ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 1 มีนาคม 2550
เมื่อช่วงต้นกุมภาพันธ์ มีข่าว ๆ
หนึ่งที่น่าสนใจเกี่ยวข้องกับ
พลังงานทดแทนที่นับวันจะทวีความสำคัญมากในชีวิตประจำวันของเราทุกคน คือ
การที่คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
(ท่านปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) เป็นประธาน พิจารณากำหนดสูตรคำนวณราคาเอทานอล (Ethanol)
และ การกำหนดราคาไบโอดีเซล (Biodiesel B100)
เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2550
การกำหนดสูตรดังกล่าวโดยเฉพาะราคาเอทานอลเพื่อใช้เป็นเกณฑ์คำนวณอัตราเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันของน้ำมันแก๊สโซฮอลล์
(แก็สโซฮอลล์มีเอทานอลผสมอยู่ 10 % ครับ เป็นเบนซิน 9 ส่วน เป็นเอทานอล 1
ส่วนนั่นเอง) และ เพื่อใช้เป็นราคาอ้างอิงของเอทานอลที่ผลิตและจำหน่ายในประเทศ
โดยจะใช้ ราคาเอทานอล FOB ของ ตลาด Brazilian
Commodity Exchange บวกกับค่าขนส่งทั้งหมดจาก Sao Paulo บราซิล มายังประเทศไทย บวกค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง นำเอามาหาค่าเฉลี่ยสำหรับไตรมาสก่อน
เพื่อนำมาใช้เป็นราคาเอทานอลในไตรมาสต่อไป
(ผู้ที่สนใจสามารถดูสูตรการคำนวณโดยละเอียดได้ในเว็บไซต์ของกระทรวงพลังงานครับ)
ก่อนหน้าที่จะมีการประกาศใช้สูตรการคำนวณดังกล่าว
ราคาของเอทานอลในประเทศไทยเราเป็นราคาที่เกิดจากการตกลงราคาตามความพึงพอใจระหว่าง
ผู้ซื้อ และ ผู้ผลิต ซึ่งที่ผ่านมาผู้ผลิตเอทานอล
อาจใช้ราคาเอทานอลที่ซื้อขายกันที่ Chicago Board of Trade หรือที่ Chicago Mercantile Exchange มาเป็นราคาอ้างอิงในการเจรจาต่อรองกัน
ซึ่งตามความเป็นจริงแล้ว การใช้ราคาอ้างอิงดังกล่าวอาจไม่เหมาะ
เนื่องจากเอทานอลที่ผลิตในประเทศสหรัฐอเมริกานั้น
ส่วนใหญ่จะผลิตจากข้าวโพดที่มีต้นทุนสูง
ผิดกับเอทานอลที่ผลิตในประเทศเราที่ส่วนใหญ่จะผลิตมาจากมันสำปะหลัง อ้อย และ
กากน้ำตาล การที่ กบง. ได้นำราคาเอทานอลในตลาดบราซิลมาใช้เป็นราคาอ้างอิงนั้น
ถือได้ว่าเหมาะสม เพราะว่าเห็นได้ชัดครับว่า หลังจากการบังคับใช้เกณฑ์ข้างต้น
ราคาซื้อขายเอทานอลในประเทศในไตรมาส 1 ของปี 2550 ลดลงจาก 25.30 บาท/ลิตร
เหลือเพียง 19.33 บาท/ลิตร เท่านั้น
การที่เอทานอลมีราคาถูกลง
ก็จะทำให้ราคาของแก๊สโซฮอลล์ถูกลงตามไปด้วย หากใครสังเกตนะครับ ปัจจุบัน
ส่วนต่างราคา (Basis) ระหว่าง แก๊สโซฮอลล์ 95 กับ เบนซิน
95 อยู่ที่ 1.80 บาท/ลิตร (แก๊สโซฮอลล์ 95 ถูกกว่า 1.80 บาท/ลิตร ถูกลงทันที 30
สตางค์/ลิตรตั้งแต่เริ่มใช้สูตรใหม่)
เปรียบเทียบจากส่วนต่างของเดือนที่แล้วที่เท่ากับ 1.50 บาท/ลิตร
ซึ่งนอกจากได้ราคาเอทานอลที่เหมาะสมยิ่งขึ้นแล้ว
การปรับสูตรในครั้งนี้ยังเป็นการใช้กลไกราคาเพื่อเพิ่มแรงจูงใจให้ผู้คนหันมาใช้แก๊สโซฮอลล์กันมากขึ้นตามนโยบายของรัฐบาลอีกทางหนึ่งด้วย
จากตัวอย่างการกำหนดราคาเอทานอลของกระทรวงพลังงานในครั้งนี้
จะเห็นได้ชัดเจนนะครับว่า การเลือกราคาอ้างอิงที่จะนำมาเป็นสูตรในการคำนวณราคาใด ๆ
นั้น มีความสำคัญมาก เพราะว่า ถ้าหน่วยงานภาครัฐเลือกราคาอ้างอิงผิด
ประชาชนอย่างพวกเราอาจต้องรับกรรมกับราคาสินค้าที่มีราคาสูง
ฉะนั้นการเลือกใช้ราคาอ้างอิงจากแหล่งอ้างอิงใด
ผู้เลือกควรจะพิจารณาไตร่ตรองให้รอบคอบก่อนตัดสินเลือกว่าจะใช้ราคาใดครับ
สำหรับราคาอ้างอิงที่ กบง. ใช้สำหรับ
เอทานอลนี้ ถือว่าใช้ได้ครับ เพราะว่าจากสูตรระบุให้ใช้ราคา เอทานอล FOB
ของ Brazilian Commodity Exchange ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ
Brazilian Mercantile & Futures Exchange (BM&F) ตลาดสินค้าล่วงหน้าที่ใหญ่เป็นอันดับ
11 ของโลกในแง่ของปริมาณการซื้อขาย โดยในปีที่แล้ว ระหว่างเดือน มกราคม ถึง ตุลาคม
2549 มีปริมาณการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (รวมทั้ง Futures และ Options) ถึง 231.01 ล้านสัญญา (ล้านสัญญากว่า ๆ
ต่อวัน !!!) เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 46 %
สินค้าที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุดของ BM&F เป็นสินค้าประเภทอัตราดอกเบี้ยครับ
ซึ่งได้แก่ One Day Interbank Deposit Futures ซึ่งมีปริมาณการซื้อขายเท่ากับ
132.25 ล้านสัญญา (เกือบ 7 แสน สัญญาต่อวัน !!!)
ส่วนสูตรการกำหนดราคาไบโอดีเซล B100 ที่ กบง. ได้พิจารณากำหนดให้ราคาขายไบโอดีเซล B100
ในกรุงเทพมหานคร ใช้สูตรซึ่งประกอบด้วย ราคาขายส่งน้ำมันปาล์มดิบ
ตามที่กรมการค้าภายใน (DIT) ประกาศ และ ราคาขายเมทานอล จากผู้ค้าภายในประเทศ
3 ราย (สูตรที่ว่าคือ 0.97 x ราคาน้ำมันปาล์มดิบ + 0.15x
ราคาเมทานอล + 3.32) โดยให้หาราคาเฉลี่ยของสัปดาห์ที่แล้ว
เพื่อใช้กำหนดราคาในสัปดาห์หน้า ซึ่งก็ถือว่าเป็นราคาที่น่าเชื่อถือพอสมควร
ซึ่งผลในการกำหนดสูตรดังกล่าวทำให้ราคาไบโอดีเซล
B100 มีราคาเพิ่มขึ้น 2.94 บาท/ลิตร เป็น 24.54 /ลิตร
สอดคล้องกับต้นทุนผลิตโรงงานไบโอดีเซล ช่วยให้มีน้ำมัน B100
เพียงพอสำหรับนำมาผสมกับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเป็นน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 ต่อไป (ดูรายละเอียดใน www.energy.go.th ครับ)
อีกทั้งเป็นการสนับสนุนทางอ้อมให้เกษตรกรหันมาปลูกปาล์มน้ำมันเพื่อป้อนโรงงานผลิตไบโอดีเซลกันมากขึ้น
เนื่องจากปัจจุบันเป็นที่ทราบกันดีว่าปริมาณวัตถุดิบปาล์มน้ำมันยังไม่เพียงพอต่อความต้องการภายในประเทศ
อีกทั้งน้ำมันปาล์มก็เป็นสินค้าที่มีศักยภาพในการนำเข้ามาซื้อขายในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า
(AFET) เพื่อเป็นทางเลือกให้ผู้ประกอบการปาล์มน้ำมัน หรือ
ไบโอดีเซล สามารถใช้ AFET ในการบริหารความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น