ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 18 มกราคม 2550
หลายท่านคงได้ยินข่าวคราวเกี่ยวกับนโยบายการระบายข้าวสารในสต็อกรัฐบาล
ของท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ท่าน เกริกไกร จีระแพทย์ มาบ้างนะครับ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นการเพิ่มช่องทางการระบายข้าวสารของรัฐบาลผ่านตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย
(AFET) โดยใช้หลักการที่จะให้นำสต็อกข้าวรัฐบาลที่มีอยู่
มาแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ
ส่วนหนึ่งนำออกประมูลขายตามที่เคยปฏิบัติกันมา และอีกส่วนหนึ่งนำมาขายผ่าน AFET
โดยท่านเกริกไกร
ได้ให้เหตุผลประกอบนโยบายของท่านว่า "การนำข้าวสารในสต็อกของรัฐบาล
ไประบายผ่านในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า
เพราะต้องการเพิ่มช่องทางการระบายข้าวในโครงการรับจำนำของรัฐบาล
เพื่อทำให้ระบบตลาดข้าวทั้งระบบ ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ โดยกลไกค้นหาราคา
สามารถสะท้อนราคาข้าวที่เป็นจริง หากประสบความสำเร็จ
จะขยายเป็นสินค้าเกษตรชนิดอื่น" (กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 25 ธ.ค. 2549)
ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนนะครับว่า การที่รัฐบาลมีข้าวสารค้างสต็อกอยู่ในมือ
สาเหตุสำคัญเนื่องมาจากโครงการรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐบาลที่แล้วๆ มา
ที่เข้ารับจำนำข้าวเปลือกจากพี่น้องเกษตรกรผู้ปลูกข้าว
แล้วพี่น้องเกษตรกรไม่ยอมมาไถ่ถอนข้าวของตนคืนไป อาจเป็นด้วยเหตุผลใดก็ตาม เช่น
เกษตรกรอาจเห็นว่าการขายข้าวกับรัฐบาลนั้นได้ราคาที่ดีกว่า ได้รับความสะดวกกว่า
ได้รับเงินแน่นอน ดีกว่าที่จะขายข้าวในท้องถิ่นที่อาจถูกกดราคาจากพ่อค้า
หรือถูกอิทธิพลข่มขู่ไม่ยอมจ่ายเงิน
แต่ก็มักมี
ข้อครหาถึงการกำหนดราคารับจำนำข้าวเปลือกที่สูงเกินกว่าราคาตลาด
และความไม่โปร่งใสของผู้ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการรับจำนำ ซึ่งส่งผลให้โครงการนี้
มักก่อให้เกิดความเสียหายแก่ภาครัฐ เป็นภาระด้านภาษีอากรของประชาชน อาทิเช่น
การที่รัฐบาลชุดปัจจุบัน ต้องตั้งงบประมาณเพื่อชดเชยความเสียหาย
ที่เกิดขึ้นจากโครงการรับจำนำเป็นจำนวนถึง 23,079 ล้านบาท
ในปีงบประมาณ 2550 เพื่อชำระหนี้
และเงินต้นของคณะกรรมการนโยบาย และมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.)
ที่ใช้อุดหนุนค่าใช้จ่ายโครงการรับจำนำสินค้าเกษตรของรัฐบาลที่ผ่านมา (มติชน 17 พ.ย. 2549)
เป็นเรื่องที่น่ายินดีครับว่า รัฐบาลนี้ได้ตระหนักถึงปัญหานี้เป็นอย่างดี
จึงได้ปรับปรุงนโยบายการรับจำนำข้าว สำหรับปี 2550 ใหม่
โดยให้กำหนดราคารับจำนำข้าวเปลือกไว้ที่ระดับราคาที่เหมาะสม
สอดคล้องกับภาวะตลาดข้าวโดยรวมไปถึงการจัดส่งหน่วยทหารไปช่วยดูแลความเรียบร้อยในระหว่างขั้นตอนการรับประมูล
เพื่อป้องกันการทุจริตใดๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ระหว่างขั้นตอนการรับจำนำ
(ดูรายละเอียดได้ใน "หม่อมอุ๋ย" ชำแหละนโยบายข้าวทักษิณ, ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 30 ต.ค.- 1 พ.ย. 2549)
ปัจจุบัน
ราคาข้าวที่เอกชนรับซื้อจากเกษตรกร
เริ่มปรับตัวสูงกว่าราคารับจำนำบ้างแล้วครับ
โดยราคาข้าวเปลือกหอมมะลิ อยู่ที่ตันละ 8,750-9,100
บาท แต่ราคารับจำนำอยู่ที่ตันละ 8,700-9,000 บาท
และราคาข้าวเจ้า 5% อยู่ที่ตันละ 6,500- 6,800 บาท ราคารับจำนำอยู่ที่ 6,400 บาท
(กรมประชาสัมพันธ์, วันที่ 10 ม.ค. 2550)
ผลของการที่ราคาตลาด สูงกว่าราคารับจำนำ ดังกล่าว
ทำให้เกิดความเป็นไปได้ว่า
ข้าวสารจะเข้าสู่โกดังรัฐบาลในปีนี้ไม่น่าจะมากเหมือนปีที่แล้ว
(ที่ราคาตลาดต่ำกว่า ราคารับจำนำ แต่อาจจะมีบ้าง เนื่องจากอาจมีเกษตรกรบางรายที่เลือกที่จะจำนำกับรัฐบาลแล้วไม่ยอมมาไถ่ถอนคืน
ทั้งๆ ที่สามารถขายข้าวให้พ่อค้าท้องถิ่นที่ราคาสูงกว่า)
แต่ข้าวสารจากโครงการรับจำนำที่ได้เข้าสู่โกดังของรัฐบาลมาแล้ว
รัฐบาลก็ต้องหาทางขายข้าวที่มีอยู่ในมือนี้ออกไป
ซึ่งทางเลือกในปัจจุบันก็คือ เปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจมาซื้อข้าวจากโกดังรัฐบาลด้วยวิธีการประมูล
(ซึ่งโดยปกติแล้วจะจัดให้มีการประมูลโดยกรมการค้าต่างประเทศ
หรือองค์การคลังสินค้า) หรือจะตกลงขายข้าวให้รัฐบาลประเทศอื่นในรูปแบบจีทูจี (GOVERNMENT
TO GOVERNMENT)
อย่างกรณีล่าสุดนี้
รัฐบาลไทยได้ตกลงขายข้าวขาวชนิด 100% ชั้น 2 ในฤดูกาลผลิต 2549/2550 ให้รัฐบาลอิหร่าน ปริมาณ 200,000 ตัน ราคาตันละ 320 ดอลลาร์สหรัฐ รวมมูลค่า 64 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สูงกว่าราคาตลาด ณ วันที่ตกลงขายที่ตันละ 317 ดอลลาร์สหรัฐ โดยชำระเป็นเงินสด
และกำหนดส่งมอบระหว่างเดือนกุมภาพันธ์-พฤษภาคม 2550 (กรุงเทพธุรกิจ
23 ธ.ค. 2549)
ซึ่งตามหน้าที่หลักของรัฐบาลแล้ว
รัฐบาลไม่มีหน้าที่โดยตรงที่จะรับซื้อข้าวภายในประเทศ
หรือส่งออกขายข้าวไปยังต่างประเทศ
แต่มีหน้าที่หลักในการสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เช่น ถนน ไฟฟ้า ประปา สนามบิน
กองเรือ ตลาดกลาง หรือสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นใดที่จะส่งเสริมให้เกิดบรรยากาศที่น่าลงทุน
หรือเหมาะสมกับการทำมาค้าขาย มากกว่า
แต่เนื่องจากในปัจจุบันนี้ ยังมีข้าวสารจำนวนหนึ่งยังอยู่ในมือรัฐบาล
โครงการระบายข้าวภาครัฐผ่าน AFET ตามนโยบายของท่านรัฐมนตรีเกริกไกร
จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของรัฐบาลนอกเหนือไปทางแนวปฏิบัติที่มีอยู่เดิม
โดยวิธีการและเงื่อนไขการระบายข้าวด้วยวิธีนี้จะแตกต่างไปจากการประมูลข้าวด้วยวิธีเดิมที่กำหนดให้ผู้เข้าร่วมประมูลส่งราคาเสนอซื้อข้าวเข้ามา
(เช่น 10,000 บาท ต่อตัน) และตัดสินผู้ชนะการประมูลจาก
ผู้ที่เสนอราคาเข้ามาสูงที่สุด
วิธีการระบายข้าวผ่าน AFET ของกระทรวงพาณิชย์ในครั้งนี้
จะเป็นการผสมผสานระหว่าง การประมูลข้าวแบบเดิม กับ
การเข้ามามีส่วนร่วมและใช้ประโยชน์จาก AFET เปิดทางให้ AFET
ได้ทำหน้าที่สมตามวัตถุประสงค์
ทั้งในด้านของการเป็นเครื่องมือบริหารความเสี่ยง (HEDGING TOOL) และการทำหน้าที่เป็นแหล่งเผยแพร่ราคาอ้างอิง (PRICE REFERENCE) ของสินค้าเกษตรล่วงหน้า
และที่แน่ๆ ก็คือ
ผู้ที่จะได้ข้าวกองที่จะผ่าน AFET กองนี้
ต้องเข้าร่วมประมูลกับหน่วยงานภาครัฐตามเงื่อนไขใหม่
และต้องเข้ามาซื้อสัญญาซื้อขายล่วงหน้าของ AFET ด้วย
ส่วนรายละเอียดขั้นตอนอยู่ในระหว่างขั้นตอนเปิดรับฟังความคิดเห็น และ
ให้ความรู้แก่ผู้เกี่ยวข้องนั้น คาดว่า
ทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า (ก.ส.ล.) และ AFET จะร่วมกันแถลงให้ทราบถึงรายละเอียดของโครงการระบายข้าวผ่าน AFET นี้ แก่ผู้ที่สนใจ ได้ในอาทิตย์หน้า (วันที่ 23 ก.พ.
2550) จึงเป็นเรื่องชวนให้ติดตามต่อไปนะครับว่า โครงการ การระบายข้าวผ่าน AFET ที่ว่านี้ จะลงเอย หรือจะมีบทสรุปที่ชัดเจนอย่างไร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น