บาท เหลือเพียง 19.0 บาทต่อกก. (ลดลง
15 %)
สาเหตุของการปรับตัวลดลงของราคาสินทรัพย์ทั้งหลาย
น่าจะมีสาเหตุมาจากสภาพคล่องที่หดหายไปจากระบบการเงินทั่วโลก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่ผ่านมา สถาบันการเงินไม่สามารถ และ/หรือ ไม่ยินดี
ที่จะกู้ยืมเงินระหว่างกัน ทำให้เงินไม่หมุนไปหล่อเลี้ยงระบบอย่างที่ควรจะเป็น
ธนาคารกลางของหลาย ๆ ประเทศ ก็ได้พยายามแก้ปัญหาเฉพาะหน้าดังกล่าว
ด้วยการอัดฉีดสภาพคล่องให้กับระบบสถาบันการเงินทั่วโลกเป็นจำนวนมาก
ว่ากันว่า การที่เงินไม่หมุนไปอย่างที่ควรจะเป็น ผนวกกับ
ความไม่แน่นอนของระบบการเงินโลกในสภาวะการณ์เช่นนี้
ทำให้นักลงทุนที่ถือครองสินทรัพย์จำพวกสินค้าโภคภัณฑ์อยู่ต่างเทขายสินทรัพย์ที่ตนมีอยู่แล้วหันมาถือเงินสด
หรือ พันธบัตรของรัฐบาลสหรัฐฯ
ส่งผลให้สินทรัพย์ส่วนใหญ่ที่ได้กล่าวมาข้างต้นต่างมีราคาที่ปรับตัวลดลงกันถ้วนหน้า
ในช่วงนี้ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญครับว่า
โลกของเราจะเดินหน้าไปอย่างไรภายในภาวะเช่นนี้ แผนการซื้อหนี้เน่าฉุกเฉิน 7
แสนล้านดอลล่าร์ หรือ Emergency Economic Stabilization Act ก็ได้ผ่านสภาคองเกรสของสหรัฐฯ
แล้วก็มีผลบังคับใช้มาตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว ผนวกกับ
นวัตกรรมการอัดฉีดสภาพคล่องใหม่ ๆ ของประธาน FED Ben Bernanke ที่คอยเสริมสร้างสภาพคล่องให้แก่ระบบ
จะสามารถหยุดยั้งวิกฤตการ์ณครั้งนี้ได้หรือไม่ อีกไม่นานคงจะได้รู้กันครับ
อย่างไรก็ตาม ภายใต้ภาวะแบบนี้
ก็มีค่าดัชนีจำพวกหนึ่งที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่องตรงกันข้ามไปกับราคาของสินทรัพย์ส่วนใหญ่
ได้แก่ ดัชนีแสดงค่าความผันผวน (Volatility) ของราคา
ซึ่งเป็นค่าที่แสดงความผันผวนของราคาสินทรัพย์
ซึ่งอาจจะเป็นสินทรัพย์ประเภทจับต้องไม่ได้ เช่น หุ้น หรือ ดัชนีหุ้น (อาทิ Dow
Jones หรือ S&P500) หรือ
จะเป็นสินทรัพย์ที่จับต้องได้เช่น น้ำมัน ทองคำ สินค้าเกษตร ค่า Volatility
ของราคาส่วนใหญ่ล้วนแต่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นแทบทั้งสิ้น
พวกเราอาจสัมผัสถึงการเพิ่มขึ้นของความผันผวนได้ในชีวิตประจำวันครับ
จากการรายงานราคาสินค้าของสำนักข่าวต่าง ๆ ที่มีการรายงานว่า
ราคาสินค้าต่างเคลื่อนไหวขึ้น-ลงกันรุนแรงอย่างที่แทบไม่เคยมีมาก่อน เช่น
การปรับตัววันละเกือบ 100 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ของราคาทองคำในตลาดโลก
การปรับตัววันละเป็น 10 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลของราคาน้ำมัน การปรับตัววันละกว่า
700 จุดของดัชนีหุ้น Dow Jones
(การที่ราคาสินค้ามีความผันผวนที่สูงแสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงที่สูงขึ้นของการถือครองสินทรัพย์เสี่ยงชนิดนั้น
ๆ ซึ่งหากสินค้านั้นมีการนำมาซื้อขายล่วงหน้า เช่น ใน AFET เงินประกัน หรือ เงิน Margin ในสินค้าที่มีความผันผวนของราคาสูง
ย่อมมีการเรียกเก็บมากกว่า เงิน Margin สำหรับสินค้าที่ราคามีความผันผวนต่ำ)
ค่าความผันผวนทั้งหมดนี้สามารถวัดได้เป็น ตัวเลขหรือดัชนีค่าความผันผวน
หรือ Volatility
Index โดยค่าตัวเลขค่าดัชนีที่สูงแสดงถึงความผันผวนที่สูง
ในทางตรงข้าม ตัวเลขดัชนีที่ต่ำก็แสดงถึงความผันผวนที่ต่ำ
ซึ่งในปัจจุบันก็มีดัชนีวัดค่าความผันผวนที่ปัจจุบันที่เป็นที่นิยมใช้อ้างอิงกัน
ได้แก่ ค่า CBOE Volatility Index (VIX) หรือ ดัชนีค่าความผันผวนของดัชนีหุ้น
S&P 500 โดยสามารถคำนวณมาจากการซื้อขาย S&P 500 Index Options ในตลาด Chicago Board
Options Exchange (CBOE) ที่เมืองชิกาโก้ สหรัฐอเมริกา
ค่า VIX นี้สามารถบ่งบอกถึงค่าคาดการณ์ของผู้คนในตลาดสำหรับค่าความผันผวนของดัชนีหุ้น
S&P 500 ในช่วงเวลา 30 วันข้างหน้า
(ตัวเลขยิ่งสูงแสดงถึง ความผันผวนที่สูงหรือความเสี่ยงยิ่งสูง)
จากการสังเกตุตัวเลขดัชนี VIX พบว่าในวันที่ 8 ก.ย. 2551
ดัชนี VIX อยู่ที่เพียงที่ระดับ 22.64 แต่มาในวันที่ 7 ต.ค.
2551 ดัชนี VIX ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอย่างรุนแรงมาอยู่ที่ระดับ
53.68 หรือ ปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 137%
ซึ่งก็สามารถตีได้ว่าค่าคาดการณ์ของค่าความผันผวนของดัชนีหุ้น S&P 500 นี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 137 % จากช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา
ในทำนองเดียวกันกับดัชนีหุ้น
ค่าดัชนีวัดความผันผวนของสินค้าโภคภัณฑ์อย่าง ทองคำ
มีค่าดัชนีแสดงความผันผวนเช่นเดียวกัน ก็คือ CBOE Gold Volatility Index (Gold VIX) ซึ่งค่า Gold VIX ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 30.90
ในวันที่ 8 ก.ย. 2551 มาอยู่ที่ 51.51 ในวันที่ 7 ต.ค. 2551
แสดงให้เห็นถึงค่าคาดการณ์ของค่าความผันผวนของทองคำที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 66 %
โดยปกติแล้ว ดัชนี VIX มีความสัมพันธ์ในทิศทางตรงกันข้ามกับ
ราคาดัชนีหุ้น S&P 500 ทำให้นักลงทุนสามารถบริหารความเสี่ยงจากการตกต่ำของราคาหุ้น
ด้วยการเข้ามา LONG ค่าดัชนี VIX (หากดัชนีหุ้น
S&P 500 มีราคาลดลง ค่าดัชนี VIX มีแนวโน้มที่จะปรับค่าขึ้น)
แต่ก็มีปัญหาก็คือ ดัชนี VIX เป็นเพียงแค่ค่าดัชนี
ไม่สามารถที่จะซื้อขายเปลี่ยนมือกัน หรือ ถือครองได้
ด้วยเหตุดังกล่าว เพื่อเป็นการตอบสนองนักลงทุน หรือ
ผู้ประกอบการผู้ที่ต้องการบริหารความเสี่ยงด้านความผันผวนของราคาของดัชนี S&P 500 ตลาดซื้อขายล่วงหน้า CBOE Futures Exchange จึงเปิดให้มีการซื้อขายล่วงหน้าดัชนี
VIX หรือ CBOE Volatility Index (VIX) Futures มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2004 และ CBOE Volatility Index (VIX) Options ในปี ค.ศ. 2006 (คล้ายกับ SET50 Index
Futures และ SET50 Index Options ใน TFEX ของบ้านเราครับ)
โดยมีปริมาณการซื้อขายที่มากพอสมควรสำหรับ VIX Futures ก็อยู่ที่โดยเฉลี่ยประมาณ
4,600 สัญญา ต่อวัน
จะเห็นได้ว่า ถึงแม้ว่าราคาสินทรัพย์เสี่ยงส่วนใหญ่ปรับตัวลดลงจากวิกฤตการเงินโลก
แต่หากผู้ใดได้ซื้อล่วงหน้า VIX Futures หรือ Long VIX
Futures เอาไว้ ก็คงได้กำไรไปประมาณ 137 %
(สูงกว่านี้อีกหลายเท่าหากเทียบกับเฉพาะเงิน Margin ที่ต้องวางไว้)
แสดงให้เห็นความเป็นจริงของวลีที่ว่า "ในทุกวิกฤตย่อมมีโอกาสอยู่เสมอ"
ขึ้นอยู่กับใครว่าจะหาโอกาสที่ว่าเจอหรือไม่เท่านั้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น