วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ว่าด้วย โครงการประกันรายได้

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 10 มีนาคม 2554

เท่าที่ผมได้ติดตามข่าวสารข้อมูลเกี่ยวกับ การชุมนุมปิดถนนเพื่อเรียกร้องความช่วยเหลือจากรัฐบาลของพี่น้องชาวนา จ.พิษณุโลก และจังหวัดใกล้เคียง ก็จับประเด็นได้ว่าข้อเรียกร้องส่วนใหญ่นั้นมีความเกี่ยวข้องกับ โครงการประกันราคาสินค้าเกษตรหรือ ที่รัฐบาลเรียกว่า โครงการประกันรายได้นโยบายการช่วยเหลือเกษตรกรที่ถูกนำมาใช้แทน โครงการเดิม (ที่มีข้อสงสัยเรื่องการทุจริตกันมาก) ซึ่งคุ้นหูคุ้นตากันดีในชื่อของ โครงการรับจำนำสินค้าเกษตร

เป็นเวลากว่า ปีครึ่ง แล้ว นับตั้งแต่ เมื่อวันจันทร์ที่ 7 กันยายน 2552 ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งเป็นวันที่ ท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ กล่าวมอบนโยบาย .โครงการประกันรายได้ ภายใต้ สโลแกน เกษตรกรไทยเข้มแข็ง รัฐประกันรายได้กำไรแน่นอนที่เกษตรกร ที่รัฐบาลได้ดำเนินการแจกสิทธิในการประกันราคาพี่น้องเกษตรกรผู้เข้ามาขึ้นทะเบียนร่วมโครงการ (เกษตรกรผู้เอาประกัน) ในพืชเศรษฐกิจหลัก 3 ตัว ได้แก่ ข้าว มันสำปะหลัง และ ข้าวโพด
โดย ณ ช่วงเวลาการใช้สิทธิที่ระบุไว้ในสัญญา (ซึ่งตามหลักการแล้วจะเป็นช่วงเวลาเก็บเกี่ยวผลผลิต) หากราคาตลาดของสินค้าใด มีระดับราคาที่ต่ำกว่าราคาประกันขั้นต่ำ เกษตรกรผู้เอาประกัน จะได้รับการชำระเงินส่วนต่างของราคาจากรัฐบาล อาทิ ตัวอย่างสำหรับข้าวเปลือกเจ้าราคาประกันอยู่ที่ตันละ 11,000 บาท (อัตราใหม่ตามมติ ค.ร.ม. วันที่ 8 มีนาคม 2554 ) หากราคาตลาด ณ เวลาใช้สิทธิ (ภาครัฐเรียกว่า เกณฑ์กลางอ้างอิง”) อยู่ที่ 8,871 บาท/ตัน เกษตรกรผู้เอาประกันก็จะได้รับเงินสดจากค่าส่วนต่างราคาไปเลยที่ 2,129 บาทต่อตัน (ไม่ต้องขนสินค้าจริงมาที่โรงสี หรือ จุดรับจำนำเหมือนอย่างที่กระทำกันในโครงการรับจำนำ)

การดำเนินการนโยบายประกันรายได้ในลักษณะนี้ไม่ถือว่าเป็นของใหม่ เห็นจากได้มีการดำเนินการในลักษณะนี้มาในหลายประเทศ เช่น ในสหรัฐอเมริกา แคนาดา เม็กซิโก หรือ บราซิล อีกทั้งก็มีผลการศึกษาทางวิชาการจากหลายหน่วยงาน เช่น ธนาคารโลก (World Bank) ที่ระบุว่าการกำหนดกลุ่มเกษตรกรเป้าหมายที่ควรได้รับการช่วยเหลือจากภาครัฐแล้วทำการช่วยเหลือเกษตรกรด้วยวิธีการสนับสนุนด้านรายได้ (Income Support) หรือ การจ่ายเงินให้เกษตรกรโดยตรง จะมีประสิทธิภาพในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายกว่าการสนับสนุนด้านราคา (Price Support) หากมีการบริหารจัดการทั้งระบบให้ดีแล้ว สามารถช่วยลดภาระต่องบประมาณ และสามารถใช้ในการวางแผนช่วยเหลือในระยะยาวได้

สิทธิในการขายสินค้าที่ราคาประกันขั้นต่ำดังกล่าว เป็นสิทธิในการขายสินค้าเกษตร ณ ราคา ระยะเวลา ที่กำหนดไว้ในสัญญานั้น ซึ่งในทางการเงินมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า “Put Options” ซึ่งลักษณะเดียวกันกับ Put Options ของ SET50 Index ที่มีการซื้อขายกันในตลาดอนุพันธ์ TFEX ของตลาดหลักทรัพย์ เนื่องจาก เจ้าตัว Options นี้จะเป็นการจัดทำและค้าขายกันระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายเองโดยไม่ผ่านตลาด (over-the-counter หรือ OTC) หรือจะผ่านตลาดก็ได้

Put Options นี้มีรูปแบบคล้ายคลึงกับสิทธิการประกันภัยอุบัติเหตุ หรือประกันภัยรถยนต์ คือเมื่อเกิดเหตุเสียหาย ผู้เอาประกันมีสิทธิที่จะ Claim ประกัน จากบริษัทประกันได้ ซึ่งโดยปกติแล้วผู้เอาประกันจะต้องจ่ายค่าเบี้ยประกัน (หรือ ค่า Premium) ให้กับบริษัทประกันเพื่อได้ได้มาเพื่อสิทธิดังกล่าว
แต่สำหรับ โดรงการประกันรายได้ของรัฐนี้ เกษตรกรทุกคนมีสิทธิที่จะเข้าร่วมโครงการ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย จึงเสมือนกับ การที่รัฐบาลแจก Put Options ให้แก่เกษตรกรไปฟรี ๆ (จ่ายค่าเบี้ยประกันแทนเกษตรกร) ซึ่งค่าใช้จ่ายของโครงการ หรือ ค่าเบี้ยประกันที่เหมาะสมคำนวณคร่าว ๆ ได้จาก 1. ราคาประกัน 2. ราคาตลาดของสินค้า 3. ระยะเวลาใช้สิทธิ 4. อัตราดอกเบี้ยในตลาด และ ความผันผวนของราคาสินค้า ตามสูตร Black-Scholes Options Pricing Model งานวิชาการที่ได้รับรางวัลโนเบลด้านเศรษฐศาสตร์ในปี ค.ศ.1997

ดังนั้น แน่นอนว่า หากต้องการราคาประกันเพิ่มขึ้น ต้นทุน/ค่าเบี้ยประกัน ย่อมต้องปรับตัวเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ฉะนั้น การที่จะขยาย หรือ ปรับเปลี่ยนเงื่อนไขบางอย่างของโครงการ เช่น ราคาประกันขั้นต่ำ หรือ จำนวนขึ้นต่ำที่เกษตรแต่ละคน/ครัวเรือนได้รับ ต้องเหมาะสมสอดคล้องกับความเป็นจริง (เช่น ต้นทุนการผลิต หรือ จำนวนผลผลิตที่แท้จริงของเกษตรกรแต่ละครัวเรือนในพืชชนิดนั้น ๆ) ทั้งนี้ เนื่องจากการขยายดังกล่าวจะทำให้ค่าใช้จ่ายของโครงการจะสูงขึ้นเป็นภาระต่อการบริหารงบประมาณแผ่นดินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ปัจจุบัน มีพี่น้องเกษตรกรบางกลุ่ม พยายามที่จะเรียกร้องให้รัฐบาล ปรับเพิ่มราคาประกันให้ไปอยู่ในระดับที่สูงมากอย่างไม่สมเหตุผล เช่น เรียกร้องให้รัฐเพิ่มราคาประกันข้าวเปลือกเจ้าจากเดิม 10,000 บาท/ตัน ไปเป็น 14,000 บาท/ตัน ในสถานะการณ์ที่ราคาตลาดข้าวเปลือกปัจจุบันราคาเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 8,0009,000 บาท/ตัน (เกณฑ์กลางอ้างอิงประจำวันที่ 7 มี.ค 54 อยู่ที่ 8,871 บาท/ตัน) ขณะที่ข้าวสารเองราคาขายส่งก็อยู่เพียงประมาณ 14,00015,000 บาท เท่านั้น แน่นอนจะทำให้รัฐบาลมีปัญหาด้านงบประมาณ เนื่องจากหากมีการปรับไปที่ระดับ 14,000 บาท/ตัน จะต้องมีการจ่ายชดเชยถึงตันละ 5,000 กว่าบาท เห็นชัดว่าผิดหลักการของโครงการประกันรายได้ที่ราคาประกันขั้นต่ำต้องเป็นราคาที่คำนวณจากต้นทุนการผลิตบวกกับกำไรที่เกษตรกรพึงได้รับเพื่อให้ดำรงชีพอยู่ได้ (11,000 บาท/ตัน ตามมติ ค.ร.ม. ล่าสุดนี้ถือได้ว่าเหมาะสมแล้ว) ทั้งนี้เพื่อเป็นการ บำบัดทุกข์ให้กับพี่น้องเกษตรกรมิให้ต้องขาดทุนเมื่อราคาข้าวในท้องตลาดปรับตัวลดลง แต่ การเรียกร้องให้กำหนดราคาประกันข้าวเปลือกไว้ที่ 14,000 บาท (ราคาเกือบเท่าข้าวสาร) เป็นการเรียกร้องที่ไม่เหตุผล และถือเป็นข้อเรียกร้องที่ บำรุงสุขกันมากกว่า

อย่างไรก็ดี ปัจจุบันพี่น้องเกษตรกรในบางพื้นที่ประสบปัญหาอยู่จริง ๆ คือ ไม่สามารถขายข้าวเปลือกของตนได้ในราคาที่ควรจะเป็น (หรือได้ในราคาที่ใกล้เคียงกับราคาอ้างอิง/เกณฑ์กลางอ้างอิง) ทั้งนี้เนื่องจากกลไกตลาดในบางพื้นที่ไม่ทำงาน เช่น ถูกกดราคาโดยพ่อค้าท้องถิ่น ทำให้ขายข้าวเปลือกจริงได้เพียงตันละ 5,0006,000 บาท/ตัน (ทำให้พี่น้องเกษตรกรต้องเรียกร้องราคาประกันขั้นต่ำให้สูง ๆ เข้าไว้ เพื่อชดเชยกับการกดราคาของพ่อค้าท้องถิ่น) ตรงนี้ถือเป็นจุดอ่อนของ กลไกตลาดข้าวที่เป็นอยู่เดิมไม่ใช่จุดอ่อนของหลักการของ โครงการประกันรายได้แต่ก็เป็นที่น่าสังเกตุว่า มีผู้ที่พยายามใช้เหตุผลนี้มาโจมตีโครงการประกันรายได้มาโดยตลอด ตั้งแต่ก่อนที่จะเริ่มโครงการเสียด้วยซ้ำ

ก็คงเป็นหน้าที่ของภาครัฐที่จะต้องสนับสนุนและส่งเสริมให้กลไกตลาดข้าวในท้องถิ่นสามารถทำงานได้เต็มที่ เช่น อาจให้มีการตั้งตลาดกลางขึ้นทั่วทุกภูมิภาค (เช่นเดียวกับยางพารา ที่ปัจจุบันมีกลไกตลาดกลางเป็นทางเลือกให้ผู้ที่ไม่ต้องการขายยางตรงส่งโรงงานเอกชน) เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาโดยตรงที่โครงสร้างระบบตลาด ควบคู่กับโครงการประกันรายได้ที่กำลังดำเนินอยู่ในปัจจุบัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น