ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 14 ตุลาคม 2553
บทความวันนี้อาจจะมีชื่อคล้ายกับประโยคทองของนักวิเคราะห์ด้านเทคนิค
(หรือTechnical
Analyst) คือ “Don’t Fight the Trend” ที่แนะนำว่า
เมื่อทิศทางราคามีแนวโน้ม หรือ Trend ไปในทิศทางใด
(ไม่ว่าจะขึ้นหรือลง)
นักลงทุนไม่สมควรที่จะเข้าซื้อหรือขายในทิศทางที่ตรงกันข้ามกับ Trend นั้น
ตัวอย่างในทางปฏิบัติของแนวคิดของ “Don’t Fight the Trend” หรือ “The Trend is Your Friend” นั้นได้แก่
เมื่อตลาดมี Trend ขาลงอย่างชัดเจน
นักลงทุนไม่สมควรที่จะรีบเข้าไปช้อนซื้อ หรือพยายามที่จะเดาจุดต่ำสุด (catch
a falling knife) หรือ เมื่อตลาดมี Trend ขาขึ้นอย่างชัดเจน
Trader ก็ไม่ควรที่จะ Fight the Trend ด้วยการ
Short สวน Trend ออกมา
เพราะว่าตลาดสามารถที่จะปรับตัวไปในทิศทางที่ไม่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานได้เป็นอย่างมากและเป็นระยะเวลานาน
ดังที่ John Maynard Keynes (เจ้าของทฤษฎีเศรษฐศาสตร์แบบ Keynes
ที่โด่งดัง) ผู้ซึ่งเคยหมดตัวจากตลาดมาก่อน ได้แสดงความเห็นไว้ว่า “The
market can stay irrational longer than you can stay solvent.”
สำหรับคำกล่าวว่า “Don’t Fight the Fed” ก็เป็นประโยคทองเช่นกันในหมู่บรรดานักลงทุนทั้งหลาย
นับตั้งแต่ Martin Zweig ได้เสนอแนวคิดเรื่อง Monetary
indicators - Don't Fight the Fed ไว้ในหนังสือ “Winning on
Wall Street” เมื่อ ค.ศ. 1990
ซึ่งอธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างอัตราดอกเบี้ย Discount Rate ที่กำหนดโดยคณะผู้บริหารในระบบธนาคารกลางของสหรัฐ (The Board of
Governors of the Federal Reserve System หรือ FED) กับ ราคาตลาดหุ้นในสหรัฐ
Zweig เชื่อว่า เมื่อ FED ปรับขึ้น
Discount Rate ราคาหุ้นโดยเฉลี่ยในตลาดมักจะปรับตัวลดลง
โดยตลาดหุ้นจะถือว่ามีสภาพ Moderately Bearish หากมีการปรับขึ้น
Discount Rate ขึ้น 1-2 ครั้ง ในรอบ 6 เดือน และ Extremely
Bearish หาก Discount Rate ถูกปรับขึ้น
มากกว่า 2 ครั้งขึ้นไป (แน่นอนว่า หาก Discount Rate ถูกปรับลง
ราคาหุ้นก็มีแนวโน้มจะปรับตัวเพิ่มขึ้น)
ปัจจุบัน แนวคิด “Don’t Fight the Fed” นี้
มิได้ถูกจำกัดอยู่เพียงในวงการหุ้น แต่เป็นแนวคิดที่มีอิทธิพลในตลาดของ Asset
Class อื่น ๆ ด้วย เช่น อัตราแลกเปลี่ยน พันธบัตร และสินค้าโภคภัณฑ์
รวมถึงแนวคิดนี้ก็มิได้จำกัดแค่การปรับ Discount Rate แต่ได้หมายรวมไปถึงการดำเนินนโยบายเงินอื่น
ๆ ที่เกี่ยวข้อง ของ FED ด้วย
เป็นที่น่าสังเกตว่า นับตั้งแต่วิกฤตการณ์การเงินปี ค.ศ.2008
เป็นต้นมา เมื่ออัตรา Discount Rate อยู่ในระดับที่ต่ำมาก FED ได้นำเอานโยบายการพิมพ์เงินออกมาซื้อพันธบัตร หรือ Quantitative
Easing (QE) (ซึ่งปัจจุบันหมดอายุไปแล้ว)
ออกมาใช้เสริมกลับนโยบายดอกเบี้ย อีกทั้ง Ben Bernanke ประธาน
FED ก็ได้กล่าวย้ำแล้วย้ำอีกว่า
อัตราดอกเบี้ยนโยบายสามารถที่จะอยู่ที่ระดับใกล้ศูนย์เปอร์เซ็นต์นี้ไปได้อีกนานเท่าที่จำเป็น
และพร้อมจะมีมาตรการพิเศษอื่นอีกหากเห็นสมควร เพื่อเป็นหลักประกันว่าวิกฤตการเงินจะไม่หวนกลับมาอีก
ช่วงที่ผ่านมา หากท่านใดได้ตามสุนทรพจน์ของ Ben Bernanke ที่ Jackson Hole, Wyoming เมื่อ 27 ส.ค. 53 หรือ
สุนทรพจน์ของ William Dudley ผู้ว่า FED สาขานิวยอร์ค ที่ Graduate School of Journalism, New York เมื่อ 1 ต.ค. 53 ที่ได้กล่าวไว้ในทำนองว่า “ปัจจุบันอัตราเงินเฟ้อยังต่ำเกินไป”
หรือ การแสดงความเห็นของ James Bullard ผู้ว่า
FED สาขาเซนหลุยส์ ผ่าน CNBC ในรายการ SQUAWK
BOX เมื่อ 8 ต.ค. 53
ก็จะเห็นถึงความเป็นไปได้ที่จะมีการพิมพ์เงินออกมา หรือ QE ภาคสอง
(QE 2.0) เร็ว ๆ นี้ ซึ่งล้วนสอดคล้องกับรายงานการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน
(FOMC) ของระบบธนาคารกลางของสหรัฐ (Federal Reserve
System) เมื่อวันที่ 21 ก.ย. 53
ที่เพิ่งได้ถูกนำเผยแพร่ต่อสาธารณชนเมื่อ 13 ต.ค. 53
ซึ่งทั้งหมดสามารถตีความได้ว่า ASSET CLASS ต่าง ๆ
น่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้น
ในช่วง 3 เดือนมานี้
ดูเหมือนว่าตลาดได้คาดการณ์ความเป็นไปได้ของนโยบาย QE 2.0 ไปแล้ว
สังเกตจากราคาหุ้นและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่างปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 15 %
ราคาสินค้าโภคภัณฑ์แทบทุกประเภทต่างปรับตัวขึ้นกันถ้วนหน้า ไล่เรียงตั้งแต่
สินค้าเกษตร อาทิ น้ำตาล 68% ข้าวโพด 58 % ข้าวโอ๊ต 58% ข้าวสาลี 47% ถั่วเหลือง
24% กลุ่มโลหะ อาทิ ทองแดง 32% เงิน 30% อลูมิเนียม 21% ทองคำ 12% และน้ำมันดิบ
12%
จะเห็นได้ว่า คาถา “Don’t Fight the Fed” ในช่วงนี้
ก็ยังคงศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจากผู้ที่ใช้กลยุทธ์ที่ “Fight the Fed” หรือ เก็งกำไรในทิศทางขาลง (เปิด Short Position ไว้)
ต่างล้วนจะขาดทุนกันถ้วนหน้า และจะขาดทุนอย่างมากหากเป็นการลงแบบ High
Leverage เช่นใน ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า (AFET) หรือ ตลาดอนุพันธ์ (TFEX)
ส่วนตัวผมเองนั้น ไม่ค่อยแปลกใจเท่าไรกับการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาดังกล่าว
เนื่องจากเข้าใจว่าน่าจะเกิดจากการคาดการณ์ของนักลงทุนในการดำเนินนโยบายผ่อนคลายของธนาคารกลางชาติที่มีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุด
และมีสกุลเงินที่ปัจจุบันยังเป็น World Reserve Currency
แต่ช่วงที่ผ่านมาผมยังแปลกใจอยู่เรื่องหนึ่งนั่นคือ
เหตุใดข้าวในบ้านเรายังมีระดับราคาที่ค่อนข้างต่ำ (ณ วันที่ 12 ต.ค. ข้าวขาว 5 %
ตลาดกรุงเทพ รายงานโดยกรมการค้าภาย ราคาตันละ 12,750 บาท ลดลง 3% ในช่วง 3
เดือนที่ผ่านมา) ราคาไม่ยอมปรับตัวเพิ่มขึ้นตามแนวโน้มของกระแสโลก
(ราคาธัญพืชแทบทุกตัว) ทั้ง ๆ ที่ มีภัยธรรมชาติเกิดขึ้นทั่วโลก เช่น รัสเซีย
ปากีสถาน หรือ ออสเตรเลีย รวมถึง Crop Report ของ USDA ออกมาล่าสุด
ก็รายงานถึงภาวะผลผลิตที่ตกต่ำของธัญพืชส่วนใหญ่ในสหรัฐในปีนี้
(ไม่นับรวมเรื่องของ Don’t Fight the Fed ที่พูดว่าก่อนหน้าอีกนะครับ)
หลายท่านอาจจะออกมาแย้งว่า ข้าวไทยราคาไม่ขึ้นเนื่องจากค่าเงินบาทแข็ง
ซึ่งผมก็พอจะเห็นประเด็น
แต่เรื่องบาทแข็งอย่างเดียวคงไม่ใช่ปัจจัยที่ทำให้ราคาข้าวถึงกลับปรับตัวลดลงมาเหมือนอย่างที่เป็นอยู่กระมัง
เพราะถ้าหากเทียบกับสินค้ายางที่โค๊ตกันเป็น “บาท” เหมือนกัน
ปัจจุบันทำ New High ในรูปของบาทจนราคาอยู่ที่ 120
บาทต่อกิโลกรัมแล้ว (RSS3 ใน AFET)
คงเป็นหน้าที่ของผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบที่จะต้องช่วยกันหาคำตอบ
และ/หรือ แก้ปัญหา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง
เพราะต้องอย่าลืมนะครับว่า การที่ราคาข้าวตกต่ำ หรือ ยังไม่ยอมปรับตัวขึ้นทั้ง ๆ
อาจจะสมควรต้องขึ้นแล้วนั้น รัฐบาลย่อมได้รับผลกระทบเต็ม ๆ เนื่องจาก
ยิ่งราคาข้าวตกลงเท่าไรภาครัฐยิ่งต้องนำเงิน “ภาษี” มาจ่ายเงินชดเชยให้กับพี่น้องชาวนามากเท่านั้น
(ตามเงื่อนไขของโครงการประกันรายได้ของรัฐบาล) ซึ่งอาจทำให้เงินงบประมาณไม่เพียงพอที่จะนำไปใช้พัฒนาประเทศด้านอื่น
ๆ
อย่างไรก็ดี ท้ายนี้ขอเอาใจช่วยรัฐบาลให้สามารถหาคำตอบ
และ/หรือแก้ปัญหา ข้าวที่ว่านี้สำเร็จลุล่วงไปได้โดยเร็วครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น