ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 13 พฤษภาคม 2553
มาถึงตอนนี้ ผู้อ่านหลายๆ ท่านอาจจะรู้สึก (เหมือนผม)
เบื่อที่จะอ่านหรือได้ยินข่าว เกี่ยวกับ วิกฤติหนี้ของประเทศกรีซ (Greeces Sovereign
Debt) หรือ หนี้สินของประเทศ PIGS (Portugal Italy Greece และ Spain) ที่เป็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ หรือ
หน้าจอทีวี มาเป็นเวลาตั้งแต่ต้นปีมาแล้ว
โดยปัจจัยเรื่องหนี้ของกรีซได้ถูกยกขึ้นมาเป็นเหตุผลของการปรับตัวขึ้น-ลงของสินค้าต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็น ค่าเงิน พันธบัตร หุ้น หรือ สินค้าโภคภัณฑ์ ในรอบหลายเดือนที่ผ่านมา
ทั้ง ๆ ที่ Greece ได้รับอนุมัติเงินช่วยเหลือจำนวน € 110 billion จาก Eurozone และ IMF
ไปแล้ว ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (3-7 พ.ค.) มีเหตุการณ์ที่สำคัญๆ
เกิดขึ้นหลายเหตุการณ์เช่น
Moody เตือนโปรตุเกสว่าอาจถูกปรับอันดับเครดิตลง 1-2
ขั้น
การจลาจลในกรีซเพื่อประท้วงต่อต้านมาตรการการรัดเข็มขัดของรัฐบาลจนมีการเผาธนาคารและมีคนตาย
Axel Weber หนึ่งในคณะกรรมการของธนาคารกลางยุโรป (European
Central Bank; ECB) ออกมายอมรับว่าปัญหาหนี้ของกรีซนี้มีสิทธิที่จะลุกลามต่อไปยังประเทศอื่นได้
ค่าเงินยูโร (€) อ่อนค่าลงกว่า 4% เทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ ($)
อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรในประเทศกลุ่ม PIGS ต่างปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (ราคาพันธบัตรปรับตัวลดลง)
ดัชนีหุ้นทั้งภูมิภาคยุโรปปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง
(ยังไม่นับรวมการที่ดัชนี Dow Jones ร่วงไปกว่า 1,000
จุดในช่วงเวลาไม่ถึงชั่วโมง)
ราคาน้ำมันดิบดิ่งตัวลงกว่า 10 เหรียญต่อบาร์เรล หรือกว่า 12%
แสดงให้เห็นว่าปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้จบที่กรีซแล้ว
แต่ได้ขยายผลถึงความไม่เชื่อมั่นต่อประเทศอื่นในกลุ่มประเทศ Eurozone รวมถึง เกิดข้อสงสัยถึงการดำรงอยู่ของสกุลเงินของ Eurozone ที่ใช้กันมากว่า 11 ปีแล้ว อย่างเงินยูโร (€)
หลายท่านอาจจะยังสับสนระหว่างกลุ่มประเทศ Eurozone กับ กลุ่มประเทศสหภาพยุโรปหรือ European Union (EU) ที่พวกเราจะคุ้นหูกันมากกว่า
ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร
สหภาพยุโรป หรือ EU เป็นองค์การระหว่างประเทศที่สมาชิกประกอบด้วยประเทศในทวีปยุโรปจำนวน
27 ประเทศ ประเทศสมาชิกที่สำคัญได้แก่ เยอรมัน ฝรั่งเศส อังกฤษ อิตาลี สเปน หรือ
เดนมาร์ก ขณะที่กลุ่มประเทศ Eurozone เป็นกลุ่มประเทศใน EU
จำนวน 16 ประเทศที่ใช้สกุลเงินยูโร (Euro หรือ
€) เป็นสกุลเงิน มีธนาคารกลางยุโรป หรือ ECB รับผิดชอบเรื่องการกำหนดนโยบายทางการเงิน
ในขณะที่รัฐบาลแต่ละประเทศจะเป็นผู้รับผิดชอบนโยบายการคลังของแต่ละประเทศกันเอง
(ปัญหาเรื่องวิกฤติหนี้ของกรีซ ที่แก้กันไม่รู้จักจบกันซักที
ว่ากันว่ามีสาเหตุมาจากเรื่องการแยกความรับผิดชอบกันระหว่างนโยบายการเงินและการคลังของ
Eurozone นี้นั่นเอง)
ตัวอย่างของประเทศในกลุ่ม EU แต่ไม่ได้อยู่ใน Eurozone
ได้แก่ อังกฤษ และ เดนมาร์ก ที่ยังคงใช้สกุลเงินของตนเอง ได้แก่ pound
sterling (?) และ krone เป็นต้น
ในช่วงสุดสัปดาห์ที่แล้ว (8-9 พ.ค.)
รัฐมนตรีคลังและผู้บริหารที่เกี่ยวข้องในกลุ่มประเทศ Eurozone ทั้ง 16 ประเทศ ได้ร่วมกันประชุมเพื่อหาแนวทางแก้ไขวิกฤติในภาพรวม
และได้ข้อสรุปออกมาที่ค่อนข้างจะSurprise ตลาด
(เหมือนอย่างที่ประธานาธิบดี Sarkozy ของฝรั่งเศสรับประกันเอาไว้)
กล่าวคือ ผู้บริหาร Eurozone เลือกที่จะใช้อาวุธหนักเพื่อสร้างความเชื่อมั่น
โดยแยกเป็นประเด็นที่สำคัญ ดังนี้ (ยังมีประเด็นปลีกย่อยอีกมากครับ)
1. เตรียมเงินไว้ 750,000 ล้านยูโร (€ 750 billion)
หรือ เกือบ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อช่วยเหลือประเทศที่มีปัญหา
ซึ่งมากเกินพอเมื่อเปรียบกับวงเงิน € 110 billion ที่ Greece ได้รับไปก่อนหน้า
2. ECB เตรียมพร้อมที่จะเข้าแทรกแซงตลาดพันธบัตรด้วยการเข้าซื้อพันธบัตรทั้งของภาครัฐและเอกชน
โดยไม่จำกัดจำนวนวงเงิน
3. ประสานกับธนาคารกลางสหรัฐ (U.S. Federal Reserve; Fed) เพื่อเปิด
dollar swap program อีกครั้ง
(หลังจากที่เคยเปิดและปิดไปแล้ว ในวิกฤติการเงินเมื่อปีที่แล้ว)
เพื่อเตรียมพร้อมในสงครามปกป้องค่าเงินยูโร
ในวันแรกของการออกมาตรการดังกล่าว ตลาดทุกตลาด ไม่ว่าจะเป็นค่าเงิน
พันธบัตร หุ้น หรือ สินค้าโภคภัณฑ์ ล้วนตอบรับมาตรการที่ออกมานี้ในเชิงบวก
แต่ต้องยอมรับว่ามาตรการที่ออกมานี้ มิใช่เป็นแก้ปัญหาที่โครงสร้าง เป็นเพียงการซื้อเวลาออกไป
ซึ่งต่อไปต้องเป็นหน้าที่ของประเทศแต่ละประเทศที่จะต้องลดรายจ่ายภาครัฐ
และเพิ่มรายได้ของตนด้วยการขึ้นภาษี ซึ่งต้องยอมรับกันว่าเป็นงานหินมาก
(เห็นได้จากความรุนแรงที่เกิดขึ้นใน Greece) เนื่องจากอัตราภาษีของประเทศในประเทศแถบยุโรปนี้มีอัตราที่สูงมากอยู่แล้ว
รายละเอียดและคำอธิบายของวิกฤติหนี้โลกรอบนี้
ท่านผู้สนใจสามารถหาอ่านเพิ่มเติมในบทความของ BIS หรือ Bank of
International Settlement ธนาคารกลางของธนาคารกลางทั่วโลก เรื่อง The
future of public debt: prospects and implications ครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น