ที่มา:
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 9 พฤศจิกายน 2549
เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2549 ท่านนายกรัฐมนตรีของเรา พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์
ได้กล่าวปาฐกถาในโอกาสที่ท่านไปเป็นประธานการประชุมสมัชชาใหญ่สมาคมสมาพันธ์เกษตรกรเพื่อการพัฒนาประเทศไทย
ที่จังหวัดปทุมธานี มีใจความตอนหนึ่งเกี่ยวกับการซื้อขายล่วงหน้าดังนี้
"นอกเหนือจากนั้น
ปัจจุบันก็จะมีเรื่องของราคาล่วงหน้า ที่เขาซื้อขายผลผลิตทางการเกษตรล่วงหน้า
ไม่ว่าจะเป็น 3 หรือ 6 เดือนก็จะเป็นอีกมิติหนึ่งของระบบการตลาด ที่เราจะต้องติดตามให้ทัน
เราจะต้องรู้ว่าราคาที่เขาขายกัน ล่วงหน้านั้น มันมีแนวโน้มที่สูงขึ้นหรือจะต่ำลง
ถ้าเรารู้ในระยะยาว หรือรู้ว่าในอีก 6 เดือนข้างหน้า
ก็จะเป็นเหมือนไฟสัญญาณที่มีขึ้นมา และเราต้องคอยดูไฟสัญญาณเหล่านี้ว่า
เราควรจะลดการผลิตของเราลงไปหรือไม่อย่างไร เพราะว่าสินค้าการเกษตรต้องการเวลา
รวมทั้งการผลิตก็ต้องใช้เวลาที่ค่อนข้างยาวนาน อย่างน้อยก็ 3 เดือน
ดังนั้นถ้าเรามีสัญญาณล่วงหน้า 3 เดือน
ที่จะแจ้งให้เราได้ทราบว่า สินค้าการเกษตรนั้นควรจะชะลอและเพิ่มในเรื่องนี้หรือไม่
ก็จะเป็นประโยชน์ นั่นก็คือ การเตรียมการ และปรับตัวล่วงหน้าต่อตลาดในอนาคต
ซึ่งจะทำให้เราอยู่บนพื้นฐานของความไม่ประมาท ยืนอยู่บนพื้นฐานของเหตุผล
รู้ว่าอะไรมันจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร เราก็จะได้เตรียมตัวหาทางป้องกัน
หรือเราเรียกว่ามีภูมิคุ้มกัน ที่พูดไปมันเป็นเรื่องที่มีอยู่ในชีวิตจริง
ซึ่งไปเห็นตลาดล่วงหน้า ไม่ว่าจะเป็นตลาดน้ำตาล ตลาดข้าว
ซึ่งตลาดน้ำตาลอยู่ที่ประเทศอังกฤษ แต่ตลาดข้าวเชื่อหรือไม่ว่าอยู่ที่สหรัฐอเมริกา
ก็ไปดูว่ามีการซื้อขายล่วงหน้ากันอย่างไร
จึงทราบว่ามีวิธีการอีกมากมายสำหรับการซื้อขายล่วงหน้า
ซึ่งแน่นอนว่าเป็นเรื่องของการเก็งกำไร เรื่องของการคาดการณ์
อย่างที่เราเห็นสินค้าหลายๆ อย่างในปัจจุบันซึ่งมีการซื้อขายล่วงหน้าทั้งสิ้น
ไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน ผลผลิตต่างๆ
แล้วก็จะได้ดูได้ว่าแนวโน้มมันจะขึ้นหรือมันจะลง" (สยามรัฐ วันที่ 2 พ.ย.49)
การซื้อขายสินค้าล่วงหน้า และการตระหนักถึงราคาล่วงหน้า ที่ท่านนายกฯ
ได้พูดถึงนี้อาจจะเป็นของใหม่สำหรับสังคมไทยครับ เนื่องมาจากประเทศไทยเราเพิ่งมีการซื้อขายล่วงหน้า
(FUTURES TRADING) มาแค่ 2 ปีกว่าๆ เท่านั้น หรือถ้าจะเอาวันเริ่มซื้อขายที่แน่นอน ก็คือวันที่ 28 พฤษภาคม 2547 โดยสัญญาซื้อขายล่วงหน้าตัวแรกที่ได้มีการซื้อขายที่ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย
หรือ AFET ของเราคือ ยางแผ่นรมควันชั้นสาม (RIBBED
SMOKED SHEET NO.3; RSS3) ขนาด 5 ตัน ส่งมอบ ณ ท่าเรือกรุงเทพ
แท้ที่จริงแล้ว การซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้านั้น มีขึ้นมาหลายร้อยปีแล้ว
ตามหลักฐานที่ได้มีการบันทึกไว้ ตลาดสินค้าล่วงหน้าได้ถือกำเนิดขึ้นครั้งแรกที่
โอซากา ประเทศญี่ปุ่น เรียกว่าตลาดข้าวโดจิม่า (DOJIMA RICE MARKET) หรือที่รู้จักกันในนามของ CHO-AI-MAI (โช-เอ-ไม)
แปลเป็นอังกฤษว่า "RICE TRADE ON BOOK" ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยว่า
"การซื้อขายบนกระดาษ" ในรัชสมัยของ โชกุน โตกุกาว่า ปี ค.ศ. 1730 หรือราวปี พ.ศ. 2273 (ตรงกับไทยในสมัยรัชกาลของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ 37 ปีก่อนไทยจะเสียกรุงศรีอยุธยาให้แก่พม่า ครั้งที่ 2 ) สินค้าที่ซื้อขายกันนี้เรียกกันว่า RICE TICKET
ตลาด CHO-AI-MAI นี้…..ออกแบบไว้สำหรับการซื้อขายล่วงหน้าข้าว (RICE FUTURES CONTRACTS) เงื่อนไขสัญญาที่ทำการซื้อในตลาดนี้คล้ายคลึงกับสัญญามาตรฐานที่ทำการซื้อขายกันในปัจจุบันอย่างน่าแปลกใจ
เว้นแต่สมัยนั้นจะไม่อนุญาตให้มีการส่งมอบ-รับมอบสินค้ากันจริง
(เมื่อสัญญาครบกำหนด) การไม่มีการส่งมอบ-รับมอบข้าวกันจริงๆ นี้เอง
ทำให้ราคาข้าวล่วงหน้าในตลาด DOJIMA) กับราคาข้าวในตลาดจริงๆ
อาจเป็นคนละราคากัน ก่อให้เกิดปัญหาการเก็งกำไร และการปั่นราคา RICE
TICKET (ตลาดไม่สามารถทำหน้าที่เป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ)
ทำให้ต่อมาในปี 1869 มีการปรับปรุงเงื่อนไขให้ส่งมอบ-รับมอบข้าวกันได้
(สอดคล้องกับการซื้อขายล่วงหน้าในอเมริกาที่ได้ถูกพัฒนามาในช่วงหลัง)
ถัดมาอีกซีกโลกหนึ่ง ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา ในปี 1851 ซึ่งเป็นช่วงที่เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา กำลังขยายตัว
ตลาดสินค้าล่วงหน้าแห่งแรกในสหรัฐ ที่ชื่อว่า ตลาดหอการค้าแห่งชิคาโก หรือ CHICAGO BOARD
OF TRADE (CBOT) ได้ถือกำเนิดขึ้นจากการร่วมมือกันของกลุ่มพ่อค้าในเมืองชิคาโก
รัฐอิลลินอยส์ สินค้าชนิดแรกที่มีซื้อขายโดยการนำมาทำเป็นสัญญาซื้อขายคือ ข้าวโพด
(CORN) ซึ่งเป็นผลผลิตทางเกษตรหลักของเกษตรกรในแถบนั้น
ปริมาณสำหรับสัญญาแรกนี้คือ 3,000 BUSHELS (หน่วย BUSHEL นี้ เป็นหน่วยของการตวงครับ ไม่ใช่เป็นหน่วยของการชั่ง ทั้งนี้ 1
BUSHEL คิดเป็น 35.24 ลิตร
ครับ)
การซื้อขายใน CBOT ในช่วงแรกเป็นการทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแบบ FORWARD
CONTRACTS (ผู้ซื้อและผู้ขายตกลงคุณลักษณะของสินค้า SPEC กันเอง) ที่ไม่มีมาตรฐานที่แน่นอน
ซึ่งความไม่เป็นมาตรฐานนี้ก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ มากมาย ด้วยเหตุนี้ CBOT จึงได้เริ่มพัฒนารูปแบบการซื้อขายของตนเองให้เป็นรูปแบบของสัญญาที่มีมาตรฐาน
(STANDARDIZED CONTRACTS) ซึ่งเป็นรูปแบบคล้ายกับของตลาดข้าว DOJIMA ในญี่ปุ่นที่ซื้อขายกันมากว่า 100 ปีแล้ว
แต่การซื้อขายล่วงหน้าที่ได้พัฒนาที่ CBOT นั้น
อนุญาตให้มีการส่งมอบ-รับมอบสินค้ากันได้เมื่อสัญญาสิ้นอายุ
รูปแบบการซื้อขายล่วงหน้าใน CBOT นี้เองได้ถูกยกให้เป็นแม่แบบของการซื้อขายสินค้าล่วงหน้าในตลาดต่างๆ
ทั่วโลกที่ได้มีการวิวัฒนาการต่อๆ กันมา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น