วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

AFET : แหล่งสร้างเสถียรภาพ ราคาสินค้าเกษตรระยะยาว

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 23 พฤศจิกายน 2549

          ในที่สุดนะครับ หลังที่เฝ้ารอกันมานานหลายเดือนตั้งแต่มีการยุบสภา คณะรัฐมนตรีของท่านนายกฯ พลเอกสุรยุทธ์ ได้อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2550 แล้วเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา (วันที่ 14 พ.ย.2549) โดยอนุมัติกรอบงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2550 วงเงินที่ 1,566,200 ล้านบาท โดยยังคงกำหนดรายได้จำนวน 1,420,000 ล้านบาท คิดเป็นการขาดดุลงบประมาณจำนวน 146,200 ล้านบาท จากเดิมที่ตั้งเป้าหมายการขาดทุนเพียง 100,000 ล้านบาทเท่านั้น (ไทยรัฐ วันที่ 16 พ.ย. 2549)
          ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ออกมาชี้แจงต่อสื่อมวลชนในวันที่ 16 พฤศจิกายน 2549 ถึงเหตุผลของการเพิ่มงบรายจ่ายปี 2550 ดังกล่าว เนื่องจากพบว่ามีภาระหนี้ค้างจ่ายที่เกิดจากการบริหารจัดการของรัฐบาลชุดที่แล้ว และต้องจ่ายในปีงบประมาณปี 2550 ทั้งหมดเท่ากับ 85,549 ล้านบาท ทำให้งบประมาณขาดดุลที่ตั้งไว้เดิมที่ 1 แสนล้านบาท ไม่เพียงพอ ส่งผลให้ต้องเพิ่มงบขาดดุลอีก 46,200 บาท
          ภาระหนี้ค้างจ่ายที่กล่าวมาข้างต้น เป็นหนี้ค้างจ่ายจากโครงการที่พวกเราต่างคุ้นชื่อกันดี อาทิเช่น โครงการรับจำนำสินค้าเกษตร กองทุนหลักประกันสุขภาพ (โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค) กองทุนหมู่บ้าน  โครงการแทรกแซงตลาดยางพารา หนี้กองทุนสงเคราะห์เกษตรกรของกรมปศุสัตว์ หนี้กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรของกรมส่งเสริมสหกรณ์ หนี้เงินอุดหนุนสมทบกองทุนประกันสังคม และหนี้ค่าวิทยฐานะของครู (อ่านรายละเอียดได้จากข่าวทำเนียบที่ 11/16-04 วันพฤหัสบดีที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ.2549 ที่ HTTP://WWW.THAIGOV.GO.TH)
          ในบรรดาหนี้ค้างจ่าย 8 หมื่นกว่าล้านบาทจากรัฐบาลชุดที่แล้ว และเป็นภาระต้องจ่ายในปีงบประมาณ 2550 นี้นั้น (8 หมื่นกว่าล้านนี้ เป็นหนี้ค้างจ่ายนะครับ จ่ายไปแล้วและยังไม่ได้จ่ายอีกเท่าไรไม่รู้) งบประมาณจำนวน 23,079 ล้านบาท เป็นงบประมาณที่รัฐบาลชุดนี้อนุมัติให้รับชำระหนี้และเงินต้นของคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) เพื่อใช้ในการอุดหนุนค่าใช้จ่ายโครงการรับจำนำสินค้าเกษตรของรัฐบาลที่ผ่านมา
          หลายท่านอาจคุ้นเคยกับเพียงชื่อของโครงการรับจำนำที่มีข่าวบ่อยครั้งตามหน้าหนังสือพิมพ์ เช่น โครงการรับจำนำลำไย หรือ โครงการรับจำนำข้าวเปลือก (ที่เคยมีข่าวการทุจริตกันอย่างครึกโครม มีข้อสงสัยกันว่าเม็ดเงินงบประมาณที่ใส่ลงไปกับโครงการส่วนใหญ่นั้นจะถึงมือเกษตรกรหรือไม่ และโครงการรับจำนำลำไย ก็กำลังถูกตรวจสอบจากคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดปัจจุบันด้วยครับ) หากแต่โครงการรับจำนำสินค้าเกษตรนี้ ยังครอบคลุมไปถึงสินค้าเกษตรประเภทอื่นด้วย เช่น มันสำปะหลัง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ กุ้ง กาแฟ
          โครงการรับจำนำสินค้าเกษตรที่ว่านี้ จึงเป็นหนึ่งในหลายมาตรการ ในการช่วยเหลือเกษตรกรของภาครัฐจากความเสี่ยงด้านราคา เนื่องจากราคาสินค้าเกษตรที่มีความผันผวนสูง และบ่อยครั้งเกษตรกรประสบกับปัญหาราคาของผลผลิตตกต่ำ
          ซึ่งโดยหลักการแล้ว โครงการรับจำนำจะเปิดโอกาสให้เกษตรกรนำสินค้าของตนมาจำนำไว้กับหน่วยงานของรัฐที่ระดับราคา สถานที่ และช่วงระยะเวลาที่สามารถไถ่ถอนได้ ที่เงื่อนไขที่ภาครัฐกำหนด โดยในช่วงระยะเวลาที่สามารถไถ่ถอนได้นั้น หากเกษตรกรเห็นว่าตนสามารถขายสินค้าได้สูงกว่าราคารับจำนำ เกษตรกรรายนั้นก็มีสิทธิในการไถ่ถอนสินค้าของตนไปขายให้กับผู้ซื้อที่ให้ราคาสูงกว่าได้ (การกำหนดราคารับจำนำนี้จึงมีความจำเป็นอย่างมาก)
          ผลขาดทุนอย่างมากมายมหาศาลในอดีต จากการดำเนินโครงการรับจำนำนั้น อาจแยกพิจารณาได้ออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนหนึ่งเป็นผลขาดทุนอันเนื่องมาจากการดำเนินนโยบายผิดพลาดของรัฐบาลเอง ในการกำหนดราคารับจำนำขั้นต่ำที่สูงเกินราคาตลาด (ทำให้เมื่อเกษตรกรนำสินค้ามาจำนำไว้กับรัฐบาลแล้ว ไม่ยอมมาไถ่ถอนคืน) อีกส่วนหนึ่งเกิดจากการทุจริตของผู้ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการรับจำนำดังกล่าว
          โครงการการรับจำนำนี้ อาจกล่าวได้ว่า เป็นการแก้ปัญหาด้านราคาให้แก่เกษตรกรในระยะสั้น และโดยมากเป็นการแก้ปัญหาหลังจากที่ผลิตผลทางการเกษตรได้ออกสู่ตลาดแล้ว ถือเป็นการแทรกแซงราคาและกลไกตลาด (ซึ่งจะทำได้นานแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับเงินในกระเป๋าของรัฐบาล) ขัดแย้งกับหลักการขององค์การการค้าโลก (WTO) ที่พยายามจะให้ประเทศสมาชิกลดวงเงินอุดหนุนภายในที่เป็นการบิดเบือนตลาด
          อีกทั้งเป็นที่รู้กันดีว่ากระบวนการแทรกแซงราคา และกลไกตลาดในตลาดใดเป็นระยะเวลานาน ๆ นั้น ส่วนใหญ่มักประสบความล้มเหลว (ตัวอย่างหนี้กองทุนน้ำมันเกือบแสนล้านบาทจากการแทรกแซงราคาน้ำมันของรัฐบาลชุดที่แล้ว)
          ส่วนประเด็นที่เกี่ยวกับการแก้ปัญหาด้านราคาสินค้าเกษตร โดยการสร้างเสถียรภาพของราคาสินค้าเกษตรในระยะยาวนั้น กระบวนการซื้อขายในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า น่าจะเป็นทางเลือก และกลไกสำคัญที่เปิดโอกาสให้เกษตรกรรับรู้ข้อมูลข่าวสาร และสามารถใช้ตลาดล่วงหน้าประกันความเสี่ยงด้านราคา ทำให้เกษตรกรสามารถวางแผนการเพาะปลูกของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพสอดคล้องกับความต้องการของตลาดได้ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น