ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 23 ตุลาคม 2551
เมื่อย้อนกลับไปดูดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) สูงสุดของปี 2551 ณ วันที่ 21 พฤษภาคม 2551 ที่ระดับ 884.19 จุด
แล้วนำมาเปรียบเทียบกับ SET Index ณ เวลานี้
(ปิดตอนเที่ยงของวันที่ 22 ตุลาคม 2551) ที่ระดับ 469.46 พบว่ามีการปรับตัวลดลงถึง
47%
และเมื่อพิจารณาราคาสินค้าในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย
หรือ AFET ก็พบว่า ยางแผ่นรมควันชั้น 3 (RSS3)
ที่ซื้อขายกันมีราคาปิดที่ระดับสูงสุดของปีนี้ที่ 107.80 บาท/กก. ณ วันที่ 27
มิถุนายน 51 ดิ่งลงมาอยู่ที่ระดับ 61.60 บาท/กก.(เที่ยงของวันที่ 22 ตุลาคม 51)
คิดเป็นการปรับตัวลดลง 43 %
ขณะที่ข้าวขาว 5 เปอร์เซ็นต์ (BWR5) ใน AFET เคยซื้อขายกันสูงสุดที่ 31.13 บาท/กก. ณ วันที่ 21 เมษายน 51 ปัจจุบัน ณ
วันที่ 22 ตุลาคม 51 ราคา BWR5
ที่ซื้อขายกันมีราคาเหลืออยู่เพียง 17.40 บาท/กก. เท่านั้น หรือปรับตัวลดลงประมาณ
44%
การปรับตัวลดลงของราคาสินค้าในประเทศไทย
ก็เป็นในทำนองเดียวกับภาวะราคาของ Asset Class อื่น ๆ ทั่วโลก เช่น
ดัชนี Dow Jones ของสหรัฐ
ปรับตัวลดลงจากระดับสูงสุดประมาณกว่า 40% ดัชนี FTSE ของอังกฤษปรับตัวลดลงจากระดับสูงสุดมาประมาณ
40% หรือน้ำมันดิบที่ปรับตัวลงมาประมาณ 50 %
ยังไม่ต้องกล่าวถึงดัชนีราคาอสังหาริมทรัพย์ ในสหรัฐ (S&P/Case-Shiller
Index) ที่ปรับตัวลดลงมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 2 ปีแล้ว
การปรับตัวลดลงของราคาสินค้า นักเศรษฐศาสตร์จะรู้จักกันดีในนามของ
"Price
Deflation" หรือ "Deflation" เฉย
ๆ ก็ได้ แต่ก็ต้องระวังเพราะคำว่า "Deflation" เฉย
ๆ มีความหมายอีกความหมายหนึ่งซึ่งหมายถึง การลดลงของปริมาณเงินในระบบ (Money
Supply) หรือ ที่เรามักเรียกกันว่า "เงินฝืด"
ซึ่งส่วนมากจะทำให้เกิด การปรับตัวลดลงของราคาสินค้า หรือ Price Inflation ด้วย
Deflation นี้จะมีความหมายตรงกันข้ามกับคำว่า "Inflation"
หรือเงินเฟ้อ ที่พวกเราดูเหมือนจะคุ้นเคยกันมากกว่า โดย Inflation
หมายถึงการเพิ่มขึ้นของ Money Supply ในระบบ
เมื่อมีเงินอยู่มากย่อมทำให้ราคาข้าวของมีราคาสูงขึ้น หรือ เรียกว่า Price
Inflation
แต่ในปัจจุบันคนส่วนใหญ่จะเข้าใจเป็นคำว่า Deflation และ/หรือ Inflation ว่าเป็นภาวะที่สินค้ามีราคาลดลง
และ/หรือ เพิ่มขึ้น มากกว่าความหมายดั้งเดิมของมัน (ที่แปลว่าการลดลง/เพิ่มขึ้นของ
Money Supply)
คงทราบกันดีแล้วนะครับว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับระบบการเงินของโลกเราขณะนี้
คือ Credit Crisis หรือกล่าวกันง่าย ๆ ก็คือการที่ระบบการเงินมีการก่อหนี้ และ มีการใช้ leverage
ที่มากเกินไป
(โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการเจรจาค้าขายด้วยเทคนิคทางการเงินที่ซับซ้อนโดยไม่ผ่านคนกลาง
หรือ ไม่มีการค้ำประกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น) ก่อให้เกิดฟองสบู่ขนาดมหึมา
และเมื่อฟองสบู่ดังกล่าวได้แตกลง
สภาพคล่องจึงหดหายไปจากระบบการเงินทั่วโลกอย่างรวดเร็ว (Deflation ?) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่ผ่านมา สถาบันการเงินไม่สามารถ และ/หรือ
ไม่ยินดี ที่จะกู้ยืมเงินระหว่างกัน เนื่องจากไม่เชื่อใจซึ่งกันและกัน
ทำให้เงินไม่หมุนไปหล่อเลี้ยงระบบอย่างที่ควรจะเป็น ธนาคารกลางของหลาย ๆ ประเทศ
ก็ได้พยายามแก้ปัญหาเฉพาะหน้าดังกล่าว ด้วยการลดดอกเบี้ย และ
อัดฉีดสภาพคล่องให้กับระบบสถาบันการเงินทั่วโลกมาหลายระลอกแล้ว
ในภาวะขาดสภาพคล่องแบบนี้ เมื่อสถาบันการเงิน หรือ กองทุนต่าง ๆ
ย่อมต้องเตรียมความพร้อมด้วยการเตรียมสภาพคล่องของตนเอาไว้เพื่อความปลอดภัย
นำไปสู่การขายของในพอร์ตของตนออกมาครั้งใหญ่ในราคาถูก ๆ ไล่มาตั้งแต่ หุ้น
อสังหาริมทรัพย์ สินค้าโภคภัณฑ์ เพื่อถือครองเงินสด หรือ พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ
(ที่ว่ากันว่าเป็นแหล่งพักเงินที่ปลอดภัยที่สุดในภาวการณ์ขณะนี้)
ก่อให้เกิดความกลัวว่าจะเกิดภาวะ Deflation หรือไม่
ขณะที่มาตรการต่าง ๆ ที่กระทรวงการคลังและธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆ
ทั่วโลกได้นำมาใช้เพื่อแก้ปัญหาวิกฤติการเงิน ณ ขณะนี้ ที่กำลังจะออกฤทธิ์ คือ
การเพิ่มสภาพคล่องให้กับระบบ และเข้าไปซื้อหนี้เสียจากสถาบันการเงินด้วยเงินภาษี
ซึ่งถือได้ว่าเป็นการอัดเงินเข้าสู่ระบบ (Inflate) และถูกวิจารณ์โดยผู้รู้หลายราย
(เช่น จาก The Indiana Jones of finance - Jim Rogers หรือ
จาก Dr.Doom - Marc Faber) ว่าอาจเป็นการแก้ปัญหาที่ผิด
และมีแนวโน้มจะก่อให้เกิดภาวะ Inflation ที่เรื้อรังและร้ายแรงได้ในอนาคตได้
ฉะนั้น คงต้องมารอลุ้นกันว่า "ยา" หรือ มาตรการต่าง ๆ
ที่รัฐบาลทั่วโลกนำมาใช้แก้ไขวิกฤตการณ์ครั้งนี้จะได้ผลหรือออกฤทธิ์รักษาโรคได้หรือไม่
แล้วผลลัพธ์ที่โลกเราจะต้องเผชิญต่อไปนั้น จะเป็นภาวะอะไร (Deflation or
Inflation ?)
ซึ่งแน่นอนว่าหาก "ยา" ไม่สามารถรักษาโรคได้ ภาวะ Deflation ก็น่าจะเกิดขึ้น
ก็หมายความว่าเราจะตกอยู่ในภาวะที่ราคาสินค้าจะมีแนวโน้มที่จะมีราคาลดต่ำลงไปเรื่อย
ๆ นับเป็นภาวะที่ประธาน FED Ben Bernanke กลัวที่สุด
เพราะเมื่อ Deflation เกิดขึ้นแล้วจะสร้างผลกระทบอย่างร้ายแรงกับผู้ที่มีหนี้
(คนอเมริกันส่วนใหญ่) และ/หรือ ประเทศลูกหนี้อย่างสหรัฐอเมริกา โดยในภาวะ Deflation
นี้ ผู้ที่มีเงินสดจำนวนมากในมือจะถือว่าเป็นพระราชา ("Cash
is King") ฉะนั้นการลงทุนที่น่าจะเหมาะที่สุดในภาวะนี้ ก็คือ
การฝากเงินไว้ในกับธนาคาร หรือ ซื้อตราสารหนี้ระยะสั้น (เหมือนอย่างที่เป็นอยู่ ณ
ขณะนี้)
แต่ในอนาคต หากผลข้างเพียงจาก "ยา" ทำให้เกิดภาวะ Inflation ซึ่งนั่นก็คือเกิดภาวะข้าวยากหมากแพง สินค้าปรับราคาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ผู้ที่จะได้รับผลกระทบที่สุดก็คือผู้ออมเงิน และ ผู้เกษียณ ที่อาศัยรายได้จากดอกเบี้ยที่ได้จากการฝากเงิน
หรือ ซื้อพันธบัตรรัฐบาล ตัวอย่างของ Extreme Case ของ Inflation
ได้แก่ ภาวะของ Hyper Inflation ในประเทศซิมบับเว
(เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นกว่า 8,000 %) ที่ราคากระดาษชำระราคาม้วนละ$145,750 หรือ 1 แผ่น
เท่ากับ $417 ราคาใกล้เคียงกับธนบัตร $500
(ทำให้ประชาชนซิมบับเวน่าอาจจะใช้ธนบัตรนั่นแทนกระดาษชำระได้)
โดยหากโลกตกอยู่ในภาวะเช่นนี้
ผู้ที่ถือครองอะไรที่เป็นทรัพย์สินที่เป็นจริงจับต้องได้ เช่น ทองคำ เงิน
น้ำมันดิบ หรือ สินค้าเกษตร ก็ย่อมจะได้รับผลตอบแทนโดยเฉลี่ยที่สูงกว่า
การฝากเงินไว้ในกับธนาคาร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น