ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 9 กันยายน 2553
ในแวดวงของวงการตลาดเงินตลาดทุน แถลงการณ์ที่เรียกได้ว่ามีความสำคัญในลำดับต้น
ๆ ต่อการตัดสินใจของนักลงทุนทั่วทุกมุมโลกหนึ่งในนั้นก็คือ
แถลงการณ์ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (Federal Open Market Committee;
FOMC) ในระบบธนาคารกลางประเทศสหรัฐอเมริกา (U.S. Federal
Reserve หรือ FED) ซึ่งออกมาล่าสุดเมื่อวันที่
10 ส.ค. 2553 และจะประชุมกันอีกครั้งเร็ว ๆ นี้ ในวันที่ 21 ก.ย. 2553
ผลการประชุมของ FOMC ที่ว่ากันว่าเป็นคณะกรรมการที่ทรงอิทธิพลต่อตลาดการเงินของโลกที่สุดในครั้งล่าสุดนี้
ก็เป็นไปตามที่นักลงทุนส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ล่วงหน้า นั่นคือ FED มีนโยบายที่ยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ใกล้ศูนย์เปอร์เซ็นต์
ไปเป็นเวลาอีกพอสมควร
แต่ผลการประชุม FOMC ล่าสุดนี้ก็มี Surprise
เล็ก ๆ ที่เกี่ยวกับนโยบายทางเงิน นั่นคือ การที่ FOMC จะนำเงินที่จะได้คืนมาจาก การครบอายุ ของหุ้นกู้รัฐวิสาหกิจประเภทต่าง ๆ
ที่ FOMC ได้ช้อนซื้อเอาไว้จากการทำ Quantitative
Easing (หรือ การพิมพ์เงินออกมาอัดฉีดเข้าระบบ) เมื่อช่วงปีที่แล้ว
ไปลงทุนต่อด้วยการซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เงินจากการอัดฉีดเงินออกมารอบที่แล้วยังคงหมุนเวียนอยู่ในระบบได้ต่อไป
(ตามรายละเอียดใน FED Signals Further Easing Amid Slowing US Economy,
cnbc.com, Aug 10th 2010)
ผลการประชุมนี้น่าจะเป็นความพยายามของ FOMC ในการสร้างความเชื่อมั่นเพื่อที่จะลดข้อกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินฝืดที่เกิดขึ้นต่อเนื่องมาจากภาวะตลาดงานที่ดูเหมือนยังไม่กระเตื้องขึ้นเลยในสหรัฐ
ซึ่งถึงแม้ตัวเลขการว่างงานล่าสุดของเดือนสิงหาคม ที่ประกาศออกมาเมื่อวันที่ 3
กันยายน 2553 จะดูไม่น่าเกลียดนัก (ตัวเลขการว่างงานล่าสุดอยู่ที่ 9.6 %) แต่
บทความต่าง ๆ ในสำนักข่าวชั้นนำไม่ว่าจะเป็น CNN CNBC Blooomberg หรือ Reuters ช่วงเดือนที่ผ่านมา ล้วนต่างเขียนถึงข้อกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินฝืด
(Deflation) ที่มีแนวโน้มอาจจะเกิดขึ้นได้ในสหรัฐ
นอกจากนี้
ข้อกังวลที่ดูจะมีน้ำหนักที่สุดเกี่ยวกับภาวะเงินฝืดในช่วงเวลาเร็ว ๆ นี้
น่าจะอยู่ที่งานเขียนของ Dr.James Bullard ประธานธนาคารกลางสหรัฐประจำสาขาเมืองเซนต์หลุยส์
(President of St. Louis FED) เรื่อง Seven Faces of
"The Peril" เมื่อวันที่ 29 ก.ค 2553
ที่เขียนถึงความเป็นไปของทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐว่าสามารถดำเนินไปสู่ภาวะเงินฝืดแบบญี่ปุ่น
(Japanese-style deflationary outcome) ได้ รวมถึงข้อเสนอแนะ
(ส่วนตัวของ Dr.Bullard เอง) ในการแก้ไขสถานการณ์เศรษฐกิจของสหรัฐที่กำลังเป็นอยู่ในปัจจุบัน
เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในประเทศญี่ปุ่นในช่วง 20
ปีที่ผ่านมาได้ถูกหยิบยกขึ้นมาเปรียบเทียบบ่อยครั้งในฐานะที่เป็นรูปแบบหนึ่งของภาวะเศรษฐกิจแบบเงินฝืด
(Deflation) ซึ่งเป็นภาวะเศรษฐกิจที่ธนาคารกลาง (Bank of Japan; BOJ) และรัฐบาลของประเทศญี่ปุ่นต่างพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจ
หลังจากที่ฟองสบู่เศรษฐกิจญี่ปุ่นแตกในช่วงประมาณปี ค.ศ. 1990 แต่ผ่านมากว่า 20
ปีก็ยังไม่สามารถนำพาญี่ปุ่นออกจากภาวะเงินฝืดนี้ได้อย่างชัดเจน
ซึ่งทำให้ช่วงเวลาที่ผ่านมากว่า 20 ปีนี้ถูกเรียกว่า Japan?s Lost Decades ซึ่งมี 2 Decades แล้ว ได้แก่ ทศวรรษที่ 1990 และ
ทศวรรษที่ 2000
จุดกำเนิดของ Japan's Lost Decades ได้แก่
การเกิดขึ้นของฟองสบู่ขนาดมหึมา 2 ลูกพร้อม ๆ
กันทั้งในตลาดอสังหาริมทรัพย์และตลาดหุ้นในระบบเศรษฐกิจของญี่ปุ่น
ซึ่งในช่วงเวลานั้น Burton Malkiel ได้อธิบายไว้ในหนังสือ A
Random Walk Down Wall Street ว่า คนญี่ปุ่นมีความเชื่ออยู่เพียง 2
อย่างเท่านั้น คือ 1) ราคาบ้านและที่ดินไม่มีวันปรับตัวลดลง และ 2)
ราคาหุ้นมีแต่ปรับตัวเพิ่มขึ้น
สำหรับฟองสบู่ลูกแรกได้แก่ ฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์
เห็นได้ชัดจากในช่วง 35 ปี ระหว่าง ค.ศ. 1955 - 1990 ราคาอสังหาริมทรัพย์ในญี่ปุ่นปรับเพิ่มขึ้นถึง
75 เท่าตัว โดยในปี ค.ศ.1990 อสังหาริมทรัพย์ในญี่ปุ่นมีมูลค่าถึง 20
ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ($20 Trillion) หรือคิดเป็นประมาณ 5
เท่าของมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐ (ณ ขณะนั้น) ทั้ง ๆ
ที่สหรัฐมีเนื้อที่ใหญ่กว่าญี่ปุ่นถึง 25 เท่าตัว หรือ
จะให้เห็นภาพฟองสบู่ได้ชัดเจนกว่านั้น
ก็เห็นได้จากมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ในเมืองหลวงโตเกียวเมืองเดียวมีมูลค่าประมาณเท่ากับมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐทั้งประเทศ
ส่วนฟองสบู่อีกลูกที่ใหญ่ไม่แพ้กันก็คือ ฟองสบู่ในตลาดหุ้น โดยในช่วงเวลา 35 ปี
ระหว่าง ค.ศ. 1955 - 1990 ราคาดัชนีหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 100 เท่าตัว
โดยในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1989 มูลค่าตลาดรวมของตลาดหุ้นญี่ปุ่นอยู่ที่ 4
ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ($4 Trillion) หรือ ประมาณ 1.5
เท่าของมูลค่าตลาดรวมของตลาดหุ้นสหรัฐ หรือ 45% ของมูลค่าตลาดรวมของตลาดหุ้นทั่วโลก
ดัชนี Nikkei 225 ตั้งแต่ปี ค.ศ.1965 จนถึงปัจจุบัน
ที่มา: Reuter
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น