วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ความรู้เกี่ยวกับตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า (3) การซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า แตกต่างจากการซื้อขายสินค้าเกษตรที่มีอยู่แล้วอย่างไร

วันนี้ผมอยากจะเล่าให้ทราบถึงความแตกต่างของการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า (Futures Trading) ในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (Agricultural Futures Exchange of Thailand หรือ AFET) ของใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในประเทศเรานั้น ว่ามีความแตกต่างอย่างไรไปจากการซื้อขายสินค้าเกษตรที่กระทำกันอยู่แล้วในปัจจุบันทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ

การซื้อขายสินค้าเกษตรที่คุ้นเคยกันอยู่ในปัจจุบัน อาจทำกันตามตลาดสินค้าที่กระจายอยู่ทั่วประเทศตัวอย่างของตลาดสินค้าที่พวกเราคุ้นเคยกันดี ได้แก่ ตลาดสดตามชุมชน ตลาดไทย ตลาดสี่มุมเมือง ท่าข้าวกำนันทรงที่นครสวรรค์ ตลาดกลางยางพาราที่หาดใหญ่ หรือตลาดกลางกุ้งกุลาที่มหาชัย ซึ่งการซื้อขายในตลาดดังกล่าวทีว่านี้ เรียกกันว่า การซื้อขายในตลาดสินค้าจริง หรือ ตลาดปัจจุบัน (Spot or Cash Market) ซึ่งโดยทั่วไป ผู้ซื้อ-ผู้ขายใน ตลาดสินค้าจริงเหล่านี้ จะตกลงซื้อขายกันทันทีในตลาด และมีการส่งมอบสินค้าและการจ่ายเงินกัน ณ ช่วงเวลานั้น

การซื้อขายสินค้าเกษตรอีกรูปแบบหนึ่ง ที่เป็นรู้จักกันดีของคนไทย คือ การซื้อขายสินค้าล่วงหน้าแบบผู้ซื้อผู้ขายตกลงเงื่อนไขกันเองนอกตลาด หรือ ที่รู้จักในนามของการซื้อขายแบบทำสัญญา Forward ตัวอย่างของการซื้อขายแบบ Forward เช่น โรงสีไปทำตกลงเงื่อนไขสัญญาซื้อข้าวเปลือก 8 ตัน ล่วงหน้ากับชาวนาก่อนที่ชาวนาจะทำการปลูกข้าว หรือ โรงงานผลิตยางแผ่น ที่หาดใหญ่ ไปทำสัญญาขายล่วงหน้ายางแผ่น 11 ตัน กับบริษัทผลิตยางรถยนต์ที่แหลมฉบัง ที่จะส่งมอบยางแผ่นในอีก 3 เดือนข้างหน้า เป็นต้น

การซื้อขายในรูปแบบ Forward ที่ว่านี้จะทำกันนอกตลาด กล่าวคือ ผู้ซื้อและผู้ขายตกลงเงื่อนไขของสัญญาและราคากันเองโดยไม่มีตัวกลาง ซึ่งการซื้อขายสัญญาแบบตกลงเงื่อนไขกันเองโดยไม่มีตัวกลางนี้ มีทั้งข้อดีและข้อเสีย โดยข้อดีคือ สัญญา Forward ที่ว่าจะความยืดหยุ่นสูงเนื่องจากสัญญานั้นเกิดจากความพึงพอใจทั้งของผู้ซื้อและผู้ขาย ผู้ซื้อ-ผู้ขายจะตกลงเงื่อนไขสัญญากันอย่างไรก็ได้หากคู่กรณีเห็นดีเห็นงามด้วย เช่น อาจจะตกลงขายยางแผ่นที่น้ำหนัก 1.666 ตัน เป็นต้น

ข้อเสียของการซื้อขายแบบ Forward คือ สัญญา Forward นั้นจะมีข้อผูกพันจนถึงวันครบกำหนดรับมอบส่งมอบที่ระบุไว้ในสัญญา ข้อผูกพันดังกล่าวทำให้เกิดความไม่คล่องตัวในกรณีที่ผู้ซื้อหรือผู้ขายไม่ต้องการส่งหรือรับสินค้าชนิดนั้นแล้ว เพราะว่าสัญญา Forward ที่ว่านี้ไม่มีมาตรฐานทำให้หาผู้มารับช่วงสัญญาได้ยาก (หรือที่เราเรียกว่า ไม่มีสภาพคล่อง) ฉะนั้นหากผู้ซื้อ-ขายไม่ต้องการรับมอบ-ส่งมอบสินค้าจริงแล้ว คู่สัญญาอาจเบี้ยวสัญญาโดยไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ได้สัญญากันไว้

เพื่อเป็นการแก้ข้อจำกัดของการซื้อขายแบบ Forward จึงได้มีการพัฒนารูปแบบสัญญาซื้อขายที่เป็นมาตรฐานที่เรียกกันว่า Futures Contracts ที่ออกแบบให้ซื้อขายกันในตลาดสินค้าล่วงหน้า (Futures Exchange) โดยเราจะเรียกการซื้อขายล่วงหน้าในตลาดล่วงหน้าแบบนี้ว่า Futures Trading ตลาดสินค้าล่วงหน้าจะเป็นผู้กำหนดขนาด คุณสมบัติ คุณภาพและปริมาณของสินค้า คำสั่งซื้อและคำสั่งขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า จะมาจับคู่กันที่ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า ตลาด ฯ จะทำหน้าที่เป็นตัวกลางและรับประกันการซื้อขายที่เกิดขึ้น หากกรณีที่คู่สัญญาไม่สามารถส่งมอบสินค้าได้ ตลาดจะหาสินค้ามาส่งให้ผู้ซื้อแทน ดังนั้นผู้ซื้อ-ผู้ขายจะสามารถมั่นใจได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ว่า ธุรกรรมของตนในตลาด ฯ จะไม่มีการเบี้ยว เพราะว่าตลาด ฯ เป็นผู้รับความเสี่ยงดังกล่าวให้แทน

ข้อดีอีกข้อหนึ่งของการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าในตลาดสินค้าล่วงหน้า คือ ความคล่องตัวในการปลดภาระของสัญญาของตนที่มีอยู่ในตลาด ฯ ผู้ซื้อหรือผู้ขายล่วงหน้าในตลาด ฯ ที่ไม่ต้องการรับมอบหรือส่งมอบสินค้า ก็สามารถหักล้าง (Offset) สัญญา ที่ตนถืออยู่ได้ โดยการส่งคำสั่งขายหรือซื้อ (คำสั่งชนิดตรงข้ามกับที่ตนถืออยู่) ของสัญญาชนิดเดียวกันที่ตนถืออยู่ โดยผู้ซื้อจะได้กำไรหากราคาขายที่ขายได้สูงกว่าราคาซื้อที่เคยซื้อไว้เดิม (ซื้อถูกขายคืนแพง) ในทำนองเดียวกัน ผู้ขายจะได้กำไรหากราคาซื้อที่ซื้อได้ตอนหลังถูกกว่าราคาขายที่ขายได้เดิม (ขายแพงซื้อคืนถูก) การส่งคำสั่งชนิดตรงข้ามเข้ามาในตลาดนี้ เรียกว่าการปลดภาระสัญญา หรือฝรั่งเรียกว่า การ Offset ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ซื้อหรือผู้ขายหมดภาระผูกพันที่มีอยู่กับตลาด ฯ โดยไม่ต้องทำการส่งมอบ-รับมอบสินค้าจริง

ดังเช่นทุกสรรพสิ่งในโลก สิ่งใดถ้ามีข้อดีก็จะต้องมีข้อด้อย การซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าก็มีข้อจำกัด คือ ผู้ซื้อ-ขายจะต้องซื้อขายอย่างน้อย 1 สัญญา ไม่สามารถซื้อ ครึ่งสัญญา หรือ 2/3 สัญญาได้ ซึ่งในกรณีข้าวขาว 5 % สัญญาได้ระบุไว้ว่าจะซื้อขายสัญญาละ 20 ตัน ผู้ซื้อ-ผู้ขายก็ต้องซื้อขายกันเป็นหน่วย 20, 40, 60 ตัน (หรือ 1, 2, 3 สัญญา ตามลำดับ) ผู้ขายที่ต้องการขายข้าวแค่ 22 ตัน จะสามารถขายได้แค่ 20 ตันเท่านั้น การกำหนดดังกล่าวช่วยให้ตลาด ฯ มีสภาพคล่อง ทำให้ผู้ซื้อและผู้ขายสามารถปลดภาระสัญญาและสามารถออกจากตลาด ฯ ได้โดยง่าย

ได้เห็นกันคร่าว ๆ แล้วว่า การซื้อขายเกษตรล่วงหน้าในตลาดสินค้าล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (ต.ส.ล.) มีความแตกต่างจากการซื้อขายที่ผู้ประกอบการไทยทำกันอยู่ อย่างไรก็ดี การซื้อขายสินค้าล่วงหน้าที่ทำกันใน ต.ส.ล. นั้น ไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อมาทดแทน การซื้อขายในตลาดสินค้าจริง (Spot Market) แต่ ต.ส.ล. จัดตั้งขึ้นเพื่อเสริมกลไกการซื้อขายสินค้าที่มีอยู่แล้ว โดยจะเพิ่มประสิทธิภาพของระบบตลาดสินค้าเกษตรทั้งระบบ ซึ่งหน้าที่และกลไกของตลาดสินค้าล่วงหน้าว่าจะมาเสริมระบบตลาดสินค้าที่มีอยู่แล้วอย่างไร จะมีการอธิบายขยายความกันในตอนต่อไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น