ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 10 มีนาคม 2554
เท่าที่ผมได้ติดตามข่าวสารข้อมูลเกี่ยวกับ
การชุมนุมปิดถนนเพื่อเรียกร้องความช่วยเหลือจากรัฐบาลของพี่น้องชาวนา จ.พิษณุโลก
และจังหวัดใกล้เคียง ก็จับประเด็นได้ว่าข้อเรียกร้องส่วนใหญ่นั้นมีความเกี่ยวข้องกับ
“โครงการประกันราคาสินค้าเกษตร” หรือ
ที่รัฐบาลเรียกว่า “โครงการประกันรายได้” นโยบายการช่วยเหลือเกษตรกรที่ถูกนำมาใช้แทน โครงการเดิม
(ที่มีข้อสงสัยเรื่องการทุจริตกันมาก) ซึ่งคุ้นหูคุ้นตากันดีในชื่อของ “โครงการรับจำนำสินค้าเกษตร”
เป็นเวลากว่า ปีครึ่ง แล้ว นับตั้งแต่ เมื่อวันจันทร์ที่ 7 กันยายน
2552 ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งเป็นวันที่ ท่านนายกฯ อภิสิทธิ์
กล่าวมอบนโยบาย .โครงการประกันรายได้ ภายใต้ สโลแกน “เกษตรกรไทยเข้มแข็ง รัฐประกันรายได้…กำไรแน่นอน”
ที่เกษตรกร ที่รัฐบาลได้ดำเนินการแจกสิทธิในการประกันราคาพี่น้องเกษตรกรผู้เข้ามาขึ้นทะเบียนร่วมโครงการ
(เกษตรกรผู้เอาประกัน) ในพืชเศรษฐกิจหลัก 3 ตัว ได้แก่ ข้าว มันสำปะหลัง และ
ข้าวโพด
โดย ณ ช่วงเวลาการใช้สิทธิที่ระบุไว้ในสัญญา
(ซึ่งตามหลักการแล้วจะเป็นช่วงเวลาเก็บเกี่ยวผลผลิต) หากราคาตลาดของสินค้าใด
มีระดับราคาที่ต่ำกว่าราคาประกันขั้นต่ำ เกษตรกรผู้เอาประกัน
จะได้รับการชำระเงินส่วนต่างของราคาจากรัฐบาล อาทิ
ตัวอย่างสำหรับข้าวเปลือกเจ้าราคาประกันอยู่ที่ตันละ 11,000 บาท (อัตราใหม่ตามมติ
ค.ร.ม. วันที่ 8 มีนาคม 2554 ) หากราคาตลาด ณ เวลาใช้สิทธิ (ภาครัฐเรียกว่า “เกณฑ์กลางอ้างอิง”) อยู่ที่ 8,871 บาท/ตัน
เกษตรกรผู้เอาประกันก็จะได้รับเงินสดจากค่าส่วนต่างราคาไปเลยที่ 2,129 บาทต่อตัน
(ไม่ต้องขนสินค้าจริงมาที่โรงสี หรือ
จุดรับจำนำเหมือนอย่างที่กระทำกันในโครงการรับจำนำ)
การดำเนินการนโยบายประกันรายได้ในลักษณะนี้ไม่ถือว่าเป็นของใหม่
เห็นจากได้มีการดำเนินการในลักษณะนี้มาในหลายประเทศ เช่น ในสหรัฐอเมริกา แคนาดา
เม็กซิโก หรือ บราซิล อีกทั้งก็มีผลการศึกษาทางวิชาการจากหลายหน่วยงาน เช่น
ธนาคารโลก (World Bank) ที่ระบุว่าการกำหนดกลุ่มเกษตรกรเป้าหมายที่ควรได้รับการช่วยเหลือจากภาครัฐแล้วทำการช่วยเหลือเกษตรกรด้วยวิธีการสนับสนุนด้านรายได้
(Income Support) หรือ การจ่ายเงินให้เกษตรกรโดยตรง
จะมีประสิทธิภาพในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายกว่าการสนับสนุนด้านราคา (Price
Support) หากมีการบริหารจัดการทั้งระบบให้ดีแล้ว สามารถช่วยลดภาระต่องบประมาณ
และสามารถใช้ในการวางแผนช่วยเหลือในระยะยาวได้
สิทธิในการขายสินค้าที่ราคาประกันขั้นต่ำดังกล่าว
เป็นสิทธิในการขายสินค้าเกษตร ณ ราคา ระยะเวลา ที่กำหนดไว้ในสัญญานั้น
ซึ่งในทางการเงินมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า “Put Options” ซึ่งลักษณะเดียวกันกับ
Put Options ของ SET50 Index ที่มีการซื้อขายกันในตลาดอนุพันธ์ TFEX ของตลาดหลักทรัพย์
เนื่องจาก เจ้าตัว Options นี้จะเป็นการจัดทำและค้าขายกันระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายเองโดยไม่ผ่านตลาด
(over-the-counter หรือ OTC) หรือจะผ่านตลาดก็ได้
Put Options นี้มีรูปแบบคล้ายคลึงกับสิทธิการประกันภัยอุบัติเหตุ
หรือประกันภัยรถยนต์ คือเมื่อเกิดเหตุเสียหาย ผู้เอาประกันมีสิทธิที่จะ Claim
ประกัน จากบริษัทประกันได้
ซึ่งโดยปกติแล้วผู้เอาประกันจะต้องจ่ายค่าเบี้ยประกัน (หรือ ค่า Premium) ให้กับบริษัทประกันเพื่อได้ได้มาเพื่อสิทธิดังกล่าว
แต่สำหรับ โดรงการประกันรายได้ของรัฐนี้
เกษตรกรทุกคนมีสิทธิที่จะเข้าร่วมโครงการ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย จึงเสมือนกับ
การที่รัฐบาลแจก Put Options ให้แก่เกษตรกรไปฟรี ๆ
(จ่ายค่าเบี้ยประกันแทนเกษตรกร) ซึ่งค่าใช้จ่ายของโครงการ หรือ ค่าเบี้ยประกันที่เหมาะสมคำนวณคร่าว
ๆ ได้จาก 1. ราคาประกัน 2. ราคาตลาดของสินค้า 3. ระยะเวลาใช้สิทธิ 4.
อัตราดอกเบี้ยในตลาด และ ความผันผวนของราคาสินค้า ตามสูตร Black-Scholes
Options Pricing Model งานวิชาการที่ได้รับรางวัลโนเบลด้านเศรษฐศาสตร์ในปี
ค.ศ.1997
ดังนั้น แน่นอนว่า หากต้องการราคาประกันเพิ่มขึ้น
ต้นทุน/ค่าเบี้ยประกัน ย่อมต้องปรับตัวเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ฉะนั้น การที่จะขยาย
หรือ ปรับเปลี่ยนเงื่อนไขบางอย่างของโครงการ เช่น ราคาประกันขั้นต่ำ หรือ
จำนวนขึ้นต่ำที่เกษตรแต่ละคน/ครัวเรือนได้รับ ต้องเหมาะสมสอดคล้องกับความเป็นจริง
(เช่น ต้นทุนการผลิต หรือ
จำนวนผลผลิตที่แท้จริงของเกษตรกรแต่ละครัวเรือนในพืชชนิดนั้น ๆ) ทั้งนี้
เนื่องจากการขยายดังกล่าวจะทำให้ค่าใช้จ่ายของโครงการจะสูงขึ้นเป็นภาระต่อการบริหารงบประมาณแผ่นดินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ปัจจุบัน มีพี่น้องเกษตรกรบางกลุ่ม พยายามที่จะเรียกร้องให้รัฐบาล
ปรับเพิ่มราคาประกันให้ไปอยู่ในระดับที่สูงมากอย่างไม่สมเหตุผล เช่น
เรียกร้องให้รัฐเพิ่มราคาประกันข้าวเปลือกเจ้าจากเดิม 10,000 บาท/ตัน ไปเป็น
14,000 บาท/ตัน ในสถานะการณ์ที่ราคาตลาดข้าวเปลือกปัจจุบันราคาเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ
8,000 – 9,000 บาท/ตัน (เกณฑ์กลางอ้างอิงประจำวันที่ 7 มี.ค 54 อยู่ที่ 8,871
บาท/ตัน) ขณะที่ข้าวสารเองราคาขายส่งก็อยู่เพียงประมาณ 14,000 – 15,000 บาท เท่านั้น แน่นอนจะทำให้รัฐบาลมีปัญหาด้านงบประมาณ
เนื่องจากหากมีการปรับไปที่ระดับ 14,000 บาท/ตัน จะต้องมีการจ่ายชดเชยถึงตันละ
5,000 กว่าบาท
เห็นชัดว่าผิดหลักการของโครงการประกันรายได้ที่ราคาประกันขั้นต่ำต้องเป็นราคาที่คำนวณจากต้นทุนการผลิตบวกกับกำไรที่เกษตรกรพึงได้รับเพื่อให้ดำรงชีพอยู่ได้
(11,000 บาท/ตัน ตามมติ ค.ร.ม. ล่าสุดนี้ถือได้ว่าเหมาะสมแล้ว) ทั้งนี้เพื่อเป็นการ
“บำบัดทุกข์” ให้กับพี่น้องเกษตรกรมิให้ต้องขาดทุนเมื่อราคาข้าวในท้องตลาดปรับตัวลดลง
แต่ การเรียกร้องให้กำหนดราคาประกันข้าวเปลือกไว้ที่ 14,000 บาท
(ราคาเกือบเท่าข้าวสาร) เป็นการเรียกร้องที่ไม่เหตุผล และถือเป็นข้อเรียกร้องที่ “บำรุงสุข” กันมากกว่า
อย่างไรก็ดี ปัจจุบันพี่น้องเกษตรกรในบางพื้นที่ประสบปัญหาอยู่จริง ๆ
คือ ไม่สามารถขายข้าวเปลือกของตนได้ในราคาที่ควรจะเป็น
(หรือได้ในราคาที่ใกล้เคียงกับราคาอ้างอิง/เกณฑ์กลางอ้างอิง)
ทั้งนี้เนื่องจากกลไกตลาดในบางพื้นที่ไม่ทำงาน เช่น ถูกกดราคาโดยพ่อค้าท้องถิ่น
ทำให้ขายข้าวเปลือกจริงได้เพียงตันละ 5,000 – 6,000 บาท/ตัน
(ทำให้พี่น้องเกษตรกรต้องเรียกร้องราคาประกันขั้นต่ำให้สูง ๆ เข้าไว้
เพื่อชดเชยกับการกดราคาของพ่อค้าท้องถิ่น) ตรงนี้ถือเป็นจุดอ่อนของ “กลไกตลาดข้าวที่เป็นอยู่เดิม” ไม่ใช่จุดอ่อนของหลักการของ
“โครงการประกันรายได้” แต่ก็เป็นที่น่าสังเกตุว่า
มีผู้ที่พยายามใช้เหตุผลนี้มาโจมตีโครงการประกันรายได้มาโดยตลอด
ตั้งแต่ก่อนที่จะเริ่มโครงการเสียด้วยซ้ำ
ก็คงเป็นหน้าที่ของภาครัฐที่จะต้องสนับสนุนและส่งเสริมให้กลไกตลาดข้าวในท้องถิ่นสามารถทำงานได้เต็มที่
เช่น อาจให้มีการตั้งตลาดกลางขึ้นทั่วทุกภูมิภาค (เช่นเดียวกับยางพารา
ที่ปัจจุบันมีกลไกตลาดกลางเป็นทางเลือกให้ผู้ที่ไม่ต้องการขายยางตรงส่งโรงงานเอกชน)
เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาโดยตรงที่โครงสร้างระบบตลาด
ควบคู่กับโครงการประกันรายได้ที่กำลังดำเนินอยู่ในปัจจุบัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น