วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

สงครามค่าเงิน..รอบใหม่

 ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 10 เมษายน 2014

          เป็นเวลาประมาณ 1 ปี มาแล้วนับตั้งแต่ประเด็นเรื่อง "สงครามค่าเงิน" หรือ Currency Wars ที่ได้ถูกยกขึ้นมาเป็นประเด็นในเวทีระดับสากลของโลก ไม่ว่าจะเป็น G7 หรือ G20 อันมีเหตุมาจากจากนโยบาย Abenomics ของ  ฯณฯ ซินโซะ อาเบะ  (Shinzo Abe) นายกรัฐมนตรีประเทศญี่ปุ่น ในช่วงที่พี่แกเพิ่งเข้ารับตำแหน่งใหม่ ๆ

          หากยังจำกันได้ นโยบายการ Abenomics ประกอบไปด้วย นโยบายด้านการคลังและด้านการเงิน โดยในส่วนของด้านการคลัง Abenomics ได้อัดฉีดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจจำนวน 10.3 ล้านล้านเยน ลงไปในโครงการโครงสร้างพื้นฐานของประเทศอาทิ สะพานอุโมงค์ถนนที่ทนต่อแผ่นดินไหว หรือ โครงการพลังงานสะอาด ฯลฯ

          ขณะที่ด้านฝั่งนโยบายการเงินนายกฯอาเบะ ต้องการเห็นอัตราเงินเฟ้อญี่ปุ่นปรับเพิ่มขึ้นไปเป็นที่เป้าหมาย 2% ภายในเวลา 2 ปี โดยเป็นหน้าที่ของ นายฮารุฮิโกะ คุโรดะ ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น (Central Bank of Japan หรือ BOJ) ที่ได้สนองนโยบายด้วยการดำเนินนโยบายการเงินแบบ Quantitative and Qualitative Easing หรือ Q&QE คล้ายคลึงกับมาตรการ QE ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ซึ่งเป็นการปั๊มเงินออกมาซื้อสินทรัพย์ต่างๆ ในตลาดการเงิน

          โดยเฉพาะอย่างยิ่งตราสารหนี้ และอื่น ๆ เช่น กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ของญี่ปุ่น (Japan Real Estate Investment Trusts: J-REITS) ในอัตราเดือนละ 7.5 ล้านล้านเยน หรือ 80,000 ล้านดอลลาร์ (ขนาดเกือบเท่ากับของสหรัฐ ก่อน Tapering) และมีนโยบายจะเพิ่ม Monetary Base หรือ ฐานเงิน (ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือ เงินสด ได้แก่ ธนบัตร +เหรียญไม่รวมเงินในบัญชีเงินฝาก) อีกเท่าตัว จากฐานเงินเดิมประมาณ 135 ล้านล้านเยน ไปเป็น 270 ล้านล้านเยน ณ สิ้นเดือนมี.ค.2558

          การปรากฏขึ้นของ Abenomics เมื่อปีที่แล้ว ส่งผลให้ค่าเงินเยนอ่อนค่าลงทันที ซึ่งก็ตรงไปตรงมานะครับว่า เมื่อมีการปั๊มเงินออกมาปริมาณเงินเยนในระบบย่อมมากขึ้น และเมื่อเงินเยนมีมากขึ้นแล้ว มูลค่าของมันย่อมเสื่อมค่าลงไป ซึ่งก็เป็นไปตามหลักการของทฤษฎีอำนาจซื้อ (Purchasing Power Parity :PPP) ที่กล่าวไว้ว่า เมื่อประเทศใดมีอัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ค่าเงินของประเทศนั้นย่อมอ่อนค่าลงไป จะส่งผลเป็นตัวช่วยโดยตรงต่อภาคการส่งออก และภาคการท่องเที่ยวของญี่ปุ่น

          ตัวอย่างที่ชัดเจนใกล้ตัวพวกเราที่สุดก็คือ การอ่อนค่าของเงินเยนนี้ได้ปลุกกระแสบูมของการแห่ไปเที่ยวญี่ปุ่นของคนไทยจำนวนมาก ด้วยเหตุผลเรื่องค่าใช้จ่ายที่ถูกลง และได้ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง ต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวและส่งออกของประเทศ ที่เป็นคู่แข่งโดยตรงของญี่ปุ่น อย่าง จีน และเกาหลีใต้

          ในช่วงที่ผ่านมาก ทางการญี่ปุ่นก็ได้ออกมาปฏิเสธว่าญี่ปุ่นมิได้มีนโยบายในการแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยนให้เงินเยนอ่อนค่าหรือจะทำให้เกิดประเด็นเรื่องของสงครามค่าเงินหรือ Currency Wars แต่อย่างใด โดยอธิบายว่าการดำเนินนโยบาย Abenomics ในฝั่งของนโยบายการเงินของบีโอเจเป็นเพียงการกำหนดนโยบายเงินเฟ้อเป้าหมาย หรือ Inflation Targeting ที่แบงก์ชาติของหลาย ๆ ประเทศก็ล้วนทำกันทั้งนั้น

          ฉะนั้น คำว่า Currency Wars หรือสงครามค่าเงิน ซึ่งเป็นการแข่งกันให้ค่าเงินของประเทศตนอ่อนค่าลง (Competitive Devaluation) จึงเริ่มและเกิดขึ้นมาอย่างเงียบๆ แล้วตั้งแต่ช่วงวิกฤตเศรษฐกิจที่สหรัฐ ซึ่งหลายประเทศมีแรงจูงใจที่จะแข่งกันทำให้ค่าเงินของประเทศตนอ่อนค่าลงเพื่อเป็นการเพิ่มการส่งออก เพิ่มการจ้างงานรวมถึงเพิ่มอัตราการเจริญเติบโตของ GDP ของประเทศนั้น ๆโดยบุคคลผู้แรกที่นำเอาคำว่า "Currency Wars" มากล่าวต่อสาธารณชน ก็คือ รัฐมนตรีคลังของบราซิล นายกุยโด แมนเตก้า (Guido Mantega) เมื่อวันที่ 27 ก.ย. 2553 ที่ออกมาประกาศว่าการที่รัฐบาลของประเทศต่าง ๆ ตั้งใจทำให้ค่าเงินของประเทศตนอ่อนค่าลงได้ส่งผลกระทบต่อความ

          สามารถในการแข่งขันในการส่งออกของบราซิลในช่วงเวลานั้น สำหรับทางการจีนเอง ได้มีข่าวมานานแล้วว่าได้เตรียมรับมือกับสงครามค่าเงินตั้งแต่เนิ่นๆแล้ว โดยบุคคลระดับคนสำคัญอย่างผู้ว่าการธนาคารกลาง (Deputy Governor  of People's Bank of  China ) ได้เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า จีนได้เตรียมความพร้อมเป็นอย่างดีทั้งในด้านนโยบายทางการเงินและกลไกที่เกี่ยวข้อง (China 'Fully Prepared' for Currency War,  The Telegraph, 2 มี.ค.56) คำว่า "Fully Prepared" นี้คงจะเป็นอื่นไปไม่ได้ครับ  นอกเสียจากว่าจีนเตรียมพร้อมที่จะเข้ามาดูแลค่าเงินสกุล หยวน (Yuan) หรือ Renminbi (RMB) ของตนให้อ่อนค่าลงหรือแข็งค่าขึ้น ตามความเหมาะสม

          สำหรับปี 2557 นี้ ประเด็นของสงครามค่าเงิน หรือ  Currency Wars นี้ได้มีการถูกหยิบยกส่งมาพูดกันอีกครั้งหนึ่งครับ โดยเริ่มจากข่าวของการที่จีนยอมขยายช่วงเพดานการซื้อขายของแต่ละวัน (Trading Band) Floor และ Ceiling ของค่าเงินหยวน หรือ Renminbi (RMB) จากเดิมเคลื่อนไหวได้ในแต่ละวันไม่เกิน 1% ไปเป็นช่วงที่กว้างขึ้นคือไม่เกิน 2% ต่อวัน

          การขยาย Trading Band ในครั้งนี้ ดูเหมือนว่าจะสอดคล้องกับนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินของรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมาที่พยายามจะเพิ่มบทบาทของเงินสกุล RMB ในเวทีการค้าโลก หรือ การ Internationalization of RMB โดยเริ่มตั้งแต่เดือนมิ.ย.2553 ที่มีการเปิดให้มีการ Settlement เงินสกุล RMB ได้ที่ฮ่องกงตามด้วยเดือนม.ค. 2554 ที่อนุญาตให้มีการซื้อขาย RMB ในสหรัฐ ได้ที่ Bank of China (Bank of China นี้เป็นธนาคารพาณิชย์อย่าสับสนกับธนาคารกลางของจีนซึ่งคือ People's Bank of China  นะครับ) สอดคล้องไปกับการเดินสายทำข้อตกลง Currency Swap Line กับประเทศ คู่ค้าสำคัญอาทิ สิงคโปร์ มาเลเซีย ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย ฮ่องกง เกาหลีใต้ ไทย บราซิลอาร์เจนติน่า ฯลฯเป็นการเปิดโอกาสให้ธนาคารกลางในแต่ละประเทศสามารถเข้าถึงเงินสกุลหยวนได้

          อย่างไรก็ดี ก็ได้สร้างความกังวลใจให้กับนักลงทุนตะวันตกเหมือนกันถึงเหตุผลอื่นของการขยาย Trading Band ในครั้งนี้ บ้างก็เป็นห่วงว่า อาจจะเป็นการเตรียมพร้อมของจีนก่อนที่จะเข้าสู่ Currency Wars อย่างเต็มรูปแบบ เนื่องจากการขยาย Trading Band นี้จะเป็นการเปิดช่องให้ค่าเงินหยวนเคลื่อนไหวไปถึงจุดเป้าหมายหรือ Target ได้เร็วยิ่งขึ้น(ในวัน ๆ หนึ่งสามารถเคลื่อนไหวไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งได้มากขึ้น) ไม่ต้องรอให้ขึ้นหรือลงวันละ 1%เหมือนแต่ก่อน

          จึงเป็นที่น่าสังเกตว่า ตั้งแต่สิ้นปี 2556 เป็นต้นมา ค่าเงินหยวน มีทิศทางที่อ่อนค่าลงมาโดยตลอด โดยปรับค่าจาก 6 หยวนต่อดอลลาร์ มาอยู่ที่ 6.2 หยวนต่อดอลลาร์  ( ณ 9 เม.ย.) ซึ่งคิดเป็นการอ่อนค่าลงประมาณ 3.3% ซึ่งสำหรับการอ่อนค่าลงของค่าเงินหยวนในครั้งนี้ ผู้คนในแวดวงทั้งการเมืองและการเงินของสหรัฐและเอเชียเชื่อว่าเป็นความตั้งใจของจีนในการที่อยากจะเห็นค่าเงินหยวนอ่อนค่าลงด้วยวัตถุประสงค์เพื่อให้ได้เปรียบประเทศคู่แข่งซึ่งจะเป็นการกระตุ้นการส่งออก และหลายฝ่ายยังเชื่อว่าจีนยังมีแรงจูงใจที่จะทำให้ค่าเงินหยวนนี้อ่อนค่าลงไปอีก

          แน่นอนว่า หากค่าเงินหยวนนี้ยังมีแนวโน้มที่จะอ่อนค่าลง ย่อมส่งผลกระทบต่อประเทศอื่น ๆ อันอาจจะทำให้ประเทศอื่น ๆ ออกมาตรการให้ค่าเงินของประเทศตนอ่อนค่าลงด้วย ซึ่งถือได้ว่าเป็นการเปิดฉากสงครามค่าเงินรอบใหม่ในปี 2557 นี้ อย่างเป็นทางการครับ      

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น