วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

EUROZONE ซื้อเวลา

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 13 พฤษภาคม 2553

มาถึงตอนนี้ ผู้อ่านหลายๆ ท่านอาจจะรู้สึก (เหมือนผม) เบื่อที่จะอ่านหรือได้ยินข่าว เกี่ยวกับ วิกฤติหนี้ของประเทศกรีซ (Greeces Sovereign Debt) หรือ หนี้สินของประเทศ PIGS (Portugal Italy Greece และ Spain) ที่เป็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ หรือ หน้าจอทีวี มาเป็นเวลาตั้งแต่ต้นปีมาแล้ว โดยปัจจัยเรื่องหนี้ของกรีซได้ถูกยกขึ้นมาเป็นเหตุผลของการปรับตัวขึ้น-ลงของสินค้าต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ค่าเงิน พันธบัตร หุ้น หรือ สินค้าโภคภัณฑ์ ในรอบหลายเดือนที่ผ่านมา

ทั้ง ๆ ที่ Greece ได้รับอนุมัติเงินช่วยเหลือจำนวน 110 billion จาก Eurozone และ IMF ไปแล้ว ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (3-7 พ.ค.) มีเหตุการณ์ที่สำคัญๆ เกิดขึ้นหลายเหตุการณ์เช่น

Moody เตือนโปรตุเกสว่าอาจถูกปรับอันดับเครดิตลง 1-2 ขั้น
การจลาจลในกรีซเพื่อประท้วงต่อต้านมาตรการการรัดเข็มขัดของรัฐบาลจนมีการเผาธนาคารและมีคนตาย
Axel Weber หนึ่งในคณะกรรมการของธนาคารกลางยุโรป (European Central Bank; ECB) ออกมายอมรับว่าปัญหาหนี้ของกรีซนี้มีสิทธิที่จะลุกลามต่อไปยังประเทศอื่นได้
ค่าเงินยูโร (€) อ่อนค่าลงกว่า 4% เทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ ($)
อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรในประเทศกลุ่ม PIGS ต่างปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (ราคาพันธบัตรปรับตัวลดลง)
ดัชนีหุ้นทั้งภูมิภาคยุโรปปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง (ยังไม่นับรวมการที่ดัชนี Dow Jones ร่วงไปกว่า 1,000 จุดในช่วงเวลาไม่ถึงชั่วโมง)
ราคาน้ำมันดิบดิ่งตัวลงกว่า 10 เหรียญต่อบาร์เรล หรือกว่า 12%
แสดงให้เห็นว่าปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้จบที่กรีซแล้ว แต่ได้ขยายผลถึงความไม่เชื่อมั่นต่อประเทศอื่นในกลุ่มประเทศ Eurozone รวมถึง เกิดข้อสงสัยถึงการดำรงอยู่ของสกุลเงินของ Eurozone ที่ใช้กันมากว่า 11 ปีแล้ว อย่างเงินยูโร (€)

หลายท่านอาจจะยังสับสนระหว่างกลุ่มประเทศ Eurozone กับ กลุ่มประเทศสหภาพยุโรปหรือ European Union (EU) ที่พวกเราจะคุ้นหูกันมากกว่า ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร

สหภาพยุโรป หรือ EU เป็นองค์การระหว่างประเทศที่สมาชิกประกอบด้วยประเทศในทวีปยุโรปจำนวน 27 ประเทศ ประเทศสมาชิกที่สำคัญได้แก่ เยอรมัน ฝรั่งเศส อังกฤษ อิตาลี สเปน หรือ เดนมาร์ก ขณะที่กลุ่มประเทศ Eurozone เป็นกลุ่มประเทศใน EU จำนวน 16 ประเทศที่ใช้สกุลเงินยูโร (Euro หรือ €) เป็นสกุลเงิน มีธนาคารกลางยุโรป หรือ ECB รับผิดชอบเรื่องการกำหนดนโยบายทางการเงิน ในขณะที่รัฐบาลแต่ละประเทศจะเป็นผู้รับผิดชอบนโยบายการคลังของแต่ละประเทศกันเอง (ปัญหาเรื่องวิกฤติหนี้ของกรีซ ที่แก้กันไม่รู้จักจบกันซักที ว่ากันว่ามีสาเหตุมาจากเรื่องการแยกความรับผิดชอบกันระหว่างนโยบายการเงินและการคลังของ Eurozone นี้นั่นเอง)

ตัวอย่างของประเทศในกลุ่ม EU แต่ไม่ได้อยู่ใน Eurozone ได้แก่ อังกฤษ และ เดนมาร์ก ที่ยังคงใช้สกุลเงินของตนเอง ได้แก่ pound sterling (?) และ krone เป็นต้น

ในช่วงสุดสัปดาห์ที่แล้ว (8-9 พ.ค.) รัฐมนตรีคลังและผู้บริหารที่เกี่ยวข้องในกลุ่มประเทศ Eurozone ทั้ง 16 ประเทศ ได้ร่วมกันประชุมเพื่อหาแนวทางแก้ไขวิกฤติในภาพรวม และได้ข้อสรุปออกมาที่ค่อนข้างจะSurprise ตลาด (เหมือนอย่างที่ประธานาธิบดี Sarkozy ของฝรั่งเศสรับประกันเอาไว้) กล่าวคือ ผู้บริหาร Eurozone เลือกที่จะใช้อาวุธหนักเพื่อสร้างความเชื่อมั่น โดยแยกเป็นประเด็นที่สำคัญ ดังนี้ (ยังมีประเด็นปลีกย่อยอีกมากครับ)

1. เตรียมเงินไว้ 750,000 ล้านยูโร (750 billion) หรือ เกือบ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อช่วยเหลือประเทศที่มีปัญหา ซึ่งมากเกินพอเมื่อเปรียบกับวงเงิน 110 billion ที่ Greece ได้รับไปก่อนหน้า

2. ECB เตรียมพร้อมที่จะเข้าแทรกแซงตลาดพันธบัตรด้วยการเข้าซื้อพันธบัตรทั้งของภาครัฐและเอกชน โดยไม่จำกัดจำนวนวงเงิน

3. ประสานกับธนาคารกลางสหรัฐ (U.S. Federal Reserve; Fed) เพื่อเปิด dollar swap program อีกครั้ง (หลังจากที่เคยเปิดและปิดไปแล้ว ในวิกฤติการเงินเมื่อปีที่แล้ว) เพื่อเตรียมพร้อมในสงครามปกป้องค่าเงินยูโร

ในวันแรกของการออกมาตรการดังกล่าว ตลาดทุกตลาด ไม่ว่าจะเป็นค่าเงิน พันธบัตร หุ้น หรือ สินค้าโภคภัณฑ์ ล้วนตอบรับมาตรการที่ออกมานี้ในเชิงบวก แต่ต้องยอมรับว่ามาตรการที่ออกมานี้ มิใช่เป็นแก้ปัญหาที่โครงสร้าง เป็นเพียงการซื้อเวลาออกไป ซึ่งต่อไปต้องเป็นหน้าที่ของประเทศแต่ละประเทศที่จะต้องลดรายจ่ายภาครัฐ และเพิ่มรายได้ของตนด้วยการขึ้นภาษี ซึ่งต้องยอมรับกันว่าเป็นงานหินมาก (เห็นได้จากความรุนแรงที่เกิดขึ้นใน Greece) เนื่องจากอัตราภาษีของประเทศในประเทศแถบยุโรปนี้มีอัตราที่สูงมากอยู่แล้ว

รายละเอียดและคำอธิบายของวิกฤติหนี้โลกรอบนี้ ท่านผู้สนใจสามารถหาอ่านเพิ่มเติมในบทความของ BIS หรือ Bank of International Settlement ธนาคารกลางของธนาคารกลางทั่วโลก เรื่อง The future of public debt: prospects and implications ครับ

บทสรุปสุดท้ายของวิกฤติหนี้รอบนี้ ผู้เขียนขอเรียนตามตรงว่า ไม่กล้าฟันธงครับ (เนื่องจากสามารถออกมาได้หลายรูปแบบมาก) ทราบเพียงแต่ว่า ในสภาวการณ์แบบนี้นักลงทุนควรลงทุนด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่งครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น