วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

CERTAINLY POSSIBLE และ PRICE REVERSAL ในสินค้าโภคภัณฑ์ ?

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 9 ธันวาคม 2553

เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาที่ ฯณฯ Ben Bernanke ประธานระบบธนาคารกลางของสหรัฐ (U.S. Federal Reserve System หรือ FED) ได้ให้สัมภาษณ์รายการ 60 Minutes ทางช่อง CBS ฟรี TV ในสหรัฐ เกี่ยวกับการดำเนินนโยบายทางการเงินต่าง ๆ ของ FED ดังปรากฏตามรายละเอียดตามหน้าหนังสือพิมพ์ในช่วงที่ผ่านมาไปแล้ว ผู้อ่านที่สนใจสามารถหารับชมได้ทาง youtube.com นะครับ

การสัมภาษณ์ครั้งนี้ Bernanke ได้กล่าวคำศัพท์สวยน่าฟังอีกแล้ว (ชอบเป็นการส่วนตัวครับ) นั่นคือ “Certainly Possible” ซึ่งแปลว่า เป็นไปได้อย่างแน่นอนว่า คณะกรรมการนโยบายการเงินของ FED จะทำการอัดเงินเข้าระบบด้วยการซื้อพันธบัตรอีก หรือ ทำ Quantitative Easing (QE) อีกเป็นคำรบ 3 หากมีความจำเป็น (ทั้ง ๆ ที่การทำ QE ที่ผ่านมาทั้ง 2 รอบได้ถูกวิจารณ์อย่างหนักว่าไม่ได้ผล)

Bernanke พยายามเน้นย้ำให้สาธารณชนทั่วโลกทราบว่า นโยบาย QE ที่ FED ได้ดำเนินอยู่ในขณะนี้ไม่ใช่การพิมพ์เงินออกมา (PRINTING MONEY) เหมือนอย่างที่กล่าวหากัน โดยให้เหตุผลว่า นโยบาย QE เป็นนโยบายทางการเงินที่ทำให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำด้วยการเข้าซื้อพันธบัตรเท่านั้น และ หลังจากการทำ QE นี้ ปริมาณเงินในระบบไม่ได้เพิ่มขึ้นจากเดิมอย่างมีนัยยะ

อีกประเด็นหนึ่งที่ Bernanke พยายามจะสื่อให้กับผู้คนอเมริกันก็คือ เรื่องที่ผู้คนมีความกลัวต่อปัญหาเงินเฟ้อกันเกินเหตุ พร้อมทั้งแสดงความเชื่อมั่น 100% เต็มว่า FED จะสามารถควบคุมเงินเฟ้อได้ด้วยนโยบายดอกเบี้ย (โดยหากจำเป็น FED สามารถปรับขึ้นดอกเบี้ยได้ภายใน 15 นาที) โดยระบุชัดเจนว่าจะไม่ยอมให้อัตราเงินเฟ้อมีระดับที่สูงกว่า 2 % ต่อปี (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ใน Bloomberg, Bernanke Says More Fed Purchases ‘Certainly Possible’ Dec 6th, 2010)

การออกมาให้สัมภาษณ์ของ Bernanke ในครั้งนี้ ก็เหมือนทุก ๆ ครั้งที่ผ่านมาครับ ได้รับโดนโจมตีอย่างกว้างขวาง บ้างก็หาว่า Bernanke โกหกเกี่ยวกับนโยบาย QE ว่าไม่ใช่การพิมพ์เงิน (ทั้ง ๆ ที่เป็นการพิมพ์เงินออกมาโดยไม่มีต้นทุน)

บ้างก็แสดงความเห็นว่าจะเชื่อ Bernanke อีกได้อย่างไรว่าจะสามารถควบคุมอัตราเงินเฟ้อได้ ทั้ง ๆ ที่ Bernanke เองก็ได้ประเมินและดำเนินนโยบายการเงินที่ผิดพลาดมาหลายครั้งในช่วงก่อนวิกฤติ Sub-prime เมื่อ 2 ปีที่แล้ว

ส่วนตัวผมก็เชื่อ Bernanke บ้างในบางเรื่องครับ เช่น เรื่อง FED สามารถขึ้นดอกเบี้ยได้ภายใน 15 นาที แต่ไม่เชื่อครับว่า FED จะทำภายใต้ข้อจำกัดในปัจจุบัน และเชื่ออีกว่าการดำเนินนโยบายแบบที่ FED กำลังดำเนินอยู่ ณ ขณะนี้ มีวัตถุประสงค์อื่นนอกเหนือจากการกดอัตราดอกเบี้ยให้ต่ำ นั่นคือ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เงินดอลล่าร์อ่อนค่าลงเพื่อช่วยกระตุ้นการส่งออกของสหรัฐ (ซึ่งเป็นการกดดันนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนของจีนไปด้วยในตัว)

ราคาของสินค้าไม่ว่าจะเป็นทองคำ เงินแท่ง น้ำตาล กาแฟ ยางพารา ดัชนีราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่างปรับตัวตอบรับบทสัมภาษณ์ “Certainly Possible” ของ Bernanke (เพราะเชื่อมั่นว่าน่าจะมี QE 3.0 ออกมาอีก) โดยได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อไปอีกหลังจากเพิ่มขึ้นมาแล้วพอสมควรจากนโยบาย QE 2.0 เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา

โดยเฉพาะสินค้าทองคำที่เป็นที่ฮือฮาพอสมควรในบ้านเรา เนื่องจากราคาได้เพิ่มขึ้นสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ ทะลุระดับ 2 หมื่นบาทเป็นครั้งแรกเมื่อวันจันทร์ที่ 6 ธันวาคม 2553

แต่ ณ สิ้นวันทำการของวันอังคารที่ 7 ธันวาคม 2553 ด้วยเหตุผลกลใดไม่ทราบได้ ณ ราคาปิด ที่ตลาด NYSE ในสหรัฐ กราฟแสดงราคาทองคำ และน้ำมันดิบ (ซึ่งพอจะถือได้ว่าเป็นตัวแทนของสินค้าโภคภัณฑ์ทั้งหมด) ที่มี Exchange Traded Fund (ETF) ได้แก่ GLD (SPDR Gold Trust Shares) และ USO (United States Oil Fund) เป็น Proxies รวมถึง ดัชนีราคาสินค้าโภคภัณฑ์ Commodity Research Bureau (CRB) ต่างพร้อมใจกันมีรูปแบบ




ซึ่งเป็นรูปแบบของการวิเคราะห์ทาง Technique ที่เรียกว่าสัญญา Reversal หรือ สัญญาณการกลับตัวของราคา ได้แก่ รูปแบบของ Key Reversal; Outside Reversal หรือ Bearish Engulfing Pattern แสดงความเป็นไปได้ของการกลับตัวของราคาไปในทิศทางตรงข้าม เช่น ในกรณีนี้จากขาขึ้นไปเป็นขาลง











โดยในทองคำรูปแบบที่เกิดขึ้นถือเป็น Key Reversal ครับเนื่องจาก Reversal นี้เกิดขึ้นที่ระดับ all time high แต่สำหรับน้ำมัน และดัชนี CRB นั้นรูปแบบที่เกิดขึ้นถือได้เป็นแค่ Outside Reversal หรือ Bearish Engulfing Pattern (เนื่องจากรูปแบบที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดที่ระดับ all time high เหมือนทองคำ) แต่ก็ถือว่าเป็นรูปแบบ Reversal ที่มีนัยยะพอสมควร

ก็คงต้องเฝ้าติดตามต่อไปว่าการ Form รูปแบบ Reversal ของราคาของสินค้าโภคภัณฑ์ในครั้งนี้ เป็นเพียงแค่การปรับฐานเพื่อทำกำไรระยะสั้น หรือ ภาวะกดดันไม่ว่าจะเป็นเรื่อง Deflation หรือ De-leveraging จากวิกฤติหนี้ทั้งในยุโรปและในรัฐบาลท้องถิ่นของสหรัฐเอง หรือ จากภาวะการว่างงานในระบบเศรษฐกิจตะวันตก จะกลับมาประทุทำให้เกิดเป็นการเปลี่ยน Trend รอบใหญ่ของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ คำตอบคงจวนจะออกมาในอนาคตอันใกล้นี้แล้วครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น