ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 25 กันยายน 2551
ในสภาวการณ์วิกฤตการณ์การเงินในขณะนี้
จะเชยมากถ้าไม่กล่าวถึงสถานการณ์ ที่กำลังเกิดกับประเทศทุนนิยมที่ใหญ่ที่สุดของโลก
นั่นคือ ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ในช่วงแค่ 1 เดือนที่ผ่านมา มีเหตุการณ์ตื่นเต้น
(ที่ไม่น่าจะเป็นไปได้) เกิดขึ้นติดต่อกันมาอย่าง Series ละคร เช่น
การเกือบล้มของ Fannie Mae และ Freddie Mac (หน่วยงานกึ่งรัฐที่ทำหน้าที่ปล่อยกู้ซื้อบ้านให้แก่ประชาชน)
จนรัฐต้องเข้าไปยึดกิจการให้เป็นของรัฐ (หรือที่เรียกกันว่าการ Nationalization)
ถัดมาก็เป็น การประกาศล้มละลายของบริษัท Lehman
Brothers วาณิชธนกิจขนาดยักษ์ซึ่งนับได้ว่าเป็นการล้มละลายที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐ
(ด้วยสินทรัพย์กว่า 6 แสนล้านดอลลาร์) แล้วก็มี เหตุการณ์ที่รัฐบาลสหรัฐ
เข้าไปช่วยเหลือบริษัท AIG บริษัทประกันที่ใหญ่ที่สุดของอเมริกาที่มีสินทรัพย์กว่า
1 ล้านล้านดอลลาร์ (บริษัทแม่ของ AIA บ้านเรา)
ด้วยเหตุผลที่ว่าบริษัทนี้ใหญ่เกินกว่าที่จะปล่อยให้ล้มละลายได้
(เพราะหากปล่อยให้ล้มไปจะกระทบกับผู้คนเป็นจำนวนมาก)
ล่าสุดเมื่อวันที่ 19 กันยายน ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีจอร์จ บุช
ได้ประกาศแผนการช่วยเหลือสถาบันการเงินครั้งใหญ่ของกระทรวงการคลังสหรัฐ
ที่เบื้องต้นมีมูลค่าสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 7 แสนล้านดอลลาร์ (ประมาณ 24.5
ล้านล้านบาท หรือ ประมาณ 14 เท่า เมื่อเทียบกับงบประมาณปีนี้ของรัฐบาล 1.8
ล้านล้านบาทของประเทศไทยเรา) ซึ่งรัฐบาลต้องนำเข้าผ่านสภาคองเกรส (ทั้งสภาผู้แทนฯ
และวุฒิสภา) เพื่อขอความเห็นชอบบังคับใช้เป็นกฎหมาย ก่อนที่กระทรวงการคลังสหรัฐ (Department of
Treasury) จะสามารถทำงานตามแผนที่วางไว้ได้
วิกฤตการณ์ทางการเงินครั้งนี้ ถือว่าใหญ่โตหนักหนามากครับ
ถึงขนาดที่ปู่อลัน กรีนสแปน อดีตประธานธนาคารกลางสหรัฐ (FED) กล่าวว่าเป็นเหตุการณ์ที่ 100 ปีจะเกิดขึ้นสักครั้งหนึ่ง
ซึ่งสาเหตุของวิกฤติครั้งนี้มีจุดเริ่มต้นมาจาก
ภาวะฟองสบู่แตกของอสังหาริมทรัพย์ในอเมริกา
ซึ่งถูกปั่นขึ้นมาจากการกำหนดดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ
ที่ต่ำและนานเกินไปของปู่อลัน กรีนสแปนเอง (1-2 %ในช่วงปี ค.ศ.2001 ถึงปี
ค.ศ.2004)
ขณะที่ผมเขียนบทความชิ้นนี้อยู่ ผมได้ติดตามข่าวคราวที่ Henry Paulsonรัฐมนตรีคลังของสหรัฐ Ben Bernanke ประธาน FED
และ Christopher Cox ประธาน ก.ล.ต. ของสหรัฐ
ได้เข้าให้การกับคณะกรรมาธิการการธนาคาร (Banking Committee) ของวุฒิสภาสหรัฐ (US Senate) โดยสมาชิกของกรรมาธิการส่วนใหญ่ยังข้องใจเกี่ยวกับรายละเอียดของข้อเสนอที่มีเพียง
3 หน้ากระดาษ แต่มีมูลค่าถึง 7 แสนล้านดอลลาร์ของนาย Paulson และมีข้อวิจารณ์ออกมาอย่างมากมาย เช่น
ข้อเสนอมีเนื้อหาที่กว้างและให้อำนาจรัฐมนตรีคลังมากเกินไป เปรียบได้กับการขอ Blank
Check (เช็คที่ยังไม่ได้กรอกจำนวนเงิน)
ขณะที่นาย Bernanke ประธาน FED ให้ความเห็นว่า
หากสภาคองเกรสไม่ผ่านข้อเสนอดังกล่าวโดยเร็ว
ประเทศสหรัฐอเมริกาคงนี้ไม่พ้นจะประสบกับความเสี่ยงในการหดตัวของเศรษฐกิจ
อีกทั้งด้วยภาวะความเปราะบางของตลาดการเงินสหรัฐ ดังปัจจุบัน
หากเงินยังไม่สามารถถูกทำให้หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไปได้โดยเร็วแล้ว
คนจะถูกให้ออกจากงานมากขึ้น อสังหาริมทรัพย์ก็จะถูกยึดโดยเจ้าหนี้มากขึ้น
เศรษฐกิจก็จะตกอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถกลับฟื้นคืนมาได้มาเป็นปกติได้ในเร็ววัน
ส่วนตัวแล้วผมไม่รู้สึกแปลกใจเลยกับท่าทีของสมาชิกของสภาคองเกรส
(ทั้งผู้แทนฯ และวุฒิสมาชิก) ส่วนใหญ่ที่ อิดออด
ไม่ยอมจะให้เรื่องนี้ผ่านไปโดยเร็ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีสมาชิกจำนวนมากที่กระตือรือร้นอยากจะเข้ามามีส่วนร่วม/เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ
(เช่น ตั้งคำถาม คัดค้าน หรือเสนอแผนทางเลือกใหม่)
ทั้งนี้อาจจะเหตุผลมาจากการเลือกตั้งในสหรัฐ ที่กำลังจะมีขึ้นอีกเพียง 6
สัปดาห์ข้างหน้า ฉะนั้นจึงน่าเป็นโอกาสดีที่จะ Acting กันบ้าง
โดยการปรากฏตัวให้ความเห็นผ่านสื่อต่าง ๆ
เพื่อให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งทางบ้านได้เห็นหน้าค่าตากัน
แต่ในที่สุดแล้ว
ด้วยความเห็นแก่ส่วนรวมมากกว่าส่วนตัวของนักการเมืองอเมริกัน
ผมเชื่อว่าทั้งทำเนียบขาว (หรือตัวรัฐบาล) และสภาคองเกรส
ก็คงสามารถตกลงกันได้ในรายละเอียดของกฎหมายดังกล่าว
และก็คงมีการออกกฎหมายเพื่อช่วยเหลือสถาบันการเงินนี้ออกมา
ซึ่งเนื้อหาใจความก็หนีไม่พ้นที่จะให้อำนาจกระทรวงการคลังเข้าไปซื้อหนี้เน่าของธนาคารและสถาบันการเงินที่เกี่ยวข้อง
ซึ่งเป็นการช่วยให้ตัวเลขทางบัญชีของสถาบันการเงินเหล่านี้ดีขึ้น
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้สถาบันการเงินเหล่านี้ยินดีที่จะปล่อยเงินกู้ยืมระหว่างกัน
ทำให้เงินสามารถหมุนเวียนในระบบได้มากขึ้น
เม็ดเงินที่กระทรวงการคลังสหรัฐจะเอาเข้ามาซื้อหนี้เน่าของสถาบันการเงินนั้นก็หนีไม่พ้นจากการสร้างหนี้เพิ่ม
ซึ่งในที่สุดก็จะตกเป็นภาระของคนอเมริกัน โดยตัวเลขหนี้ของสหรัฐฯ
ในปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 9.7 ล้านล้านดอลลาร์เข้าไปแล้ว ซึ่งยังไม่รวมถึงหนี้ 5.2
ล้านล้านดอลลาร์ของ Fannie Mae และ Freddie Mac ที่รัฐบาลเข้าไปรับมาก่อนหน้านี้
ซึ่งหากสถานการณ์ต่าง ๆ ยังไม่ดีขึ้น เช่น อย่างที่ปู่อลัน กรีนสแปน พยากรณ์ไว้ว่า
ตลาดบ้านในสหรัฐจะยังไม่ถึงจุดต่ำสุดจนกระทั่งถึงช่วงต้นปีหน้า (พ.ศ. 2552)
ภาระหนี้ของรัฐบาลก็จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ฉะนั้นตามความเห็นของผมนั้น
หลังจากที่สภาคองเกรสผ่านกฎหมายช่วยเหลือสถาบันการเงินแล้ว
สภาพของตลาดเงินในสหรัฐก็น่าที่จะดีขึ้น
แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าหนี้ที่รัฐบาลอเมริกันรับเพิ่มเข้ามา ก็อาจจะเน่าลงไปเรื่อยๆ
ซึ่งรัฐบาลก็คงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากออกพันธบัตรให้ธนาคารกลาง
แล้วให้ธนาคารกลางพิมพ์แบงก์ออกมาเพื่อจ่ายหนี้ การกระทำอย่างนี้ผนวกกับนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากๆ
ของนาย Bernanke ทั้งแนวโน้มการลดดอกเบี้ย FED Fund Rate ลงอีก
และ/หรือ การสร้างเครื่องมือต่างๆ ที่จะอัดฉีดเงินเข้าระบบ
แน่นอนว่าจะทำให้ค่าเงินดอลลาร์มีแนวโน้มที่จะอ่อนค่าลงไปเรื่อยๆ
ผู้ซื้อ/ผู้ขายในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ต่างประเทศ
ดูเหมือนจะเข้าใจประเด็นต่างๆ เหล่านี้เป็นอย่างดี
สังเกตจากทันทีที่ประธานาธิบดีบุช และ Pualson ประกาศแผนมาตรการช่วยเหลือ
7 แสนล้านดอลลาร์ออกมา
ราคาสินค้าโภคภัณฑ์แทบทุกตัวต่างปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงทันที เช่น
น้ำมันดิบปรับตัวเพิ่มขึ้นทันที 19 ดอลลาร์ หรือ 15.65% ทองคำปรับตัวเพิ่ม 29
ดอลลาร์ต่อออนซ์ 3.35% หรือดัชนีสินค้าโภคภัณฑ์อย่าง Goldman Sach
Commodity Index (GSCI) ก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 8.95%
ในระหว่างวันที่ 19 และวันที่ 22 กันยายน 2551 แต่ด้วยท่าทีอิดออด
ไม่ยอมจะให้เรื่องนี้ผ่านไปโดยเร็วของสมาชิกสภาคองเกรสส่วนใหญ่ ในวันที่ 23
กันยายน ทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ส่วนใหญ่ปรับตัวฐานลดลงไป 1-2%
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น