ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 5 กรกฎาคม 2550
หลายท่าน ณ
ที่นี้คงเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย หรือ The
Agricultural Futures Exchange of Thailand (AFET) มาบ้างนะครับ และ
ผมก็ยังเชื่ออีกว่าหลายท่านในที่นี้รู้แล้วด้วยว่ากระบวนการซื้อขายล่วงหน้าใน AFET
ที่เราเรียกกันว่า Futures Trading นั้นกระทำกันและมีขั้นตอนอย่างไร
อย่างไรก็ดี
อาจเป็นเพราะยังไม่มีการอธิบายขยายความกันเป็นที่กว้างขวางและเพียงพอนะครับ
ทำให้ยังมีการถกเถียงกันในหลายวงการ และ เวทีเสวนา
(ซึ่งบางครั้งอาจก่อให้เกิดความสับสน) ครับว่า องค์กรที่ชื่อว่า AFET
ซึ่งตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ. การซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. 2542 นั้น
มีประโยชน์หรือผลดีต่อประเทศชาติของเราทั้งในด้านสังคมและเศรษฐกิจอย่างไร
ก่อนที่ผมจะถือโอกาสกล่าวถึงประโยชน์ของ AFET
ให้ท่านผู้อ่านได้ทราบกัน ผมขออนุญาตเขียนย้ำถึงหน้าที่หลักของ AFET
รวมถึงตลาดสินค้าล่วงหน้าที่มีอยู่ทั่วโลกว่ามีหน้าที่ 1.
เป็นเครื่องมือในการค้นหาราคาในอนาคต (Price Discovery) และ
2. เป็นเครื่องมือให้ผู้ประกอบการใช้ในการบริหารความเสี่ยงด้านราคา (Hedging
Tool)
ซึ่งการทำหน้าที่หลักทั้งสองประการของ AFET
นี้มีประโยชน์และผลดีหลายประการ ประโยชน์ประการแรก
เนื่องมาจากข้อมูลการซื้อขายใน AFET เป็นข้อมูลที่เปิดเผย
ที่มีการเผยแพร่ในหน้าหนังสือพิมพ์รายวัน สื่อวิทยุโทรทัศน์ เป็นราคาที่เกิดจาก Demand
และ Supply ของสินค้าชนิดนั้น ๆ ในอนาคต (เช่น
อีก 2 4 หรือ 6 เดือนข้างหน้า)
ซึ่งทางวิชาการพบว่าไม่ปรากฏราคาจากเครื่องมือพยากรณ์ใดที่ดีกว่าราคาในตลาดล่วงหน้า
ซึ่งเป็นข้อมูลสาธารณะไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งแน่นอนย่อมคุ้มกว่า การจ้างที่ปรึกษาราคาแพงมาสร้างโมเดลที่สลับซับซ้อนเพื่อพยายามที่จะพยากรณ์ราคาล่วงหน้าเพื่อวางแผนธุรกิจในอีก
2 4 หรือ 6 เดือนข้างหน้า
ข้อมูลล่วงหน้านี้จึงจะเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับในการวางแผนล่วงหน้า
สำหรับผู้ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าเกษตรชนิดนั้น ได้แก่ ผู้ส่งออก โรงแปรรูป เกษตรกร
ตลอดจนหน่วยงานภาครัฐ อาทิ ผู้ส่งออกสามารถเห็นใช้ราคาข้าวขาว 5%
เดือนส่งมอบสิงหาคม 2550 (BWR5 Aug07)
ใน AFET ไปเป็นฐานในการเจรจาขายข้าวที่จะส่งมอบในเดือนสิงหาคม
2550 กับ ผู้ซื้อข้าวในต่างประเทศ
ซึ่งราคานี้จะเป็นตัวช่วยให้การเจรจาต่อรองอยู่ในฐานของการค้าการขายที่เป็นจริง
มิใช่ให้ผู้ซื้อในต่างประเทศเป็นผู้กำหนดราคาจากข้อมูลด้านผู้ซื้อแต่ฝ่ายเดียว
อีกตัวอย่างของประโยชน์ของราคาล่วงหน้าใน AFET
คือ การที่รัฐบาลสามารถใช้ราคาใน AFET ประกอบนโยบายมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร
เช่น โดยอาศัยราคาล่วงหน้าใน AFET ส่งมอบปลายปี 2550
รัฐบาลอาจประกาศล่วงหน้าเลยตั้งแต่เดี๋ยวนี้ (กรกฏาคม 2550)
ว่าจะประกันราคาขั้นต่ำ (Min Price) ที่เหมาะสมสำหรับสินค้าเกษตรช่วงปลายปี
2550 นี้เท่ากับเท่าไร (ประกาศแล้วห้ามเปลี่ยน)
ซึ่งจะทำให้เกษตรกรได้ทราบถึงราคาที่แย่ที่สุดที่ตนจะได้รับหากลงมือเพาะปลูกเดี๋ยวนี้
(กรกฏาคม 2550) โดยเกษตรกรผู้ต้องการร่วมโครงการต้องมาลงทะเบียนกับรัฐบาล
(การลงทะเบียนนี้ทำให้สามารถรัฐบาลประมาณการ Supply ที่จะออกมาช่วงปลายปีได้)
วิธีนี้ เกษตรกรก็ Happy เพราะว่าเหมือนมีคนมาประกันราคาขั้นต่ำให้
ขณะเดียวกันรัฐบาลเองก็สามารถวางแผนงบประมาณสำหรับโครงการช่วยเหลือนี้ได้อย่างเหมาะสม
(ไม่เหมือนกับโครงการรับจำนำปัจจุบันที่จะรอให้มี Supply ของสินค้าเกษตรชนิดนั้น
ๆ ออกมาก่อนค่อยประกาศราคารับจำนำ)
ส่วนประโยชน์ของ AFET
ในฐานะที่เป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงด้านราคา (Hedging
Tool) นั้น ก็มีอยู่หลายประการ เช่น
ทำให้ต้นทุนความเสี่ยงด้านราคาของผู้ประกอบการลดลง
กรณีเมื่อผู้ประกอบนั้นเข้ามาใช้ AFET ในการทำ Hedging
(ซึ่งโดยปกติแล้วต้นทุนความเสี่ยง Price Risk Premium นี้มักจะถูกผลักภาระไปให้ผู้ผลิต/เกษตรกร ผู้บริโภค หรือไม่ก็รัฐบาล)
ซึ่งถือว่าการลดลงต้นทุนความเสี่ยงนี้
เป็นการลดต้นทุนโดยรวมให้กับระบบเศรษฐกิจของประเทศ
การมีเครื่องมือการบริหารความเสี่ยงด้านราคา (Hedging
Tool) สามารถช่วยให้
ธนาคารพาณิชย์สามารถเสนออัตราดอกเบี้ยเงินกู้อัตราพิเศษ
สำหรับลูกค้าผู้ประกอบการผู้ที่ได้ทำ Hedging สินค้าในโกดักของตนไว้แล้วได้อย่างมั่นใจ
ซึ่งเป็นการลดต้นทุนให้ผู้ประกอบการ
และเป็นผลดีต่อธนาคารเองที่จะสามารถบริหารจัดการการปล่อยสินเชื่อของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
อีกหลักฐานจากการศึกษาในต่างประเทศยังแสดงให้เห็นว่า
ผู้ประกอบการที่ใช้ตลาดสินค้าล่วงหน้าในการบริหารความเสี่ยงของตน
(สามารถเรียกพวกนี้ว่า Hedger) มักจะมีกระแสรายได้ที่ค่อนข้างจะสม่ำเสมอ
มีเสถียรภาพกว่าผู้ประกอบการที่ไม่ได้มีการบริหารความเสี่ยงไว้เลย เนื่องจาก Hedger
จะไม่ได้ซื้อ/ขายที่ราคาสูงสุด
ขณะเดียวกันก็จะไม่ได้ซื้อ/ขายที่ราคาที่ต่ำสุด แต่จะได้ราคาเท่ากับ ราคาที่ Hedger
เหล่านั้นเข้ามาซื้อขายในตลาดล่วงหน้า
การรู้ราคาที่ตนจะได้รับเป็นการล่วงหน้านั้นทำให้ผู้ประกอบการเหล่านี้สามารถวางแผนการผลิต
หรือ การตลาดของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมที่สุดของการทำ Hedging
ของประเทศเรา คือจาก เหตุการณ์วิกฤตเศรษฐกิจเมื่อ 10 ปีที่แล้ว
บริษัทที่ไม่ได้ทำ Hedging ค่าเงิน
บางบริษัทต้องล้มหายตายจาก ผิดกับบริษัทที่ได้ทำ Hedging ค่าเงินเอาไว้ที่สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างมั่นคงและได้เปรียบผู้อื่นอย่างมากในช่วงวิกฤตนั้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น