วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

เหตุเกิดที่ Mumbai

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 4 ธันวาคม 2551

ข่าวคราวใหญ่โตในช่วงเวลาที่ผ่านมาของประเทศเรา ก็คงจะหนีไม่พ้น ข่าวคราวการชุมนุมประท้วงครั้งสุดท้ายแบบม้วนเดียวจบของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่เข้าไปประท้วงรัฐบาลที่ สนามบินดอนเมือง และสนามบินสุวรรณภูมิ มาตั้งแต่วันที่ 25 พ.ย.2551 (ได้ข่าวว่าเลิกชุมนุมแล้วในวันที่ 3 ธ.ค.51) จนเป็นข่าวคราวใหญ่โตไปทั่วโลก

แต่เหตุการณ์ที่เป็นที่อกสั่นขวัญแขวน และเป็นที่สนใจของผู้คนทั้งโลกที่สุด ในช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกัน น่าจะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงของเรา คือ ประเทศอินเดีย ในวันที่ 26 - 29 พฤศจิกายน 2551 ที่มีเหตุการณ์การก่อการร้ายเกิดขึ้นหลายระลอก ในเมืองมุมไบ (Mumbai) เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 195 คน และบาดเจ็บกว่า 294 คน (โดยมีพี่น้องคนไทยเสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าวไปด้วย 1 คน)

เมื่อกล่าวถึงชื่อ Mumbai ประเทศอินเดีย หลายคนอาจจะยังไม่ค่อยคุ้นเคยนัก เพราะถ้ามีการกล่าวถึงชื่อเมืองในอินเดีย หลายท่านอาจจะคุ้นเคยกับชื่อเมืองนิวเดลี (New Delhi) เมืองหลวงของประเทศ หรือ เมืองบอมเบ (Bombay) ซึ่งเป็นเมืองท่าเก่าแก่ทางฝั่งตะวันตกทางด้านทะเลอาระเบียน ซึ่งเป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์การค้าการขายตั้งแต่สมัยโบราณ

แต่ท่านผู้อ่านทราบไหมครับว่า แท้ที่จริงเมือง Mumbai ที่ผู้ก่อร้ายเลือกก่อการนั้น ก็คือเมือง Bombay ที่คนไทยเรารู้จักกันดีนั่นเอง การเปลี่ยนชื่อดังกล่าวเกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2529 โดยรัฐบาลของรัฐ Maharashtra (โดยความเห็นชอบของรัฐบาลกลาง) ได้ประกาศเปลี่ยนชื่อเมือง Bombay ไปเป็นชื่อเมือง Mumbai ด้วยเหตุผลเพื่อเปลี่ยนตัวสะกดของชื่อเมืองจากรากศัพท์มีรากฐานตามภาษาท้องถิ่น แทนที่จะมีรากศัพท์มาจากภาษาของทางยุโรป (Bombay มีพื้นฐานรากศัพท์มาจากภาษาโปรตุเกส "Bom Bahai" ซึ่งแปลว่า Good Bay) และเพื่อให้สอดคล้องกับชื่อของเทพเจ้าฮินดูผู้รักษาเมืองที่เคารพสักการะของชาวเมืองที่มีชื่อว่า "Mumbadevi"

เมือง Mumbai เป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดในอินเดีย (ประมาณ 13.7 ล้านคนในปี 2551) และนับเป็นเมืองที่มีประชากรมากเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากเมืองเซี่ยงไฮ้ของจีน (มีประชากรประมาณ 15.6 ล้านคนในปี 2551)

Mumbai นี้ถือได้ว่าเป็นเมืองหลวงทางการเศรษฐกิจและการเงินของประเทศอินเดีย มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับระบบเศรษฐกิจของตั้งอยู่เป็นจำนวนมาก เช่น ธนาคารกลาง (Reserve Bank of India) ตลาดหลักทรัพย์ 2 แห่งได้แก่ Bombay Stock Exchange (BSE) และ National Stock Exchange of India (NSE) บริษัท TATA Group (บริษัทแม่ของบริษัท TATA Motor บริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่ซึ่งเพิ่งมาทำตลาดในเมืองไทยเมื่อ 1-2 ปีนี้) รวมไปถึงตลาดสินค้าล่วงหน้ายักษ์ใหญ่ 2 แห่ง คือ National Commodity and Derivatives Exchange (NCDEX) และ Multi Commodity Exchange of India (MCX)

หลังจากเกิดเหตุก่อการร้ายขึ้น รัฐมนตรีมหาดไทย Shivraj Patil ได้ขอลาออกเพื่อเป็นการรับผิดชอบ ทำให้ในวันที่ 31 พฤศจิกายน 51 นายก Manmohan Singh ต้องโยกให้รัฐมนตรีคลัง Palaniappan Chidambaram ไปดูแลกระทรวงมหาดไทยแทน โดยตัวนายก Singh นั้นจะลงมาดูแลงานทางด้านเศรษฐกิจด้วยตัวเอง

โดยนโยบายทางเศรษฐกิจนโยบายแรกของนายกฯ Singh ที่ได้สั่งการผ่านกระทรวง Consumer Affairs (ที่กำกับดูแลหน่วยงานที่ชื่อว่า Forward Markets Commission ผู้ที่รับผิดชอบในการกำกับดูแลการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ล่วงหน้าในประเทศอินเดีย) คือ การอนุญาตให้สินค้าเกษตร 4 ประเภท ที่ได้ถูกห้ามซื้อขายมาตั้งแต่วันที่ 7 พฤษภาคม 2551 ได้แก่ น้ำมันถั่วเหลือง มันฝรั่ง ยางพารา และ เมล็ด Channa กลับมาซื้อขายในตลาด NCDEX และ ตลาด MCX อีกครั้งหนึ่ง (India Ends Futures Ban in Policy Shift After Attack, Bloomberg, Dec 1st 2008)

ในช่วงเดือนพฤษภาคม 51 ดังกล่าว หากท่านผู้อ่านยังจำกันได้ ในช่วงนั้นราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลกล้วนปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างน่ากลัว อาทิ ราคาซื้อขายน้ำมันดิบ ณ ขณะนั้น อยู่ที่ระดับ 123 เหรียญสหรัฐ (เทียบกับประมาณ 45 เหรียญสหรัฐในปัจจุบัน) ทำให้เกิดการตื่นกลัวภาวะเงินเฟ้อ (Inflation) ขึ้นทั่วโลก เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ Forward Markets Commission ตัดสินใจสั่งห้ามการซื้อขายล่วงหน้าสินค้าทั้ง 4 ชนิดดังกล่าว

การห้ามซื้อขายล่วงหน้าสินค้าทั้ง 4 ชนิด เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2551 ส่งผลให้รัฐบาลอินเดียถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางจากผู้คนในวงการการซื้อขายล่วงหน้า เพราะตามหลักการ การมีหรือไม่มีการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้ามิได้ช่วยให้ และ/หรือ ทำให้ราคาสินค้าเกษตรชนิดนั้นมีเสถียรภาพมากขึ้น (เนื่องมาจากราคาสินค้าเกษตรย่อมผันแปรไปตาม Demand-Supply ในตลาดโลก) แต่การห้ามดังกล่าวเป็นการจำกัดมิให้ผู้ประกอบการสามารถบริหารความเสี่ยงด้านราคาได้ (ทำให้ไม่มีเครื่องมือการบริหารความเสี่ยงด้านราคา) อีกทั้งทำให้เกษตรกรก็ไม่มีแหล่งราคาอ้างอิงในการกำหนดราคาขายสินค้าของตน ส่งผลให้เกิดการได้เปรียบเรื่องข้อมูลข่าวสารของราคาระหว่างเกษตรกรรายย่อยกับผู้ประกอบการรายใหญ่ เปิดช่องให้ผู้ที่มีข้อมูลดีกว่าเอารัดเอาเปรียบอีกฝ่ายหนึ่งได้สะดวกง่ายได้ขึ้น

แต่เนื่องมาด้วย เหตุการณ์ Credit Crisis ในสหรัฐอเมริกา และภาวะการชะงักงันของเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั่วโลก ทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์แทบทุกประเภทต่างปรับตัวลดลงมาเกินกว่า 50% จากราคาสูงสุดเมื่อตอนครึ่งแรกของปี 2551 เช่น ยางแผ่นรมควันชั้น 3 ในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (RSS3 AFET) ปรับตัวลดลงจากราคาสูงสุดที่ 107.8 บาท/กก. มาอยู่ที่ 42 บาท/กก. (วันที่ 3 ธ.ค.51) หรือเป็นการปรับตัวลดลงถึง 61% เช่นเดียวกันกับราคาของน้ำมันถั่วเหลือง และ ยางพาราในประเทศอินเดีย ที่ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ราคาได้ปรับตัวลดลงมากแล้วประมาณ 47% และ 59 % ตามลำดับ ฉายภาพให้เห็นว่า ภาวะเงินเฟ้อ ไม่น่าที่จะเกิดขึ้นมาได้อีกในเร็วๆ

อาจจะเป็นเหตุให้ นายก Singh ผู้ที่ต้องการเยียวยาภาวะเศรษฐกิจของอินเดีย และ/หรือ ภาวะเศรษฐกิจของเมือง Mumbai หลังจากเหตุก่อการร้าย ได้โอกาสที่จะสั่งยกเลิกการห้ามซื้อขายล่วงหน้าสินค้าเกษตรทั้ง 4 ชนิดดังกล่าว ซึ่งอย่างน้อยก็น่าจะช่วยเพิ่มความคึกคักให้กับตลาดล่วงหน้าทั้ง NCDEX และ MCX อีกทั้งน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศในภาวะที่เราทุกคนต่างต้องเผชิญอยู่ ณ ขณะนี้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น