วันนี้ผมอยากจะเล่าให้ทราบถึงความแตกต่างของการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
(Futures
Trading) ในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (Agricultural
Futures Exchange of Thailand หรือ AFET) ของใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในประเทศเรานั้น
ว่ามีความแตกต่างอย่างไรไปจากการซื้อขายสินค้าเกษตรที่กระทำกันอยู่แล้วในปัจจุบันทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ
การซื้อขายสินค้าเกษตรที่คุ้นเคยกันอยู่ในปัจจุบัน
อาจทำกันตามตลาดสินค้าที่กระจายอยู่ทั่วประเทศตัวอย่างของตลาดสินค้าที่พวกเราคุ้นเคยกันดี
ได้แก่ ตลาดสดตามชุมชน ตลาดไทย ตลาดสี่มุมเมือง ท่าข้าวกำนันทรงที่นครสวรรค์
ตลาดกลางยางพาราที่หาดใหญ่ หรือตลาดกลางกุ้งกุลาที่มหาชัย
ซึ่งการซื้อขายในตลาดดังกล่าวทีว่านี้ เรียกกันว่า การซื้อขายในตลาดสินค้าจริง
หรือ ตลาดปัจจุบัน (Spot or Cash Market) ซึ่งโดยทั่วไป
ผู้ซื้อ-ผู้ขายใน ตลาดสินค้าจริงเหล่านี้ จะตกลงซื้อขายกันทันทีในตลาด
และมีการส่งมอบสินค้าและการจ่ายเงินกัน ณ ช่วงเวลานั้น
การซื้อขายสินค้าเกษตรอีกรูปแบบหนึ่ง
ที่เป็นรู้จักกันดีของคนไทย คือ
การซื้อขายสินค้าล่วงหน้าแบบผู้ซื้อผู้ขายตกลงเงื่อนไขกันเองนอกตลาด หรือ
ที่รู้จักในนามของการซื้อขายแบบทำสัญญา Forward ตัวอย่างของการซื้อขายแบบ
Forward เช่น โรงสีไปทำตกลงเงื่อนไขสัญญาซื้อข้าวเปลือก 8
ตัน ล่วงหน้ากับชาวนาก่อนที่ชาวนาจะทำการปลูกข้าว หรือ โรงงานผลิตยางแผ่น
ที่หาดใหญ่ ไปทำสัญญาขายล่วงหน้ายางแผ่น 11 ตัน กับบริษัทผลิตยางรถยนต์ที่แหลมฉบัง
ที่จะส่งมอบยางแผ่นในอีก 3 เดือนข้างหน้า เป็นต้น
การซื้อขายในรูปแบบ Forward
ที่ว่านี้จะทำกันนอกตลาด กล่าวคือ
ผู้ซื้อและผู้ขายตกลงเงื่อนไขของสัญญาและราคากันเองโดยไม่มีตัวกลาง
ซึ่งการซื้อขายสัญญาแบบตกลงเงื่อนไขกันเองโดยไม่มีตัวกลางนี้
มีทั้งข้อดีและข้อเสีย โดยข้อดีคือ สัญญา Forward ที่ว่าจะความยืดหยุ่นสูงเนื่องจากสัญญานั้นเกิดจากความพึงพอใจทั้งของผู้ซื้อและผู้ขาย
ผู้ซื้อ-ผู้ขายจะตกลงเงื่อนไขสัญญากันอย่างไรก็ได้หากคู่กรณีเห็นดีเห็นงามด้วย
เช่น อาจจะตกลงขายยางแผ่นที่น้ำหนัก 1.666 ตัน เป็นต้น
ข้อเสียของการซื้อขายแบบ Forward
คือ สัญญา Forward นั้นจะมีข้อผูกพันจนถึงวันครบกำหนดรับมอบส่งมอบที่ระบุไว้ในสัญญา
ข้อผูกพันดังกล่าวทำให้เกิดความไม่คล่องตัวในกรณีที่ผู้ซื้อหรือผู้ขายไม่ต้องการส่งหรือรับสินค้าชนิดนั้นแล้ว
เพราะว่าสัญญา Forward ที่ว่านี้ไม่มีมาตรฐานทำให้หาผู้มารับช่วงสัญญาได้ยาก
(หรือที่เราเรียกว่า ไม่มีสภาพคล่อง) ฉะนั้นหากผู้ซื้อ-ขายไม่ต้องการรับมอบ-ส่งมอบสินค้าจริงแล้ว
คู่สัญญาอาจเบี้ยวสัญญาโดยไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ได้สัญญากันไว้
เพื่อเป็นการแก้ข้อจำกัดของการซื้อขายแบบ Forward
จึงได้มีการพัฒนารูปแบบสัญญาซื้อขายที่เป็นมาตรฐานที่เรียกกันว่า Futures
Contracts ที่ออกแบบให้ซื้อขายกันในตลาดสินค้าล่วงหน้า (Futures
Exchange) โดยเราจะเรียกการซื้อขายล่วงหน้าในตลาดล่วงหน้าแบบนี้ว่า Futures
Trading ตลาดสินค้าล่วงหน้าจะเป็นผู้กำหนดขนาด คุณสมบัติ
คุณภาพและปริมาณของสินค้า คำสั่งซื้อและคำสั่งขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
จะมาจับคู่กันที่ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า ตลาด ฯ
จะทำหน้าที่เป็นตัวกลางและรับประกันการซื้อขายที่เกิดขึ้น
หากกรณีที่คู่สัญญาไม่สามารถส่งมอบสินค้าได้ ตลาดจะหาสินค้ามาส่งให้ผู้ซื้อแทน
ดังนั้นผู้ซื้อ-ผู้ขายจะสามารถมั่นใจได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ว่า ธุรกรรมของตนในตลาด ฯ
จะไม่มีการเบี้ยว เพราะว่าตลาด ฯ เป็นผู้รับความเสี่ยงดังกล่าวให้แทน
ข้อดีอีกข้อหนึ่งของการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าในตลาดสินค้าล่วงหน้า
คือ ความคล่องตัวในการปลดภาระของสัญญาของตนที่มีอยู่ในตลาด ฯ
ผู้ซื้อหรือผู้ขายล่วงหน้าในตลาด ฯ ที่ไม่ต้องการรับมอบหรือส่งมอบสินค้า
ก็สามารถหักล้าง (Offset) สัญญา ที่ตนถืออยู่ได้
โดยการส่งคำสั่งขายหรือซื้อ (คำสั่งชนิดตรงข้ามกับที่ตนถืออยู่)
ของสัญญาชนิดเดียวกันที่ตนถืออยู่
โดยผู้ซื้อจะได้กำไรหากราคาขายที่ขายได้สูงกว่าราคาซื้อที่เคยซื้อไว้เดิม
(ซื้อถูกขายคืนแพง) ในทำนองเดียวกัน ผู้ขายจะได้กำไรหากราคาซื้อที่ซื้อได้ตอนหลังถูกกว่าราคาขายที่ขายได้เดิม
(ขายแพงซื้อคืนถูก) การส่งคำสั่งชนิดตรงข้ามเข้ามาในตลาดนี้
เรียกว่าการปลดภาระสัญญา หรือฝรั่งเรียกว่า การ Offset ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ซื้อหรือผู้ขายหมดภาระผูกพันที่มีอยู่กับตลาด
ฯ โดยไม่ต้องทำการส่งมอบ-รับมอบสินค้าจริง
ดังเช่นทุกสรรพสิ่งในโลก
สิ่งใดถ้ามีข้อดีก็จะต้องมีข้อด้อย
การซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าก็มีข้อจำกัด คือ
ผู้ซื้อ-ขายจะต้องซื้อขายอย่างน้อย 1 สัญญา ไม่สามารถซื้อ ครึ่งสัญญา หรือ 2/3
สัญญาได้ ซึ่งในกรณีข้าวขาว 5 % สัญญาได้ระบุไว้ว่าจะซื้อขายสัญญาละ 20 ตัน
ผู้ซื้อ-ผู้ขายก็ต้องซื้อขายกันเป็นหน่วย 20, 40, 60 ตัน (หรือ 1, 2, 3 สัญญา
ตามลำดับ) ผู้ขายที่ต้องการขายข้าวแค่ 22 ตัน จะสามารถขายได้แค่ 20 ตันเท่านั้น
การกำหนดดังกล่าวช่วยให้ตลาด ฯ มีสภาพคล่อง
ทำให้ผู้ซื้อและผู้ขายสามารถปลดภาระสัญญาและสามารถออกจากตลาด ฯ ได้โดยง่าย
ได้เห็นกันคร่าว ๆ แล้วว่า
การซื้อขายเกษตรล่วงหน้าในตลาดสินค้าล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (ต.ส.ล.)
มีความแตกต่างจากการซื้อขายที่ผู้ประกอบการไทยทำกันอยู่ อย่างไรก็ดี
การซื้อขายสินค้าล่วงหน้าที่ทำกันใน ต.ส.ล. นั้น ไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อมาทดแทน
การซื้อขายในตลาดสินค้าจริง (Spot Market) แต่ ต.ส.ล.
จัดตั้งขึ้นเพื่อเสริมกลไกการซื้อขายสินค้าที่มีอยู่แล้ว
โดยจะเพิ่มประสิทธิภาพของระบบตลาดสินค้าเกษตรทั้งระบบ
ซึ่งหน้าที่และกลไกของตลาดสินค้าล่วงหน้าว่าจะมาเสริมระบบตลาดสินค้าที่มีอยู่แล้วอย่างไร
จะมีการอธิบายขยายความกันในตอนต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น