วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Deflation หรือ Inflation ?

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 23 ตุลาคม 2551

เมื่อย้อนกลับไปดูดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) สูงสุดของปี 2551 ณ วันที่ 21 พฤษภาคม 2551 ที่ระดับ 884.19 จุด แล้วนำมาเปรียบเทียบกับ SET Index ณ เวลานี้ (ปิดตอนเที่ยงของวันที่ 22 ตุลาคม 2551) ที่ระดับ 469.46 พบว่ามีการปรับตัวลดลงถึง 47%

และเมื่อพิจารณาราคาสินค้าในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย หรือ AFET ก็พบว่า ยางแผ่นรมควันชั้น 3 (RSS3) ที่ซื้อขายกันมีราคาปิดที่ระดับสูงสุดของปีนี้ที่ 107.80 บาท/กก. ณ วันที่ 27 มิถุนายน 51 ดิ่งลงมาอยู่ที่ระดับ 61.60 บาท/กก.(เที่ยงของวันที่ 22 ตุลาคม 51) คิดเป็นการปรับตัวลดลง 43 %

ขณะที่ข้าวขาว 5 เปอร์เซ็นต์ (BWR5) ใน AFET เคยซื้อขายกันสูงสุดที่ 31.13 บาท/กก. ณ วันที่ 21 เมษายน 51 ปัจจุบัน ณ วันที่ 22 ตุลาคม 51 ราคา BWR5 ที่ซื้อขายกันมีราคาเหลืออยู่เพียง 17.40 บาท/กก. เท่านั้น หรือปรับตัวลดลงประมาณ 44%

การปรับตัวลดลงของราคาสินค้าในประเทศไทย ก็เป็นในทำนองเดียวกับภาวะราคาของ Asset Class อื่น ๆ ทั่วโลก เช่น ดัชนี Dow Jones ของสหรัฐ ปรับตัวลดลงจากระดับสูงสุดประมาณกว่า 40% ดัชนี FTSE ของอังกฤษปรับตัวลดลงจากระดับสูงสุดมาประมาณ 40% หรือน้ำมันดิบที่ปรับตัวลงมาประมาณ 50 % ยังไม่ต้องกล่าวถึงดัชนีราคาอสังหาริมทรัพย์ ในสหรัฐ (S&P/Case-Shiller Index) ที่ปรับตัวลดลงมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 2 ปีแล้ว

การปรับตัวลดลงของราคาสินค้า นักเศรษฐศาสตร์จะรู้จักกันดีในนามของ "Price Deflation" หรือ "Deflation" เฉย ๆ ก็ได้ แต่ก็ต้องระวังเพราะคำว่า "Deflation" เฉย ๆ มีความหมายอีกความหมายหนึ่งซึ่งหมายถึง การลดลงของปริมาณเงินในระบบ (Money Supply) หรือ ที่เรามักเรียกกันว่า "เงินฝืด" ซึ่งส่วนมากจะทำให้เกิด การปรับตัวลดลงของราคาสินค้า หรือ Price Inflation ด้วย

Deflation นี้จะมีความหมายตรงกันข้ามกับคำว่า "Inflation" หรือเงินเฟ้อ ที่พวกเราดูเหมือนจะคุ้นเคยกันมากกว่า โดย Inflation หมายถึงการเพิ่มขึ้นของ Money Supply ในระบบ เมื่อมีเงินอยู่มากย่อมทำให้ราคาข้าวของมีราคาสูงขึ้น หรือ เรียกว่า Price Inflation

แต่ในปัจจุบันคนส่วนใหญ่จะเข้าใจเป็นคำว่า Deflation และ/หรือ Inflation ว่าเป็นภาวะที่สินค้ามีราคาลดลง และ/หรือ เพิ่มขึ้น มากกว่าความหมายดั้งเดิมของมัน (ที่แปลว่าการลดลง/เพิ่มขึ้นของ Money Supply)

คงทราบกันดีแล้วนะครับว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับระบบการเงินของโลกเราขณะนี้ คือ Credit Crisis หรือกล่าวกันง่าย ๆ ก็คือการที่ระบบการเงินมีการก่อหนี้ และ มีการใช้ leverage ที่มากเกินไป (โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการเจรจาค้าขายด้วยเทคนิคทางการเงินที่ซับซ้อนโดยไม่ผ่านคนกลาง หรือ ไม่มีการค้ำประกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น) ก่อให้เกิดฟองสบู่ขนาดมหึมา และเมื่อฟองสบู่ดังกล่าวได้แตกลง สภาพคล่องจึงหดหายไปจากระบบการเงินทั่วโลกอย่างรวดเร็ว (Deflation ?) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่ผ่านมา สถาบันการเงินไม่สามารถ และ/หรือ ไม่ยินดี ที่จะกู้ยืมเงินระหว่างกัน เนื่องจากไม่เชื่อใจซึ่งกันและกัน ทำให้เงินไม่หมุนไปหล่อเลี้ยงระบบอย่างที่ควรจะเป็น ธนาคารกลางของหลาย ๆ ประเทศ ก็ได้พยายามแก้ปัญหาเฉพาะหน้าดังกล่าว ด้วยการลดดอกเบี้ย และ อัดฉีดสภาพคล่องให้กับระบบสถาบันการเงินทั่วโลกมาหลายระลอกแล้ว

ในภาวะขาดสภาพคล่องแบบนี้ เมื่อสถาบันการเงิน หรือ กองทุนต่าง ๆ ย่อมต้องเตรียมความพร้อมด้วยการเตรียมสภาพคล่องของตนเอาไว้เพื่อความปลอดภัย นำไปสู่การขายของในพอร์ตของตนออกมาครั้งใหญ่ในราคาถูก ๆ ไล่มาตั้งแต่ หุ้น อสังหาริมทรัพย์ สินค้าโภคภัณฑ์ เพื่อถือครองเงินสด หรือ พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ (ที่ว่ากันว่าเป็นแหล่งพักเงินที่ปลอดภัยที่สุดในภาวการณ์ขณะนี้) ก่อให้เกิดความกลัวว่าจะเกิดภาวะ Deflation หรือไม่

ขณะที่มาตรการต่าง ๆ ที่กระทรวงการคลังและธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกได้นำมาใช้เพื่อแก้ปัญหาวิกฤติการเงิน ณ ขณะนี้ ที่กำลังจะออกฤทธิ์ คือ การเพิ่มสภาพคล่องให้กับระบบ และเข้าไปซื้อหนี้เสียจากสถาบันการเงินด้วยเงินภาษี ซึ่งถือได้ว่าเป็นการอัดเงินเข้าสู่ระบบ (Inflate) และถูกวิจารณ์โดยผู้รู้หลายราย (เช่น จาก The Indiana Jones of finance - Jim Rogers หรือ จาก Dr.Doom - Marc Faber) ว่าอาจเป็นการแก้ปัญหาที่ผิด และมีแนวโน้มจะก่อให้เกิดภาวะ Inflation ที่เรื้อรังและร้ายแรงได้ในอนาคตได้

ฉะนั้น คงต้องมารอลุ้นกันว่า "ยา" หรือ มาตรการต่าง ๆ ที่รัฐบาลทั่วโลกนำมาใช้แก้ไขวิกฤตการณ์ครั้งนี้จะได้ผลหรือออกฤทธิ์รักษาโรคได้หรือไม่ แล้วผลลัพธ์ที่โลกเราจะต้องเผชิญต่อไปนั้น จะเป็นภาวะอะไร (Deflation or Inflation ?)

ซึ่งแน่นอนว่าหาก "ยา" ไม่สามารถรักษาโรคได้ ภาวะ Deflation ก็น่าจะเกิดขึ้น ก็หมายความว่าเราจะตกอยู่ในภาวะที่ราคาสินค้าจะมีแนวโน้มที่จะมีราคาลดต่ำลงไปเรื่อย ๆ นับเป็นภาวะที่ประธาน FED Ben Bernanke กลัวที่สุด เพราะเมื่อ Deflation เกิดขึ้นแล้วจะสร้างผลกระทบอย่างร้ายแรงกับผู้ที่มีหนี้ (คนอเมริกันส่วนใหญ่) และ/หรือ ประเทศลูกหนี้อย่างสหรัฐอเมริกา โดยในภาวะ Deflation นี้ ผู้ที่มีเงินสดจำนวนมากในมือจะถือว่าเป็นพระราชา ("Cash is King") ฉะนั้นการลงทุนที่น่าจะเหมาะที่สุดในภาวะนี้ ก็คือ การฝากเงินไว้ในกับธนาคาร หรือ ซื้อตราสารหนี้ระยะสั้น (เหมือนอย่างที่เป็นอยู่ ณ ขณะนี้)

แต่ในอนาคต หากผลข้างเพียงจาก "ยา" ทำให้เกิดภาวะ Inflation ซึ่งนั่นก็คือเกิดภาวะข้าวยากหมากแพง สินค้าปรับราคาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ผู้ที่จะได้รับผลกระทบที่สุดก็คือผู้ออมเงิน และ ผู้เกษียณ ที่อาศัยรายได้จากดอกเบี้ยที่ได้จากการฝากเงิน หรือ ซื้อพันธบัตรรัฐบาล ตัวอย่างของ Extreme Case ของ Inflation ได้แก่ ภาวะของ Hyper Inflation ในประเทศซิมบับเว (เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นกว่า 8,000 %) ที่ราคากระดาษชำระราคาม้วนละ$145,750 หรือ 1 แผ่น เท่ากับ $417 ราคาใกล้เคียงกับธนบัตร $500 (ทำให้ประชาชนซิมบับเวน่าอาจจะใช้ธนบัตรนั่นแทนกระดาษชำระได้) โดยหากโลกตกอยู่ในภาวะเช่นนี้ ผู้ที่ถือครองอะไรที่เป็นทรัพย์สินที่เป็นจริงจับต้องได้ เช่น ทองคำ เงิน น้ำมันดิบ หรือ สินค้าเกษตร ก็ย่อมจะได้รับผลตอบแทนโดยเฉลี่ยที่สูงกว่า การฝากเงินไว้ในกับธนาคาร

ภายใต้ภาวะความไม่แน่นอนอย่างเช่นปัจจุบันนี้ นักลงทุนผู้ชาญฉลาดคงต้องตัดสินใจด้วยตัวของท่านเองครับว่าจะเลือกลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงใดที่เหมาะสมกับภาวการณ์ที่สามารถเปลี่ยนแปลงไปได้ตลอดเวลา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น