วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

พลังงานทดแทน และ ราคาอ้างอิง

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 1 มีนาคม 2550

เมื่อช่วงต้นกุมภาพันธ์ มีข่าว ๆ หนึ่งที่น่าสนใจเกี่ยวข้องกับ พลังงานทดแทนที่นับวันจะทวีความสำคัญมากในชีวิตประจำวันของเราทุกคน คือ การที่คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (ท่านปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) เป็นประธาน พิจารณากำหนดสูตรคำนวณราคาเอทานอล (Ethanol) และ การกำหนดราคาไบโอดีเซล (Biodiesel B100) เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2550

การกำหนดสูตรดังกล่าวโดยเฉพาะราคาเอทานอลเพื่อใช้เป็นเกณฑ์คำนวณอัตราเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันของน้ำมันแก๊สโซฮอลล์ (แก็สโซฮอลล์มีเอทานอลผสมอยู่ 10 % ครับ เป็นเบนซิน 9 ส่วน เป็นเอทานอล 1 ส่วนนั่นเอง) และ เพื่อใช้เป็นราคาอ้างอิงของเอทานอลที่ผลิตและจำหน่ายในประเทศ โดยจะใช้ ราคาเอทานอล FOB ของ ตลาด Brazilian Commodity Exchange บวกกับค่าขนส่งทั้งหมดจาก Sao Paulo บราซิล มายังประเทศไทย บวกค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง นำเอามาหาค่าเฉลี่ยสำหรับไตรมาสก่อน เพื่อนำมาใช้เป็นราคาเอทานอลในไตรมาสต่อไป (ผู้ที่สนใจสามารถดูสูตรการคำนวณโดยละเอียดได้ในเว็บไซต์ของกระทรวงพลังงานครับ)

ก่อนหน้าที่จะมีการประกาศใช้สูตรการคำนวณดังกล่าว ราคาของเอทานอลในประเทศไทยเราเป็นราคาที่เกิดจากการตกลงราคาตามความพึงพอใจระหว่าง ผู้ซื้อ และ ผู้ผลิต ซึ่งที่ผ่านมาผู้ผลิตเอทานอล อาจใช้ราคาเอทานอลที่ซื้อขายกันที่ Chicago Board of Trade หรือที่ Chicago Mercantile Exchange มาเป็นราคาอ้างอิงในการเจรจาต่อรองกัน ซึ่งตามความเป็นจริงแล้ว การใช้ราคาอ้างอิงดังกล่าวอาจไม่เหมาะ เนื่องจากเอทานอลที่ผลิตในประเทศสหรัฐอเมริกานั้น ส่วนใหญ่จะผลิตจากข้าวโพดที่มีต้นทุนสูง ผิดกับเอทานอลที่ผลิตในประเทศเราที่ส่วนใหญ่จะผลิตมาจากมันสำปะหลัง อ้อย และ กากน้ำตาล การที่ กบง. ได้นำราคาเอทานอลในตลาดบราซิลมาใช้เป็นราคาอ้างอิงนั้น ถือได้ว่าเหมาะสม เพราะว่าเห็นได้ชัดครับว่า หลังจากการบังคับใช้เกณฑ์ข้างต้น ราคาซื้อขายเอทานอลในประเทศในไตรมาส 1 ของปี 2550 ลดลงจาก 25.30 บาท/ลิตร เหลือเพียง 19.33 บาท/ลิตร เท่านั้น

การที่เอทานอลมีราคาถูกลง ก็จะทำให้ราคาของแก๊สโซฮอลล์ถูกลงตามไปด้วย หากใครสังเกตนะครับ ปัจจุบัน ส่วนต่างราคา (Basis) ระหว่าง แก๊สโซฮอลล์ 95 กับ เบนซิน 95 อยู่ที่ 1.80 บาท/ลิตร (แก๊สโซฮอลล์ 95 ถูกกว่า 1.80 บาท/ลิตร ถูกลงทันที 30 สตางค์/ลิตรตั้งแต่เริ่มใช้สูตรใหม่) เปรียบเทียบจากส่วนต่างของเดือนที่แล้วที่เท่ากับ 1.50 บาท/ลิตร ซึ่งนอกจากได้ราคาเอทานอลที่เหมาะสมยิ่งขึ้นแล้ว การปรับสูตรในครั้งนี้ยังเป็นการใช้กลไกราคาเพื่อเพิ่มแรงจูงใจให้ผู้คนหันมาใช้แก๊สโซฮอลล์กันมากขึ้นตามนโยบายของรัฐบาลอีกทางหนึ่งด้วย

จากตัวอย่างการกำหนดราคาเอทานอลของกระทรวงพลังงานในครั้งนี้ จะเห็นได้ชัดเจนนะครับว่า การเลือกราคาอ้างอิงที่จะนำมาเป็นสูตรในการคำนวณราคาใด ๆ นั้น มีความสำคัญมาก เพราะว่า ถ้าหน่วยงานภาครัฐเลือกราคาอ้างอิงผิด ประชาชนอย่างพวกเราอาจต้องรับกรรมกับราคาสินค้าที่มีราคาสูง ฉะนั้นการเลือกใช้ราคาอ้างอิงจากแหล่งอ้างอิงใด ผู้เลือกควรจะพิจารณาไตร่ตรองให้รอบคอบก่อนตัดสินเลือกว่าจะใช้ราคาใดครับ

สำหรับราคาอ้างอิงที่ กบง. ใช้สำหรับ เอทานอลนี้ ถือว่าใช้ได้ครับ เพราะว่าจากสูตรระบุให้ใช้ราคา เอทานอล FOB ของ Brazilian Commodity Exchange ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ Brazilian Mercantile & Futures Exchange (BM&F) ตลาดสินค้าล่วงหน้าที่ใหญ่เป็นอันดับ 11 ของโลกในแง่ของปริมาณการซื้อขาย โดยในปีที่แล้ว ระหว่างเดือน มกราคม ถึง ตุลาคม 2549 มีปริมาณการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (รวมทั้ง Futures และ Options) ถึง 231.01 ล้านสัญญา (ล้านสัญญากว่า ๆ ต่อวัน !!!) เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 46 % สินค้าที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุดของ BM&F เป็นสินค้าประเภทอัตราดอกเบี้ยครับ ซึ่งได้แก่ One Day Interbank Deposit Futures ซึ่งมีปริมาณการซื้อขายเท่ากับ 132.25 ล้านสัญญา (เกือบ 7 แสน สัญญาต่อวัน !!!)

ส่วนสูตรการกำหนดราคาไบโอดีเซล B100 ที่ กบง. ได้พิจารณากำหนดให้ราคาขายไบโอดีเซล B100 ในกรุงเทพมหานคร ใช้สูตรซึ่งประกอบด้วย ราคาขายส่งน้ำมันปาล์มดิบ ตามที่กรมการค้าภายใน (DIT) ประกาศ และ ราคาขายเมทานอล จากผู้ค้าภายในประเทศ 3 ราย (สูตรที่ว่าคือ 0.97 x ราคาน้ำมันปาล์มดิบ + 0.15x ราคาเมทานอล + 3.32) โดยให้หาราคาเฉลี่ยของสัปดาห์ที่แล้ว เพื่อใช้กำหนดราคาในสัปดาห์หน้า ซึ่งก็ถือว่าเป็นราคาที่น่าเชื่อถือพอสมควร

ซึ่งผลในการกำหนดสูตรดังกล่าวทำให้ราคาไบโอดีเซล B100 มีราคาเพิ่มขึ้น 2.94 บาท/ลิตร เป็น 24.54 /ลิตร สอดคล้องกับต้นทุนผลิตโรงงานไบโอดีเซล ช่วยให้มีน้ำมัน B100 เพียงพอสำหรับนำมาผสมกับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเป็นน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 ต่อไป (ดูรายละเอียดใน www.energy.go.th ครับ) อีกทั้งเป็นการสนับสนุนทางอ้อมให้เกษตรกรหันมาปลูกปาล์มน้ำมันเพื่อป้อนโรงงานผลิตไบโอดีเซลกันมากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันเป็นที่ทราบกันดีว่าปริมาณวัตถุดิบปาล์มน้ำมันยังไม่เพียงพอต่อความต้องการภายในประเทศ อีกทั้งน้ำมันปาล์มก็เป็นสินค้าที่มีศักยภาพในการนำเข้ามาซื้อขายในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า (AFET) เพื่อเป็นทางเลือกให้ผู้ประกอบการปาล์มน้ำมัน หรือ ไบโอดีเซล สามารถใช้ AFET ในการบริหารความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น