ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 10 เมษายน 2014
เป็นเวลาประมาณ 1 ปี
มาแล้วนับตั้งแต่ประเด็นเรื่อง "สงครามค่าเงิน" หรือ Currency Wars ที่ได้ถูกยกขึ้นมาเป็นประเด็นในเวทีระดับสากลของโลก ไม่ว่าจะเป็น G7 หรือ G20 อันมีเหตุมาจากจากนโยบาย Abenomics
ของ ฯณฯ ซินโซะ อาเบะ (Shinzo Abe) นายกรัฐมนตรีประเทศญี่ปุ่น
ในช่วงที่พี่แกเพิ่งเข้ารับตำแหน่งใหม่ ๆ
หากยังจำกันได้ นโยบายการ Abenomics ประกอบไปด้วย นโยบายด้านการคลังและด้านการเงิน โดยในส่วนของด้านการคลัง
Abenomics ได้อัดฉีดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจจำนวน 10.3 ล้านล้านเยน
ลงไปในโครงการโครงสร้างพื้นฐานของประเทศอาทิ สะพานอุโมงค์ถนนที่ทนต่อแผ่นดินไหว
หรือ โครงการพลังงานสะอาด ฯลฯ
ขณะที่ด้านฝั่งนโยบายการเงินนายกฯอาเบะ
ต้องการเห็นอัตราเงินเฟ้อญี่ปุ่นปรับเพิ่มขึ้นไปเป็นที่เป้าหมาย 2% ภายในเวลา 2 ปี
โดยเป็นหน้าที่ของ นายฮารุฮิโกะ คุโรดะ ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น (Central Bank of Japan
หรือ BOJ) ที่ได้สนองนโยบายด้วยการดำเนินนโยบายการเงินแบบ
Quantitative and Qualitative Easing หรือ Q&QE คล้ายคลึงกับมาตรการ QE ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED)
ซึ่งเป็นการปั๊มเงินออกมาซื้อสินทรัพย์ต่างๆ ในตลาดการเงิน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งตราสารหนี้ และอื่น ๆ
เช่น กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ของญี่ปุ่น (Japan Real Estate
Investment Trusts: J-REITS) ในอัตราเดือนละ 7.5 ล้านล้านเยน หรือ
80,000 ล้านดอลลาร์ (ขนาดเกือบเท่ากับของสหรัฐ ก่อน
Tapering) และมีนโยบายจะเพิ่ม Monetary Base หรือ
ฐานเงิน (ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือ เงินสด ได้แก่ ธนบัตร
+เหรียญไม่รวมเงินในบัญชีเงินฝาก) อีกเท่าตัว จากฐานเงินเดิมประมาณ 135
ล้านล้านเยน ไปเป็น 270 ล้านล้านเยน ณ สิ้นเดือนมี.ค.2558
การปรากฏขึ้นของ Abenomics เมื่อปีที่แล้ว ส่งผลให้ค่าเงินเยนอ่อนค่าลงทันที
ซึ่งก็ตรงไปตรงมานะครับว่า เมื่อมีการปั๊มเงินออกมาปริมาณเงินเยนในระบบย่อมมากขึ้น
และเมื่อเงินเยนมีมากขึ้นแล้ว มูลค่าของมันย่อมเสื่อมค่าลงไป
ซึ่งก็เป็นไปตามหลักการของทฤษฎีอำนาจซื้อ (Purchasing Power Parity :PPP) ที่กล่าวไว้ว่า เมื่อประเทศใดมีอัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น
ค่าเงินของประเทศนั้นย่อมอ่อนค่าลงไป จะส่งผลเป็นตัวช่วยโดยตรงต่อภาคการส่งออก
และภาคการท่องเที่ยวของญี่ปุ่น
ตัวอย่างที่ชัดเจนใกล้ตัวพวกเราที่สุดก็คือ การอ่อนค่าของเงินเยนนี้ได้ปลุกกระแสบูมของการแห่ไปเที่ยวญี่ปุ่นของคนไทยจำนวนมาก
ด้วยเหตุผลเรื่องค่าใช้จ่ายที่ถูกลง และได้ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง
ต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวและส่งออกของประเทศ ที่เป็นคู่แข่งโดยตรงของญี่ปุ่น อย่าง
จีน และเกาหลีใต้
ในช่วงที่ผ่านมาก
ทางการญี่ปุ่นก็ได้ออกมาปฏิเสธว่าญี่ปุ่นมิได้มีนโยบายในการแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยนให้เงินเยนอ่อนค่าหรือจะทำให้เกิดประเด็นเรื่องของสงครามค่าเงินหรือ Currency Wars แต่อย่างใด โดยอธิบายว่าการดำเนินนโยบาย Abenomics ในฝั่งของนโยบายการเงินของบีโอเจเป็นเพียงการกำหนดนโยบายเงินเฟ้อเป้าหมาย
หรือ Inflation Targeting ที่แบงก์ชาติของหลาย ๆ
ประเทศก็ล้วนทำกันทั้งนั้น
ฉะนั้น คำว่า Currency Wars หรือสงครามค่าเงิน ซึ่งเป็นการแข่งกันให้ค่าเงินของประเทศตนอ่อนค่าลง (Competitive
Devaluation) จึงเริ่มและเกิดขึ้นมาอย่างเงียบๆ
แล้วตั้งแต่ช่วงวิกฤตเศรษฐกิจที่สหรัฐ
ซึ่งหลายประเทศมีแรงจูงใจที่จะแข่งกันทำให้ค่าเงินของประเทศตนอ่อนค่าลงเพื่อเป็นการเพิ่มการส่งออก
เพิ่มการจ้างงานรวมถึงเพิ่มอัตราการเจริญเติบโตของ GDP ของประเทศนั้น
ๆโดยบุคคลผู้แรกที่นำเอาคำว่า "Currency Wars" มากล่าวต่อสาธารณชน
ก็คือ รัฐมนตรีคลังของบราซิล นายกุยโด แมนเตก้า (Guido Mantega) เมื่อวันที่ 27 ก.ย. 2553 ที่ออกมาประกาศว่าการที่รัฐบาลของประเทศต่าง ๆ
ตั้งใจทำให้ค่าเงินของประเทศตนอ่อนค่าลงได้ส่งผลกระทบต่อความ
สามารถในการแข่งขันในการส่งออกของบราซิลในช่วงเวลานั้น สำหรับทางการจีนเอง
ได้มีข่าวมานานแล้วว่าได้เตรียมรับมือกับสงครามค่าเงินตั้งแต่เนิ่นๆแล้ว
โดยบุคคลระดับคนสำคัญอย่างผู้ว่าการธนาคารกลาง (Deputy Governor of People's Bank of China ) ได้เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า
จีนได้เตรียมความพร้อมเป็นอย่างดีทั้งในด้านนโยบายทางการเงินและกลไกที่เกี่ยวข้อง
(China 'Fully Prepared' for Currency War, The Telegraph, 2 มี.ค.56) คำว่า
"Fully Prepared" นี้คงจะเป็นอื่นไปไม่ได้ครับ
นอกเสียจากว่าจีนเตรียมพร้อมที่จะเข้ามาดูแลค่าเงินสกุล หยวน (Yuan)
หรือ Renminbi (RMB) ของตนให้อ่อนค่าลงหรือแข็งค่าขึ้น
ตามความเหมาะสม
สำหรับปี 2557 นี้
ประเด็นของสงครามค่าเงิน หรือ Currency Wars นี้ได้มีการถูกหยิบยกส่งมาพูดกันอีกครั้งหนึ่งครับ
โดยเริ่มจากข่าวของการที่จีนยอมขยายช่วงเพดานการซื้อขายของแต่ละวัน (Trading
Band) Floor และ Ceiling ของค่าเงินหยวน หรือ
Renminbi (RMB) จากเดิมเคลื่อนไหวได้ในแต่ละวันไม่เกิน 1%
ไปเป็นช่วงที่กว้างขึ้นคือไม่เกิน 2% ต่อวัน
การขยาย Trading Band ในครั้งนี้
ดูเหมือนว่าจะสอดคล้องกับนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินของรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมาที่พยายามจะเพิ่มบทบาทของเงินสกุล
RMB ในเวทีการค้าโลก หรือ การ Internationalization of RMB โดยเริ่มตั้งแต่เดือนมิ.ย.2553 ที่มีการเปิดให้มีการ Settlement เงินสกุล RMB ได้ที่ฮ่องกงตามด้วยเดือนม.ค. 2554
ที่อนุญาตให้มีการซื้อขาย RMB ในสหรัฐ ได้ที่ Bank of
China (Bank of China นี้เป็นธนาคารพาณิชย์อย่าสับสนกับธนาคารกลางของจีนซึ่งคือ
People's Bank of China นะครับ)
สอดคล้องไปกับการเดินสายทำข้อตกลง Currency Swap Line กับประเทศ
คู่ค้าสำคัญอาทิ สิงคโปร์ มาเลเซีย ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย ฮ่องกง เกาหลีใต้ ไทย
บราซิลอาร์เจนติน่า ฯลฯเป็นการเปิดโอกาสให้ธนาคารกลางในแต่ละประเทศสามารถเข้าถึงเงินสกุลหยวนได้
อย่างไรก็ดี ก็ได้สร้างความกังวลใจให้กับนักลงทุนตะวันตกเหมือนกันถึงเหตุผลอื่นของการขยาย Trading Band ในครั้งนี้ บ้างก็เป็นห่วงว่า อาจจะเป็นการเตรียมพร้อมของจีนก่อนที่จะเข้าสู่ Currency Wars อย่างเต็มรูปแบบ เนื่องจากการขยาย Trading Band นี้จะเป็นการเปิดช่องให้ค่าเงินหยวนเคลื่อนไหวไปถึงจุดเป้าหมายหรือ Target ได้เร็วยิ่งขึ้น(ในวัน ๆ หนึ่งสามารถเคลื่อนไหวไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งได้มากขึ้น) ไม่ต้องรอให้ขึ้นหรือลงวันละ 1%เหมือนแต่ก่อน
จึงเป็นที่น่าสังเกตว่า ตั้งแต่สิ้นปี
2556 เป็นต้นมา ค่าเงินหยวน มีทิศทางที่อ่อนค่าลงมาโดยตลอด โดยปรับค่าจาก 6
หยวนต่อดอลลาร์ มาอยู่ที่ 6.2 หยวนต่อดอลลาร์
( ณ 9 เม.ย.) ซึ่งคิดเป็นการอ่อนค่าลงประมาณ 3.3%
ซึ่งสำหรับการอ่อนค่าลงของค่าเงินหยวนในครั้งนี้
ผู้คนในแวดวงทั้งการเมืองและการเงินของสหรัฐและเอเชียเชื่อว่าเป็นความตั้งใจของจีนในการที่อยากจะเห็นค่าเงินหยวนอ่อนค่าลงด้วยวัตถุประสงค์เพื่อให้ได้เปรียบประเทศคู่แข่งซึ่งจะเป็นการกระตุ้นการส่งออก
และหลายฝ่ายยังเชื่อว่าจีนยังมีแรงจูงใจที่จะทำให้ค่าเงินหยวนนี้อ่อนค่าลงไปอีก
แน่นอนว่า
หากค่าเงินหยวนนี้ยังมีแนวโน้มที่จะอ่อนค่าลง ย่อมส่งผลกระทบต่อประเทศอื่น ๆ
อันอาจจะทำให้ประเทศอื่น ๆ ออกมาตรการให้ค่าเงินของประเทศตนอ่อนค่าลงด้วย
ซึ่งถือได้ว่าเป็นการเปิดฉากสงครามค่าเงินรอบใหม่ในปี 2557 นี้ อย่างเป็นทางการครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น