ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ 6 ธันวาคม 2550
จากนี้ไปก็เหลือเวลาเพียง 2 สัปดาห์กว่า ๆ
ที่จะถึงวันที่ทุกพรรคการเมืองรอคอยมานานแสนนานนั่นคือ
วันที่ประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจที่แท้จริง
(ตามการปกครองในระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข)
จะได้มีโอกาสเลือกและคัดสรรผู้ที่ตนเห็นสมควรที่ใช้อำนาจนี้แทนตน
สภาธุรกิจตลาดทุนไทย เมื่อวันอังคารที่ 4 ธ.ค.
2550 จึงได้ถือโอกาสนี้ ได้เชิญตัวแทน 7 พรรคการเมืองใหญ่
เพื่อเข้าร่วมการแสดงวิสัยทัศน์ ในหัวข้อเรื่อง นโยบายพรรคในการบริหารตลาดทุน เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ระบบเศรษฐกิจไทย
เพื่อให้ทราบถึงนโยบายของแต่ละพรรคการเมือง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาตลาดทุนไทย
(ซึ่งเป็นที่น่ายินดีว่าในการแสดงวิสัยทัศน์ดังกล่าว
มีการกล่าวถึงความสำคัญกับการพัฒนาตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (AFET)
ด้วย) ตามรายละเอียดที่ได้มีการรายงานไปแล้วโดยสื่อมวลชนแขนงต่าง ๆ
หลายท่านคงอาจยังไม่ทราบว่าปัจจุบันนี้
ประเทศไทยเรามีตลาดที่มีการจัดตั้งอย่างเป็นทางการ หรือ Organized
Exchange อยู่ 3 ประเภท 5 ตลาด ครับ อันได้แก่ 1) ตลาดหุ้น (Stock
Exchange) มีอยู่สองตลาดได้แก่ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)
และ ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (MAI) 2)
ตลาดล่วงหน้า (Futures Exchange) มีอยู่สองตลาด ได้แก่
ตลาดอนุพันธ์ (TFEX) และ
ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (AFET) และ 3)
ตลาดพันธบัตร (Bond Exchange) มีอยู่ตลาดเดียว ได้แก่
ตลาดตราสารหนี้ (BEX) (เพราะว่า ThaiBMA หรือ เดิมชื่อศูนย์ซื้อขายตราสารหนี้ไทยไม่ถือว่าเป็นตลาดนะครับ)
ทั้งหมดนับรวมเป็น 5 ตลาด สอดคล้องกับกับชื่อรายการตอนเช้าทางช่อง 5
ที่ชื่อว่ารายการ ก้าวทัน 5 ตลาดทุน นะครับ
ก่อนที่จะลงรายละเอียดตลาดทุนควรจะถูกบริหารหรือพัฒนาไปถึงจุดใดนั้น
ประเด็นที่สำคัญที่สุดที่ควรพิจารณาก่อนก็คือ คุณสมบัติของตลาดที่ดี หรือ Characteristics
of a Good Market ตามหลักวิชาการแล้ว มีว่าอย่างไรบ้าง
แล้วถึงค่อยมาพิจารณากันว่าท่านผู้บริหารทั้งหลายจะมีนโยบายที่จะนำพาตลาดให้มีคุณสมบัติของการเป็น
Good Market ได้อย่างไร
คุณสมบัติของการเป็น Good
Market นั้น โดยสรุปแล้วมีอยู่ 4 ข้อครับ
(ท่านผู้อ่านที่สนใจสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในหนังสือ Investment
Analysis Portfolio Management โดย Reilly and Brown ครับ) ได้แก่ 1) มีข้อมูลที่ถูกต้อง ครบถ้วน ทันสมัย 2) ตลาดมีสภาพคล่อง (Liquidity)
3) ค่าธรรมเนียมการซื้อขายต่ำ 4)
ราคาในตลาดสะท้อนต่อข้อมูลข่าวสารและภาวะตลาดที่เป็นจริง
คุณสมบัติประการแรกของ Good
Market ที่ว่าตลาดต้องมีข้อมูลที่ถูกต้อง ครบถ้วน และทันสมัย
ทั้งในแง่ของราคาซื้อขาย (Price) ปริมาณและมูลค่าการซื้อขาย
(Volume and Value) รวมถึงราคาเสนอซื้อหรือเสนอขาย
คุณสมบัตินี้เข้าใจง่ายครับเพราะว่ามันมีความหมายชัดเจนในตัวมันเองอยู่แล้ว
อีกทั้งด้วยระบบคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เนตที่ทันสมัย
(ไม่เหมือนสมัยก่อนที่มีปัญหาเรื่องการติดต่อสื่อสาร
ทำให้มีการได้เปรียบเสียเปรียบกันในการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร) ผมเห็นว่าตลาดทั้ง 5
ของเราล้วนมีคุณสมบัติที่ว่านี้อยู่แล้ว
ถัดมาก็เป็นคุณสมบัติที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดกันมาก
แทบจะทุกครั้งเมื่อมีการพิจารณาว่าการซื้อขายสินค้า หรือ ตลาดใดประสบความสำเร็จ
นั่นคือ คุณสมบัติเรื่อง สภาพคล่อง หรือ Liquidity ซึ่งประเด็นนี้นับเป็นประเด็นที่มีผู้คนบางท่านเข้าใจผิดครับว่า
การมีสภาพคล่อง คือ การมีปริมาณการซื้อขายหรือ Volume สูง ๆ
หรือ มาก ๆ ซึ่งก็ถูกต้อง แต่ไม่ทั้งหมด เพราะว่าจริง ๆ แล้ว
การที่สินค้าหรือตลาดมีสภาพคล่อง หรือ Liquidity นั้น แปลว่า
สินค้านั้นสามารถถูกซื้อ หรือ นำไปขาย ได้อย่างรวดเร็ว
โดยราคาไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากราคาก่อนหน้ามากนัก (มีความต่อเนื่องของราคา หรือ Price
Continuity ภายใต้สมมติฐานว่าไม่มีข้อมูลใหม่เข้ามากระทบตลาด)
ซึ่งการที่สินค้าใดจะเป็นอย่างนั้นได้สินค้าชนิดดังกล่าวต้องของที่ทุกคนต้องการ
(หรือ Marketability) นั่นเอง
ตัวอย่างของสินค้าที่มีสภาพคล่อง เช่น หุ้นปตท. หุ้นปูนซีเมนต์ไทย
หรือหุ้นแบงค์กรุงเทพ เป็นต้น
เมื่อสินค้าใดมีคุณสมบัติเรื่องสภาพคล่องแล้ว
ผู้ซื้อ/ผู้ขายหรือนักลงทุนก็จะมีความมั่นใจกล้าเข้าซื้อ หรือกล้าเข้าขาย
สินค้านั้น ๆ (เพราะรู้แล้วว่าเมื่อซื้อไปแล้วหากต้องการขาย ก็จะมีคนมารับซื้อต่อ
ณ ราคาตามกลไกตลาด เช่นเดียวกันกับคนขายเมื่อขายไปแล้วต้องการซื้อคืน
ก็จะมีคนยินดีให้ซื้อคืน ณ ราคาตามกลไกตลาด)
ฉะนั้นการที่สินค้ามีปริมาณการซื้อขายเยอะ ๆ
ไม่ได้แปลว่าสินค้าชนิดนั้นมีสภาพคล่องนะครับ เช่น กรณีอาจมีการซื้อขาย Big
Lots หุ้น A ทีเดียว 73,000 ล้านบาท
ในช่วงเช้า แล้วไม่มีการเสนอซื้อ (Bid) หรือ เสนอขาย (Offer)
อีกเลยในช่วงบ่าย ด้วยพฤติกรรมของหุ้น A อย่างนี้เราก็ไม่ถือว่าหุ้น
A นี้มีสภาพคล่อง
เมื่อสินค้ามีสภาพคล่อง
ผู้ซื้อ/ผู้ขายก็จะกล้าที่จะเข้าซื้อขาย ซึ่งก็จะทำให้สินค้านั้น ๆ
มีสภาพคล่องมากยิ่งขึ้นไปอีก เป็นไปตามคำฝรั่งที่ว่า Liquidity
draws Liquidity นั้นเอง จึงไม่น่าแปลกอะไรสำหรับสินค้าชนิดใหม่ ๆ
ยังไม่คุ้นเคยของผู้ซื้อ/ผู้ขายทั่วไปมากนัก (เช่น SET50
Index Futures หรือ Exchange Trade Fund (ETF) หรือTDEX) ในช่วงเริ่มต้นสำหรับการซื้อขาย
จึงมีการกำหนดให้มีผู้ดูแลสภาพคล่อง (หรือ Market Maker ที่กำกับดูแลโดยตลาด)
ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างสภาพคล่องและความมั่นใจให้ผู้ซื้อ/ผู้ขายรายย่อยได้
โดยเมื่อมีผู้ซื้อ/ขายมากรายเริ่มเข้ามาซื้อขายแล้วเริ่มคุ้นเคยแล้ว
ก็อาจทำให้สินค้าชนิดดังกล่าวสามารถมีสภาพคล่องได้ด้วยตัวของมันเอง ซึ่งในเวลานั้นอาจทำให้
Market Maker หมดความจำเป็นไปก็ได้
วันนี้หน้ากระดาษหมดแล้วครับ
ผมขออนุญาตยกยอดประเด็นคุณสมบัติการเป็น Good Market ทีเหลืออยู่อีก
2 ข้อ ได้แก่ 3) ค่าธรรมเนียมการซื้อขายต่ำ 4)
ราคาในตลาดสะท้อนต่อข้อมูลข่าวสารและภาวะตลาดที่เป็นจริง ไว้ในโอกาสหน้านะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น