วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ข้าวไทย กับ การใช้ประโยชน์ใน AFET

ที่มา:หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 24 เมษายน 2551

การปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องของราคาสินค้าข้าวในปัจจุบัน หลายท่านคงได้เห็นปรากฏการณ์ "ของฝากจากข้าวสาร" กันบ้างแล้ว โดยที่พ่อแม่พี่น้องที่กลับภูมิลำเนาในช่วงเทศกาลสงกรานต์ กลับเข้ามากรุงเทพฯ รอบนี้ ต่างหอบเอาข้าวสารติดมือกลับมาด้วย ถือได้ว่าเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยได้เห็นในประเทศที่ถือได้ว่าเป็นอู่ข้าวอู่น้ำอย่างบ้านเรา

ทำให้นึกถึงวิสัยทัศน์ของประธานธนินท์ เจียรวนนท์ กลุ่มซีพี ที่เคยกล่าวไว้ว่า ปัจจุบันเครื่องจักรกำลังแย่งกินอาหารของมนุษย์ "อาหารมนุษย์" ได้ถูกแย่งไปเป็น "อาหารเครื่องจักร" ทำให้พื้นที่การปลูกพืชที่เป็นอาหารมนุษย์ทั่วโลกบางส่วน ถูกแย่งนำไปผลิตพืชพลังงานทดแทน เพื่อชดเชยราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง (จนปัจจุบันแตะที่ระดับ 119 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลแล้ว) ทำให้น้ำมันขึ้นรอบนี้ฉุดเอาสินค้าเกษตรประเภทอาหารทุกประเภทปรับตัวเพิ่มขึ้นไปด้วย

ล่าสุดผู้บริหารของธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (ADB) ได้ให้ความเห็นว่า รัฐบาลทั่วโลกควรทบทวนนโยบายส่งเสริมการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพ เพราะเป็นการลดพื้นที่ปลูกพืชเป็นอาหารไปใช้ปลูกพืชผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพมากขึ้น การที่รัฐบาลประเทศพัฒนาแล้วให้เงินอุดหนุนเกษตรกรปลูกพืชผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพ จะทำให้เกษตรกรปลูกพืชเป็นอาหารน้อยลง ส่งผลให้อาหารหลัก เช่น น้ำมันปาล์ม และข้าวโพด มีราคาแพงขึ้น (กรุงเทพธุรกิจ 22 เม.ย.2551)

การปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาข้าวครั้งนี้ ส่งผลกระทบต่อราคาอาหารชนิดอื่นๆ เช่น เส้นขนมจีน เส้นก๋วยเตี๋ยว แป้งข้าวเจ้า อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เมื่อคำนวณตามต้นทุน คนไทยมีต้นทุนค่าข้าวจริงๆ 3 บาทต่อคนต่อมื้อ ตามที่ท่านนายกฯสมัครกล่าวในรายการ "สนทนาประสาสมัคร" เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

ส่วนตัวคิดว่า หากจำเป็นต้องจ่ายข้าวแพงขึ้นอีกมื้อละ 1 บาท แต่หากเป็นการช่วยพี่น้องชาวนาไทยมีความสุขจากการขายข้าวได้ราคาดี ผมถือว่าคุ้มค่ามากครับ ดีกว่าเอาเงินไปซื้อเครื่องดื่มฟุ่มเฟือยที่เห็นกันอยู่ดาษดื่น เช่น น้ำบรรจุกระป๋องต่างๆ ซึ่งขายกันเกือบกระป๋องละยี่สิบบาท

ปัจจุบันหากพูดถึงราคาข้าวในประเทศ ราคาที่มักจะถูกกล่าวถึง คือ ราคาขายส่งข้าว ณ ตลาดกรุงเทพ รายงานโดยสำนักส่งเสริมการค้าสินค้าเกษตร กรมการค้าภายใน ซึ่งเป็นราคาเฉพาะเนื้อข้าวไม่รวมบรรจุภัณฑ์ (โดยราคา ณ วันที่ 22 เม.ย.2551 ราคาข้าวขาว 5% ประมาณ 26,500 บาท/ตัน) เป็นราคาต้นทุนก่อนที่จะถูกนำบรรจุถุงแล้วขายผ่าน Modern Trade หรือนำใส่กระสอบแล้วตักขายตามร้านชำ

แต่ถ้าถามถึงราคาตลาดโลกสำหรับสินค้าข้าว ยังไม่มีแหล่งอ้างอิงราคาตลาดโลก เห็นมีแต่ราคารายงานโดยสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย ไม่เหมือนกับสินค้าเกษตรอื่นๆ ที่สำคัญที่จะมีตลาดสินค้าล่วงหน้าที่ผู้ค้าใช้อิงราคากัน เช่น ข้าวโพด ข้าวสาลี ถั่วเหลือง ราคาตลาดโลกมักถูกอ้างอิงด้วยราคาใน Chicago Board of Trade (ปัจจุบันเปลี่ยนเป็น CME Group ไปแล้ว) สินค้าจำพวกกาแฟ Robusta โกโก้ ฝ้าย และน้ำตาลทรายดิบ ราคาตลาดโลกมักถูกอ้างอิงด้วยราคาใน New York Board of Trade (ปัจจุบันเป็นสาขาหนึ่งของ Intercontinental Exchange ไปแล้ว) สินค้ากาแฟ Arabica และ น้ำตาลทรายขาว ราคาตลาดโลกมักถูกอ้างอิงด้วยราคาใน Euronext ที่ลอนดอน ยางพารา ราคาตลาดโลกมักถูกอ้างอิงด้วยราคาใน Tokyo Commodity Exchange และ Singapore Commodity Exchange น้ำมันปาล์มดิบ ราคาตลาดโลกมักถูกอ้างอิงด้วยราคาใน Bursa Malaysia

แม้ตลาดใหญ่ระดับโลกอย่าง Chicago Board of Trade จะซื้อขายข้าวประเภทข้าวเปลือก (Rough Rice) แต่ราคาดังกล่าวก็ไม่ค่อยเป็นที่นิยมใช้เป็นราคาอ้างอิงสำหรับราคาตลาดโลกสำหรับข้าวมากนัก เนื่องจากเป็นสัญญาการซื้อขายประเภทข้าวเปลือกที่เน้นการซื้อขายภายในประเทศสหรัฐเอง อีกทั้งปริมาณการซื้อขายของ Rough Rice Futures ก็มีจำนวนไม่มากเท่าไรนัก

ถือเป็นโอกาสดีสำหรับตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย หรือ AFET ในฐานะเป็นตลาดของประเทศผู้ส่งออกข้าวอันดับ 1 ที่จะต้องเร่งทำงานสร้าง Position ในการที่จะเป็นตลาดล่วงหน้าที่ผู้ค้าข้าวทั่วโลกจะหันมาใช้อ้างอิงราคา และเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารความเสี่ยงด้านราคา ให้ได้ตามวัตถุประสงค์การจัดตั้งตลาด ก่อนถูกเวียดนามในฐานะผู้ส่งออกข้าวอันดับ 2 (ซึ่งอยู่ในระหว่างจัดตั้งตลาดซื้อขายล่วงหน้า) แซงหน้าไปได้

ช่วงแห่งความผันผวนของราคาสินค้าข้าวนี้ AFET ควรเร่งประชาสัมพันธ์ และเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจให้ผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้อง ให้รู้ถึงวิธีการใช้ประโยชน์จาก AFET ที่ภาครัฐได้จัดตั้งขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำให้ผู้คนวงการข้าวไทยปรับเปลี่ยนวิถีรูปแบบการค้าเดิมโดยการยอมรับนวัตกรรมใหม่ๆ อย่าง AFET (แต่เก่ามากแล้วในต่างประเทศ เพราะมีมากว่าร้อยปีแล้ว) มาเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินธุรกิจของตน เช่นเดียวกันกับการบริหารความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (เช่น การทำ swap หรือการซื้อค่าเงิน forward) ในช่วงก่อนวิกฤติเศรษฐกิจปี พ.ศ.2540 ที่ต้องรอเห็นผลเสียหายที่เป็นรูปธรรม (ได้แก่ การเจ๊งจากการกู้เป็น U.S.Dollar แล้วไม่ทำการบริหารความเสี่ยงไว้) กว่าผู้ประกอบการจะหันมาเห็นความสำคัญของการบริหารความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา

ในทำนองเดียวกัน หากผู้ประกอบการข้าวประสบกับปัญหาในเรื่องความเสี่ยงที่เกิดจากความผันผวนของราคาข้าว เช่นล่าสุดก็มีข่าวในทำนองว่าผู้ส่งออกไทยไม่ยอมรับ order ซื้อล่วงหน้าจากผู้ซื้อต่างประเทศ โดยรอจนกว่าจะมีข้าวอยู่ในสต็อกพร้อมเสียก่อน ซึ่งในประเด็นนี้ทางท่านเลขาธิการคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า (ก.ส.ล.) ดร.ชัยพัฒน์ สหัสกุล ก็ได้ให้คำแนะนำกับผู้ส่งออกข้าวในภาวะที่ราคาข้าวมีความผันผวนสูง ว่าควรลดความเสี่ยงด้วยการเข้ามาซื้อข้าวล่วงหน้าใน AFET ไว้ก่อน เพราะสามารถกำหนดต้นทุนที่แน่นอน และสามารถรับคำสั่งซื้อจากลูกค้าในต่างประเทศในราคาที่มีกำไรได้ ทำให้ไม่จำเป็นต้องมีข้าวเก็บไว้ในสต็อกสินค้า (เดลินิวส์ 22 เม.ย.2551)

ต้องรอดูกันต่อไปว่า จะมีผู้ประกอบการข้าวไทยเข้ามาใช้ประโยชน์จาก AFET มากน้อยเพียงใด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น