วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

การเก็งกำไร: แพะตัวเก่าที่ถูกนำมาเล่าใหม่

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 3 กรกฎาคม 2551

วันศุกร์ที่ 27 มิ.ย.2551 ที่ผ่านมา สภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐอเมริกา (US House of Representatives) ผ่านกฎหมายที่มีผลบังคับให้ คณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าล่วงหน้าของสหรัฐ (U.S. Commodity Futures Trading Commission; US CFTC) ต้องใช้อำนาจฉุกเฉินตามกฎหมาย ที่มีอยู่ในการเข้าตรวจสอบและควบคุมพฤติกรรมการเก็งกำไร ในการซื้อขายน้ำมันล่วงหน้า ด้วยคะแนนเสียงท่วมท้นถึง 402 ต่อ 16 เสียง แต่ก่อนที่กฎหมายจะมีผลใช้บังคับร่างดังกล่าวต้องได้รับความเห็นชอบของวุฒิสภา (US Senate) ด้วย

การผ่านร่างกฎหมายดังกล่าวของสภาผู้แทนสหรัฐ ผนวกกับการออกมาให้ความเห็นของ ส.ส. บางราย แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่านักการเมืองเริ่มไม่พอใจกับการทำงานของ CFTC ที่ไม่ยอมดำเนินการใดกับการเก็งกำไรราคาน้ำมัน (นักการเมืองส่วนใหญ่คิดว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้น้ำมันมีราคาแพง) จึงได้พยายามผ่านกฎหมายนี้ออกมาเพื่อกดดันให้ CFTC ต้องทำการอย่างหนึ่งอย่างใดกับการเก็งกำไรในสถานการณ์น้ำมันแพง

ทั้งๆ ที่ในช่วงเวลาที่ผ่านมาทั้งรัฐมนตรีคลังสหรัฐ Henry Paulson ประธาน CFTC Walter Lukken พ่อมดการเงิน George Soros และหัวหน้าฝ่ายข้อมูลของกระทรวงพลังงานสหรัฐ Guy Caruso ต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า การปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันในครั้งนี้ เกิดขึ้นจากปัจจัยพื้นฐานด้านอุปสงค์และอุปทาน

แต่ที่ชัดเจนที่สุด น่าจะเป็นคำชี้แจงเมื่อ 15 พ.ค.2551 ของ DR. Jeffrey Harris CFTC Chief Economist แก่คณะกรรมาธิการด้านเกษตรของสภาผู้แทนสหรัฐ ที่สรุปว่าการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งรวมไปถึงสินค้าเกษตรล่วงหน้าและพลังงานนั้น ไม่ได้ถูกปั่นขึ้นด้วยการเก็งกำไร แต่ราคาของสินค้าล้วนปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากปัจจัยทางเศรษฐศาสตร์ทั้งด้านจุลภาค และมหภาค (Micro and Macro Economic) (ที่เราๆ ท่านๆ ต่างก็ได้ยินผ่านหน้าหนังสือพิมพ์มานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว)

รวมไปถึง 1. Demand เพิ่มขึ้นจากประเทศกำลังพัฒนา 2.Supply ลดลงเนื่องจากภูมิอากาศที่ผิดปกติไปทั่วโลก (เช่น ในประเทศจีนและอินเดีย) หรือปัญหาการเมืองระหว่างประเทศ และ 3.การอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ที่ร่วมกันเป็น "Perfect Strom" ที่ทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวเพิ่มขึ้น

ในงานเดียวกันนี้ DR.Harris ก็ไม่ลืมจะยกเครดิตให้นักเก็งกำไร (Speculator) ว่าเป็นผู้ที่เพิ่มสภาพคล่องและข้อมูลข่าวสารให้ตลาด ซึ่งมีส่วนช่วยในการลดต้นทุนการบริหารความเสี่ยง สำหรับผู้ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าโภคภัณฑ์ชนิดนั้น (ซึ่งเป็นประโยชน์ของการเก็งกำไรที่ทุกคนทั้งในวงการรู้กันดีอยู่แล้ว)

แต่ก็ดูเหมือน จะไม่เป็นที่ถูกใจนักการเมืองทั้งหลาย ที่พยายามจะยัดเยียดความผิดการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาที่ตนไม่เข้าใจให้กับนักเก็งกำไร เหตุการณ์อย่างนี้ มิใช่เพิ่งเคยเกิดขึ้น แต่ความพยายามที่จะโจมตีการเก็งกำไร ซึ่งบางครั้งรวมถึงการโจมตีการซื้อขายล่วงหน้าทั้งระบบไปด้วย (อาทิ การโจมตีว่าการซื้อขายล่วงหน้าเป็นการซื้อขายกระดาษ เป็นเพียงแค่การพนันซึ่งไม่มีประโยชน์ต่อระบบตลาดโดยรวมแต่อย่างไร) ได้เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ 100 ปีที่แล้ว (และคงจะเกิดขึ้นอีกในอนาคต อย่างแน่นอน)

ตัวอย่างของกรณีที่เลวร้ายที่สุดของการโจมตีการซื้อขายล่วงหน้า น่าจะเป็น กรณีที่เกิดขึ้นในรัฐอิลลินอยส์ (ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองชิคาโกศูนย์กลางการซื้อขายล่วงหน้าของโลก) ในปี ค.ศ. 1867 (พ.ศ.2410) สภาของรัฐอิลลินอยส์ได้ผ่านร่างและบังคับใช้กฎหมายว่า ผู้ใดที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าถือว่าเป็นการทำสัญญาเกี่ยวกับเล่นการพนัน มีโทษปรับ 1,000 ดอลลาร์และจำคุกไม่เกินหนึ่งปี ซึ่งในตอนนั้นคณะกรรมการของตลาดล่วงหน้าชิคาโก หรือ Chicago Board Of Trade (CBOT) ได้ถูกจับกุมเพื่อดำเนินคดีข้อหาดังกล่าว

ว่ากันว่ามีความพยายามในการเสนอร่างกฎหมายมากกว่า 100 ฉบับที่ได้มีการยื่นเข้าสภาผู้แทน (ส.ส.) ของสหรัฐ โดยมีจุดประสงค์ที่จะห้ามการซื้อขายล่วงหน้า (Futures Trading) ในสหรัฐ แต่ก็โชคดีที่ร่างกฎหมายส่วนใหญ่จะไม่ผ่านความเห็นชอบของสภาผู้แทนฯ แต่ก็มีบางฉบับที่ผ่านสภาผู้แทนแต่ไม่ผ่านวุฒิสภา ยกเว้นในปี ค.ศ.1958 (พ.ศ.2501) ที่ทั้งสภาผู้แทนและวุฒิสภาได้ผ่านกฎหมาย Onion Futures Act ออกมาเพื่อห้ามการซื้อขายล่วงหน้า ONION FUTURES หรือ "หัวหอม" ใน Chicago Mercantile Exchange (CME)

การซื้อขายหัวหอมล่วงหน้าที่สหรัฐในช่วงนั้น ถูกโจมตีว่า เป็นต้นเหตุให้ราคาหัวหอมเกิดความผันผวน ส่งผลกระทบต่อผู้ที่เกี่ยวข้องกับหัวหอม โดยเฉพาะผู้ที่น่าจะได้รับประโยชน์จากการซื้อขายหัวหอมล่วงหน้า เช่น สมาคมหัวหอมแห่งชาติ (National Onion Association) ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ช่วงเวลาก่อนจะที่มีการซื้อขายหัวหอมล่วงหน้าใน CME ราคาของหัวหอมในตลาดจริง (Spot Market) มีความผันผวนมากกว่าในช่วงที่มีการซื้อหัวหอมล่วงหน้าเสียอีก อีกทั้งยังไม่มีทฤษฎีใดที่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะแสดงว่า เมื่อมีการซื้อขายล่วงหน้าในสินค้าชนิดใดแล้ว จะเป็นการเพิ่มความผันผวนของราคาในสินค้าชนิดดังกล่าว

จึงมีข้อสังเกตที่ตามมาว่า การโจมตีการซื้อขาย Onion Futures ในครั้งนั้น อาจมีวัตถุประสงค์อื่น เช่น คนในวงการซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนกลาง ไม่อยากให้มีการซื้อขายล่วงหน้า เพราะว่าการซื้อขายล่วงหน้าจะช่วยสะท้อนข้อมูลที่ถูกต้องชัดเจน เกี่ยวกับการซื้อขายสินค้าหัวหอมให้เป็นข้อมูลสาธารณะที่สามารถเข้าถึงได้ (ทำให้เขาเหล่านั้นมีข้อได้เปรียบด้านข้อมูลลดน้อยลง) แต่คนในวงการอาจชอบที่จะเห็นข้อมูลเกี่ยวกับตัวสินค้าหัวหอม โดยรู้กันเองอยู่เพียงไม่กี่คน ซึ่งอาจทำให้คนในวงการสามารถนำไปใช้หาประโยชน์จากเกษตรกรและผู้บริโภคได้ง่ายกว่าตอนมีการซื้อขายล่วงหน้า (อ่านรายละเอียดได้ใน The Futures Game โดย Teweles and Jones)

หันกลับมาดูที่ประเทศไทยของเรา ก็พบว่ายังมีผู้คนจำนวนมากที่เชื่อว่าการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า (เช่น การซื้อขายใน AFET) เป็นเพียงแค่การซื้อขายกระดาษที่ส่งเสริมให้คนมาซื้อขายเก็งกำไรไปวันๆ เท่านั้น ทั้งที่ในความเป็นจริง การซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้านั้น จะช่วยให้ระบบการซื้อขายสินค้าเกษตรของประเทศโดยรวมทำงานได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

ทั้งด้านกระบวนการสะท้อนราคาข้อมูลข่าวสารของสินค้าเกษตร และยังเป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการความเสี่ยงให้ผู้ประกอบการ เพื่อให้ได้รับรายได้ที่สม่ำเสมอและมีเสถียรภาพ (ไม่ได้ซื้อ/ขายที่ราคาสูงสุด ขณะเดียวกันก็จะไม่ได้ซื้อ/ขายที่ราคาที่ต่ำสุด แต่การรู้ราคาที่ตนจะได้รับเป็นการล่วงหน้านั้น ทำให้ผู้ประกอบการเหล่านี้สามารถวางแผนการผลิต หรือการตลาดของตนให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดได้)

คงเป็นหน้าที่ของผู้ที่เกี่ยวข้องที่จะต้องทำหน้าที่ชี้แจงทำความเข้าใจกับสังคมกันต่อไปครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น