วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

2 ทศวรรษที่หายไป..ในถิ่นอาทิตย์อุทัย

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 9 กันยายน 2553

ในแวดวงของวงการตลาดเงินตลาดทุน แถลงการณ์ที่เรียกได้ว่ามีความสำคัญในลำดับต้น ๆ ต่อการตัดสินใจของนักลงทุนทั่วทุกมุมโลกหนึ่งในนั้นก็คือ แถลงการณ์ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (Federal Open Market Committee; FOMC) ในระบบธนาคารกลางประเทศสหรัฐอเมริกา (U.S. Federal Reserve หรือ FED) ซึ่งออกมาล่าสุดเมื่อวันที่ 10 ส.ค. 2553 และจะประชุมกันอีกครั้งเร็ว ๆ นี้ ในวันที่ 21 ก.ย. 2553

ผลการประชุมของ FOMC ที่ว่ากันว่าเป็นคณะกรรมการที่ทรงอิทธิพลต่อตลาดการเงินของโลกที่สุดในครั้งล่าสุดนี้ ก็เป็นไปตามที่นักลงทุนส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ล่วงหน้า นั่นคือ FED มีนโยบายที่ยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ใกล้ศูนย์เปอร์เซ็นต์ ไปเป็นเวลาอีกพอสมควร

แต่ผลการประชุม FOMC ล่าสุดนี้ก็มี Surprise เล็ก ๆ ที่เกี่ยวกับนโยบายทางเงิน นั่นคือ การที่ FOMC จะนำเงินที่จะได้คืนมาจาก การครบอายุ ของหุ้นกู้รัฐวิสาหกิจประเภทต่าง ๆ ที่ FOMC ได้ช้อนซื้อเอาไว้จากการทำ Quantitative Easing (หรือ การพิมพ์เงินออกมาอัดฉีดเข้าระบบ) เมื่อช่วงปีที่แล้ว ไปลงทุนต่อด้วยการซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เงินจากการอัดฉีดเงินออกมารอบที่แล้วยังคงหมุนเวียนอยู่ในระบบได้ต่อไป (ตามรายละเอียดใน FED Signals Further Easing Amid Slowing US Economy, cnbc.com, Aug 10th 2010)

ผลการประชุมนี้น่าจะเป็นความพยายามของ FOMC ในการสร้างความเชื่อมั่นเพื่อที่จะลดข้อกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินฝืดที่เกิดขึ้นต่อเนื่องมาจากภาวะตลาดงานที่ดูเหมือนยังไม่กระเตื้องขึ้นเลยในสหรัฐ ซึ่งถึงแม้ตัวเลขการว่างงานล่าสุดของเดือนสิงหาคม ที่ประกาศออกมาเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2553 จะดูไม่น่าเกลียดนัก (ตัวเลขการว่างงานล่าสุดอยู่ที่ 9.6 %) แต่ บทความต่าง ๆ ในสำนักข่าวชั้นนำไม่ว่าจะเป็น CNN CNBC Blooomberg หรือ Reuters ช่วงเดือนที่ผ่านมา ล้วนต่างเขียนถึงข้อกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินฝืด (Deflation) ที่มีแนวโน้มอาจจะเกิดขึ้นได้ในสหรัฐ

นอกจากนี้ ข้อกังวลที่ดูจะมีน้ำหนักที่สุดเกี่ยวกับภาวะเงินฝืดในช่วงเวลาเร็ว ๆ นี้ น่าจะอยู่ที่งานเขียนของ Dr.James Bullard ประธานธนาคารกลางสหรัฐประจำสาขาเมืองเซนต์หลุยส์ (President of St. Louis FED) เรื่อง Seven Faces of "The Peril" เมื่อวันที่ 29 ก.ค 2553 ที่เขียนถึงความเป็นไปของทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐว่าสามารถดำเนินไปสู่ภาวะเงินฝืดแบบญี่ปุ่น (Japanese-style deflationary outcome) ได้ รวมถึงข้อเสนอแนะ (ส่วนตัวของ Dr.Bullard เอง) ในการแก้ไขสถานการณ์เศรษฐกิจของสหรัฐที่กำลังเป็นอยู่ในปัจจุบัน

เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในประเทศญี่ปุ่นในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาได้ถูกหยิบยกขึ้นมาเปรียบเทียบบ่อยครั้งในฐานะที่เป็นรูปแบบหนึ่งของภาวะเศรษฐกิจแบบเงินฝืด (Deflation) ซึ่งเป็นภาวะเศรษฐกิจที่ธนาคารกลาง (Bank of Japan; BOJ) และรัฐบาลของประเทศญี่ปุ่นต่างพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจ หลังจากที่ฟองสบู่เศรษฐกิจญี่ปุ่นแตกในช่วงประมาณปี ค.ศ. 1990 แต่ผ่านมากว่า 20 ปีก็ยังไม่สามารถนำพาญี่ปุ่นออกจากภาวะเงินฝืดนี้ได้อย่างชัดเจน ซึ่งทำให้ช่วงเวลาที่ผ่านมากว่า 20 ปีนี้ถูกเรียกว่า Japan?s Lost Decades ซึ่งมี 2 Decades แล้ว ได้แก่ ทศวรรษที่ 1990 และ ทศวรรษที่ 2000

จุดกำเนิดของ Japan's Lost Decades ได้แก่ การเกิดขึ้นของฟองสบู่ขนาดมหึมา 2 ลูกพร้อม ๆ กันทั้งในตลาดอสังหาริมทรัพย์และตลาดหุ้นในระบบเศรษฐกิจของญี่ปุ่น ซึ่งในช่วงเวลานั้น Burton Malkiel ได้อธิบายไว้ในหนังสือ A Random Walk Down Wall Street ว่า คนญี่ปุ่นมีความเชื่ออยู่เพียง 2 อย่างเท่านั้น คือ 1) ราคาบ้านและที่ดินไม่มีวันปรับตัวลดลง และ 2) ราคาหุ้นมีแต่ปรับตัวเพิ่มขึ้น

สำหรับฟองสบู่ลูกแรกได้แก่ ฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ เห็นได้ชัดจากในช่วง 35 ปี ระหว่าง ค.ศ. 1955 - 1990 ราคาอสังหาริมทรัพย์ในญี่ปุ่นปรับเพิ่มขึ้นถึง 75 เท่าตัว โดยในปี ค.ศ.1990 อสังหาริมทรัพย์ในญี่ปุ่นมีมูลค่าถึง 20 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ($20 Trillion) หรือคิดเป็นประมาณ 5 เท่าของมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐ (ณ ขณะนั้น) ทั้ง ๆ ที่สหรัฐมีเนื้อที่ใหญ่กว่าญี่ปุ่นถึง 25 เท่าตัว หรือ จะให้เห็นภาพฟองสบู่ได้ชัดเจนกว่านั้น ก็เห็นได้จากมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ในเมืองหลวงโตเกียวเมืองเดียวมีมูลค่าประมาณเท่ากับมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐทั้งประเทศ ส่วนฟองสบู่อีกลูกที่ใหญ่ไม่แพ้กันก็คือ ฟองสบู่ในตลาดหุ้น โดยในช่วงเวลา 35 ปี ระหว่าง ค.ศ. 1955 - 1990 ราคาดัชนีหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 100 เท่าตัว โดยในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1989 มูลค่าตลาดรวมของตลาดหุ้นญี่ปุ่นอยู่ที่ 4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ($4 Trillion) หรือ ประมาณ 1.5 เท่าของมูลค่าตลาดรวมของตลาดหุ้นสหรัฐ หรือ 45% ของมูลค่าตลาดรวมของตลาดหุ้นทั่วโลก




ดัชนี Nikkei 225 ตั้งแต่ปี ค.ศ.1965 จนถึงปัจจุบัน
ที่มา: Reuter

แน่นอนว่าไม่มีฟองสบู่ใดที่จะจีรังยั่งยืนได้ตลอดไป ฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์และหุ้นในญี่ปุ่นได้แตกลงพร้อมๆ กันในปี ค.ศ.1990 ซึ่งทั้ง BOJ และ รัฐบาลกลาง ก็ได้มีนโยบายจัดระเบียบและกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่ ซึ่งมีสารพัดวิธีทั้งนโยบายด้านการเงินและนโยบายด้านการคลัง เช่น นโยบายเกี่ยวกับการเข้าอุ้มสถาบันการเงิน (ที่ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์กันมาก) แต่ที่เห็นชัดที่สุดก็คือนโยบายดอกเบี้ยใกล้ศูนย์ของ BOJ ที่ถูกใช้มาเป็นเวลาเป็นสิบปีแล้ว ในช่วง 20 ปีมานี้ อัตราเงินเฟ้อในญี่ปุ่นก็มีบวกบ้างลบบ้างสลับกันไป ดัชนีนิเคอิ (Nikkei ) แตะระดับสูงสุดที่ 38,915 จุด เทียบกับในปัจจุบันหลังจาก 20 ปีผ่านไป ดัชนี Nikkei ปัจจุบันที่อยู่ประมาณ 9,000 จุด หรือ ยังคงหายไปกว่า 75% ความคาดหวังเกี่ยวกับเงินเฟ้อก็ยังคงอยู่ที่ระดับใกล้ศูนย์ อีกทั้งยังไม่มีทีท่าว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นในเร็ววันนี้ คงต้องรอลุ้นต่อไปว่า ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐจะดำเนินไปเหมือนกับอย่างที่เกิดขึ้นในญี่ปุ่นหรือไม่ เพราะถึงแม้ว่าจะมีการยกเหตุผลขึ้นมามากมายในช่องทางต่าง ๆ ว่า "ทำไมเศรษฐกิจสหรัฐจะไม่ดำเนินซ้ำรอยเศรษฐกิจญี่ปุ่น" เช่น ล่าสุดใน CNBC เรื่อง Three Reasons Why We Are Not Going to Become Japan, Sep 3rd 2010 แต่ก็ต้องยอมรับว่า ณ ขณะนี้ทั้งสองประเทศต่างก็มีส่วนเหมือนกันแล้ว นั่นคือ อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ใกล้ศูนย์เปอร์เซ็นต์ ต่างกันตรงที่ประเทศหนึ่งใช้มาแล้วเป็นเวลาประมาณปีกว่า ขณะที่อีกประเทศหนึ่งใช้มาเป็นเวลากว่าสิบปีแล้ว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น