วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ความรู้เกี่ยวกับตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า (2) การซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าในต่างประเทศ

ตลาดสินค้าล่วงหน้าในต่างประเทศนั้นได้ถูกพัฒนามาเป็นเวลากว่าร้อยปีแล้ว ซึ่งตลาดใหญ่ที่ได้รับให้เป็นแม่แบบของตลาดสินค้าล่วงหน้าต่าง ๆ ได้มีการวิวัฒนาการต่อ ๆ กันมา คือ ตลาด Chicago Board of Trade (CBOT) ซึ่งตั้งอยู่ที่เมือง ชิคาโก มลรัฐอิลลินอยส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา....ตลาด CBOT นี้เปิดทำการครั้งแรกในปี ในปี 1852 หรือ ราวปี พ.ศ. 2395 ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4

ในปัจจุบัน ตัวอย่างของตลาดสินค้าล่วงหน้าที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักของผู้ค้าโดยทั่วไป เช่น ตลาดล่วงหน้าในสหรัฐอเมริกา อาทิ Chicago Board of Trade (CBOT), Chicago Mercantile Exchange (CME), New York Board of Trade (NYBOT), ตลาดล่วงหน้าในอังกฤษ คือ London International Financial Futures and Options Exchange (LIFFE), ตลาดล่วงหน้าในญี่ปุ่น อาทิ Tokyo Commodity Exchange (TOCOM) และ Osaka Mercantile Exchange (OME), ตลาดล่วงหน้าในสิงคโปร์ คือ Singapore Commodity Exchange (SICOM) แม้กระทั่งประเทศเพื่อนบ้านของไทยอย่าง มาเลเซีย ก็มีตลาดสินค้าล่วงหน้าของตัวเองคือ Malaysia Derivatives Exchange (MDX)

สินค้าเกษตรที่มีการซื้อขายในตลาดสินค้าล่วงหน้าในต่างประเทศ ปัจจุบันมีอยู่มากมายหลายชนิด อาทิ ข้าวโพด ข้าวสาลี ถั่วเหลือง กาแฟ น้ำมันปาล์มดิบ ยางพารา ข้าว กุ้ง วัว หมู เนื้อไก่ โกโก้ ฝ้าย น้ำส้ม ไหม เนย ไข่ ไม้แปรรูป ขนแกะ ฯลฯ ซึ่งสินค้าในแต่ละชนิด มีตลาดหลัก ๆ ที่ผู้ค้านิยมเข้ามาซื้อขายและใช้อ้างอิงราคา เช่น ผู้ค้านิยมใช้ตลาด CBOT ในการอิงราคาข้าวโพด ข้าวสาลี ถั่วเหลือง, ตลาด CME ในการอิงราคา เนยและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับนม, ตลาด NYBOT ในการอิงราคาน้ำตาลทรายดิบ, ตลาด LIFFE ในการอิงราคา น้ำตาลทรายขาว และ กาแฟ, ตลาด TOCOM และ SICOM ในการอิงราคา ผลิตภัณฑ์ยางพารา, และ ตลาด MDX ในการอิงราคาน้ำมันปาล์มดิบ เป็นต้น และเป็นที่น่าสังเกตว่ายังไม่มีตลาดล่วงหน้าในประเทศใด..ที่ผู้ค้าใช้อ้างอิงราคาข้าว ซึ่งในอนาคตอันใกล้นี้ มีความเป็นไปได้สูงว่า...ผู้ค้าข้าวทั่วโลกจะหันมาใช้บริการการซื้อขายข้าวล่วงหน้าในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (ตสล.) เป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงและอ้างอิงราคา

นอกเหนือจากสินค้าเกษตรที่มีการนำมาซื้อขายล่วงหน้าแล้ว สินค้าอื่น ๆ ที่จับต้องได้ เช่น น้ำมันดิบ ทองคำ เงิน ดีบุก ทองแดง หรือ สินค้าที่จับต้องไม่ได้ (และไม่น่าจะเป็นที่คุ้นเคยของคนไทย) เช่น ตัวแปรชนิดต่าง ๆ ได้แก่ ดัชนีหลักทรัพย์ต่าง ๆ (เช่น ดัชนี S&P 500) อัตราดอกเบี้ย อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา ก็มีการนำมาซื้อขายกันในตลาดล่วงหน้าในต่างประเทศ นอกเหนือจากสินค้าที่กล่าวมาแล้วข้างต้น สินค้าที่ไม่น่าเชื่อว่าจะสามารถนำมาซื้อขายกันได้ เช่น อุณหภูมิอากาศในเมืองต่าง ๆ หรือ สารเคมีบางตัว เช่น Benzene และ Xylene ก็มีการนำมาซื้อขายล่วงหน้าในตลาดล่วงหน้าที่สหรัฐ

สำหรับวิธีการซื้อขายล่วงหน้าในตลาดล่วงหน้าทั่วโลกนั้น แต่เดิมจะใช้วิธี Open Outcry ซึ่งคำสั่งซื้อ-ขาย จะถูกส่งผ่านการตะโกนและสัญญาณมือที่ให้กันในห้องค้า (Pit) ระหว่างสมาชิกของตลาด (ระบบนี้ยังคงใช้กันอยู่ในสหรัฐอเมริกา)......ต่อมาในระยะหลังเมื่อคอมพิวเตอร์เข้ามามีบทบาทและมีประสิทธิภาพมากขึ้น การซื้อขายสินค้าล่วงหน้าแบบใหม่โดยผ่านทางคอมพิวเตอร์ หรือ Electronic Trading System ได้เริ่มเข้ามาแทนที่ระบบซื้อขายแบบเก่า เนื่องจากมีต้นทุนที่ถูกกว่าระบบ Open Outcry อย่างมหาศาล เพราะ ไม่ความจำเป็นต้องอบรมและจ้างคนมาทำการซื้อขายกันในห้องค้า ตลาดซื้อขายล่วงหน้าที่เกิดใหม่ทั้งหลาย รวมทั้ง ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย จึงเริ่มระบบของตนด้วยระบบการซื้อขายแบบ Electronic Trading

ไม่ใช่เฉพาะตลาดเกิดใหม่ที่เลือกใช้ระบบการซื้อขายแบบใหม่นี้...ในปี ค.ศ. 1998 (พ.ศ. 2541) ตลาด LIFFE ซึ่งเป็นตลาดซื้อขายล่วงหน้าขนาดใหญ่ของประเทศอังกฤษ ซึ่งถือได้ว่าเป็นประเทศอนุรักษ์นิยม ก็ได้เปลี่ยนระบบการซื้อขายทั้งหมดของตนจากการซื้อขายในห้องค้ามาเป็นการซื้อขายแบบ Electronic Trading จะเห็นได้ว่า ถึงแม้การซื้อขายแบบ Open Outcry ยังใช้กันอยู่ในสหรัฐก็ตาม เราก็ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าระบบการซื้อขายในห้องค้าหรือ Open Outcry จะค่อย ๆ หมดไปและจะถูกแทนที่ด้วยระบบการซื้อขายแบบ Electronic ในที่สุด

ท้ายนี้ ผมอยากให้พวกเราเห็นว่าการซื้อขายสินค้าล่วงหน้าในตลาดล่วงหน้าเป็นเรื่องที่มีมานาน และ ธรรมดามากในต่างประเทศ ดังนั้นในฐานะที่ไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม...การเริ่มการซื้อขายล่วงหน้าด้วยสินค้าเกษตรที่พวกเราคุ้นเคยกันอยู่แล้วเช่น ข้าว และ ยางพารา ในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทยจึงน่าจะเหมาะสม และเป็นการง่ายในการทำความเข้าใจแก่ผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกษตรกรและผู้ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจการเกษตรของไทย จะสามารถใช้ตลาด ฯ เป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยง ช่วยให้สามารถวางแผนการผลิตของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต้นทุนในการดำเนินงานของธุรกิจภาคเกษตรของประเทศจะถูกลง ซึ่งจะก่อให้เกิดผลดีต่อผู้บริโภค-ผู้ประกอบการในประเทศ และระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศไทย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น