ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2554
ปรากฏการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการลงทุนในช่วงที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน
หนีไม่พ้นเรื่อง วิกฤตการณ์ที่ประชาชนออกมาขับไล่ผู้นำประเทศ ที่มีจุดเริ่มมาจากประเทศเล็กที่มีประชากร
10 ล้านคนอย่างประเทศตูนิเชีย
จนมาถึงประเทศที่ถือได้ว่าเป็นศูนย์กลางภูมิภาคอาหรับอย่างอียิปต์
ลุกลามเข้าสู่ประเทศใกล้เคียงอย่างเยรเมน และจอร์แดน ซึ่งถือว่าไม่ธรรมดา
และมีความกลัวกันว่าสามารถจะเกิด Domino Effect จุดชนวนประท้วงรัฐบาลกันทั่วโลก
(จนบรรดาผู้นำหลายประเทศต้องรีบออกมาช่วยหาทางออกให้กับวิกฤตการณ์ดังกล่าว)
เป็นที่น่าสังเกตที่
รัฐบาลจีนก็ค่อนข้างจะซีเรียสเรื่องประท้วงในทำนองนี้
(อาจเป็นเพราะมีประสบการณ์จากเหตุการณ์ “เทียนอันเหมิน”) เห็นได้จากการกำหนดให้มีการจำกัดการเผยแพร่ข่าวเรื่องอียิปต์
และมีคำเตือนออกมาว่าหาก website ใดปฏิเสธที่จะเซ็นเซอร์ความเห็นที่เกี่ยวกับอียิปต์
จะถูกปิดด้วยกำลัง (China: What Protests?, Newsweek, 6
Feb 2011)
สาเหตุของการลุกขึ้นมาเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงของประชาชนในครั้งนี้
ว่ากันว่ามาจากหลายสาเหตุ เช่น ต้องการเรียกร้องประชาธิปไตย
เรียกร้องความเท่าเทียมกันทางสังคม ประท้วงเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำ และ
สาเหตุที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นสาเหตุหลัก นั่นคือ ปัญหาปากท้อง
ซึ่งเป็นความเดือนร้อนอันเนื่องมาจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากของราคากลุ่มสินค้าเพื่อการดำรงชีพ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าในกลุ่มอาหาร ที่เกิดภาวะ Food Inflation แล้วอย่างชัดเจน
ปฏิเสธไม่ได้ว่าในปรากฏการณ์ชุมนุมประท้วงรัฐบาลในครั้งนี้
รูปแบบการติดต่อสื่อสารทางอินเตอร์เน็ตในรูปแบบใหม่ ๆ เช่น เครือข่าย Social Media อย่าง Facebook และ Twitter หรือ
เว็ป Youtube ของ Google ต่างเข้ามามีบทบาทสำคัญในการเป็นเครื่องมือในการนัดหมาย
ระดมความคิดเห็น และแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ระหว่างผู้ชุมนุม
จนถึงขนาดรัฐบาลอียิปต์ได้ทำการสั่งปิดระบบอินเตอร์เน็ตทั่วประเทศ แต่ก็มีข่าวว่า Google
ได้จับมือกับ Twitter ในการสร้างระบบให้คนอียิปต์สามารถใช้เสียงผ่านทางโทรศัพท์ในการ
Tweet ข้อความลง Twitter ได้โดยไม่ต้องพึ่งอินเตอร์เน็ต
เห็นเหตุการณ์ March of Million ของอียิปต์
แล้วมานึกถึงประเทศไทยตอนชุมนุมประท้วงของกลุ่มคนเสื้อแดง แต่ในตอนนั้นเรามีกลุ่ม Facebook
เสื้อหลากสี นำโดยหมอตุลย์ ที่ใช้ Facebook เป็นเครื่องมือในการนัดหมาย
ระดมความคิดเห็น เพื่อสนับสนุนให้กำลังใจรัฐบาล
และคัดค้านการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ในช่วงเวลานั้น
ปัจจุบัน ก็ต้องยอมรับว่าการเข้าถึงเทคโนโลยี Social Media (เช่น Facebook และ Twitter) ก็ทำได้ง่ายมาก
จนอาจพูดได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งในการดำรงชีวิตของผู้คนยุคปัจจุบันไปแล้ว เห็นได้จาก Smart
Phone รุ่นต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น I-Phone, Blackberry, HTC,
Nokia ฯลฯ ต่างก็จะมีการลงโปรแกรมไว้ให้แล้ว และ/หรือ
เมื่อเข้าไปอ่านข่าวที่หน้าเว็ปไซด์ของสำนักข่าวชั้นนำทั้งหลายจะมี Option ให้ผู้อ่านสามารถคลิกใช้บริการ Social Media เหล่านั้นของผู้อ่านได้ทันที
ยังไม่นับรวมถึง
การที่นักการเมืองชั้นนำของไทยรุ่นใหม่ที่เริ่มนิยมที่จะสื่อสารความคิดเห็นของตนสู่สาธารณะชนผ่านทั้ง
Facebook หรือ Twitter กันมากขึ้น
ด้วยความนิยมและแพร่หลายในการแสดง และ/หรือ
แลกเปลี่ยนความคิดเห็นของผู้คนยุคนี้ผ่าน Social Media อย่าง Twitter
ทำให้ทีมนักวิจัยจาก School of Informatics and Computing ของ Indiana University และ School of
Computer Science ของ University of Manchester (ไม่ใช่จากคณะการเงิน หรือ เศรษฐศาสตร์ นะครับ)
ซึ่งมีแนวคิดว่าอารมณ์และความรู้สึกผ่านข้อความใน Twitter น่าจะมีความสัมพันธ์กับดัชนีหุ้น
Dow Jones Industrial Average (DJIA) ได้ทำการวิจัยในหัวข้อเรื่อง
“Twitter Mood Predicts the Stock Market” ด้วยการนำข้อความต่าง
ๆ ที่มีการ Tweet ใน Twitter มาวิเคราะห์ผ่าน
เครื่องมือติดตามอารมณ์ (Mood Tracking Tools) ที่ได้มีการแบ่งออกเป็นทั้งอารมณ์ด้านบวกและด้านลบ
ผลปรากฏว่า Algorithm ดังกล่าวสามารถพยากรณ์การปรับตัวเพิ่มขึ้นและลดลงของ
DJIA ในช่วงปี ค.ศ. 2008 ด้วยความแม่นยำถึง 87.6 %
(ผลงานนี้เผยแพร่สู่สาธารณชนในวันที่ 14 ตุลาคม ค.ศ. 2010
และปัจจุบันอยู่ในระหว่างขั้นตอนการพิจารณาตีพิมพ์ในวารสาร Journal of
Computational Science)
ผลงานวิจัยชิ้นนี้ได้รับการตอบรับจากผู้บริหารในอุตสาหกรรม Hedge Fund ในทันที โดยกลุ่ม Derwent Capital Markets ได้ทำการจ้างทีมนักวิจัยข้างต้น
ให้มามีส่วนจัดตั้งและบริหารกองทุนที่ชื่อว่า Derwent Absolute Return Fund
หรือ ที่ CNBC เรียกว่า “Twitter Fund”
ที่จะใช้กลยุทธ์การลงทุนจากผลวิเคราะห์ของการติดตามอารมณ์และความรู้สึกของผู้คนผ่านทาง
Social Media ซึ่งล่าสุดทราบว่าต้องเลื่อนการเปิดตัวของกองทุนออกไปจากเดิมในเดือนกุมภาพันธ์ไปเป็นเดือนเมษายนนี้
ทั้งนี้ผู้บริหารของทาง Derwent อ้างว่าเนื่องจากกองทุนได้รับการตอบรับมากเกินความคาดหมาย
จนทำให้ต้องมีการขยายขนาดเริ่มต้นของกองทุนที่แต่เดิมตั้งไว้ว่าจะเปิดตัวที่ประมาณ
25 ล้านปอนด์ โตขึ้นไปเป็นอย่างน้อย 40 ล้านปอนด์ (อ่านเพิ่มเติมใน Twitter
Hedge Fund Delays Launch, CNBC 25 Jan 2011)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น