วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ทิศทางราคาสินค้าในช่วงเวลาที่ผ่านมา

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 10 ธันวาคม 2552

มาถึงเวลาใกล้สิ้นปีอย่างนี้ ท่านผู้อ่านรู้สึกตัวกันบ้างไหมครับว่า ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของเราได้พากันขึ้นราคากันมาอีกแล้ว (หลังจากที่ปรับตัวลดลงไปเมื่อช่วงต้นปี 2552 นี้เนื่องจากวิกฤติเศรษฐกิจ) อาทิ เมื่อตอนต้นปี (วันที่ 8 ม.ค.52) น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 และ น้ำมัน B5 Plus ของ ปตท. ที่จำหน่ายอยู่เพียงที่ 16.89 บาท/ลิตร และ 17.44 บาท/ลิตร ตามลำดับ แต่มาตอนช่วงต้นเดือนสุดท้ายของปีอย่างนี้ (วันที่ 8 ธ.ค.52) ป.ต.ท. ขายแก๊สโซฮอล์ 95 และ B5 Plus ถึงลิตรละ 31.74 บาท/ลิตร และ 26.79 บาท ตามลำดับ หรือ คิดเป็นการเพิ่มขึ้นถึง 88% และ 54% (ข้อมูลจาก ปตท.)

การปรับตัวดังกล่าวอาจจะเนื่องมาจากการที่ราคาน้ำมันดิบใน New York Mercantile Exchange หรือ NYMEX (ซึ่งถือกันว่าเป็นราคาในตลาดโลก) ซึ่งราคาปิด ณ วันที่ 2 ม.ค.52 อยู่ที่ 46.34 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล มีราคาสูงขึ้นถึง 60% โดยราคาปิด ณ วันที่ 8 ธ.ค.52 อยู่ที่ระดับประมาณ 74 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

การปรับตัวเพิ่มขึ้นของน้ำมันในช่วงระยะเวลาประมาณเกือบปีมานี้กว่า 80% และ 50% ทั้งในส่วนของแก๊สโซฮอล์ 95 ซึ่งใช้แทนน้ำมันเบนซินเป็นเชื้อเพลิงสำหรับรถยนต์ส่วนบุคคล และน้ำมัน B5 Plus ซึ่งใช้แทนน้ำมันดีเซลเป็นเชื้อเพลิงสำหรับรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ ถือได้ว่าเป็นการปรับตัวที่ค่อนข้างรุนแรง เนื่องจากเป็นการเพิ่มต้นทุนของผู้ใช้รถใช้ถนนและต้นทุนการขนส่งสินค้าได้เพิ่มขึ้นทันทีถึงกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ อีกทั้ง ผมเชื่อว่าคงมีน้อยคนนักที่จะมีรายได้เพิ่มขึ้นมากกว่า 50% ในช่วงปีที่ผ่านมานี้ จึงอาจสามารถพูดได้ว่าการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันดังกล่าวนี้ ถือเป็นภาระสำหรับทุกคนในสังคม โดยเฉพาะเป็นภาระที่หนักสำหรับอุตสาหกรรมการขนส่งและการประมงที่ต้นทุนในการดำเนินกิจการ กว่าครึ่งต้องจ่ายเป็นค่าน้ำมัน

ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ชนิดอื่น ได้แก่ สินค้าเกษตร โลหะมีค่า โลหะพื้นฐาน ต่างปรับตัวเพิ่มขึ้นโดยทั่วหน้า เช่น ทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้น 30% เงินปรับตัวเพิ่มขึ้น 52% หรือจะเป็นสินค้าเกษตรสำคัญของไทยในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า (AFET) เช่น ยางพารา โดยยางแผ่นรมควันชั้น 3 (RSS3) ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 51 บาท/กก. มาอยู่ที่ 91.9 บาท/กก. หรือเพิ่มขึ้น 80.20% ข้าวขาว 5 เปอร์เซ็นต์ (BWR5) ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 17.75 บาท/กก. มาอยู่ที่ 18.72 บาท/กก. หรือเพิ่มขึ้น 5.46% ข้าวขาว 5 เปอร์เซ็นต์ (BWR5) ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 17.75 บาท/กก. มาอยู่ที่ 18.72 บาท/กก. หรือเพิ่มขึ้น 5.46% และ ข้าวขาว 5 เปอร์เซ็นต์ (BWR5) ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 17.75 บาท/กก. มาอยู่ที่ 18.72 บาท/กก. หรือเพิ่มขึ้น 5.46%

การปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาดังกล่าว (ผนวกกับโครงการประกันราคาผลิตผลการเกษตรจากรัฐบาลชุดนี้) ก็น่าจะทำให้เกษตรกรไทยในปีนี้น่ายิ้มออกมาได้บ้างนะครับ ซึ่งเมื่อได้เห็นการปรับตัวเพิ่มของสินค้าเกษตรชนิดสำคัญๆ ของไทยข้างต้น ทำให้ผมนึกย้อนไปถึง ท่านอาจารย์โกร่ง หรือ ดร.วีรพงษ์ รามางกูร อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตรัฐมนตรีหลายสมัย ซึ่งในช่วงปลายปี 2550 ท่านได้ออกแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาวะเศรษฐกิจหลายครั้งผ่านการประชุมวิชาการหลายแห่ง และผ่านคอลัมน์ "คนเดินตรอก" ในหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจในวันที่ 12 พ.ย.50 ว่าเมื่อภาคเศรษฐกิจเกิดการชะลอตัว ภาคการเกษตรจะสามารถรองรับรองรับระบบเศรษฐกิจของประเทศได้ เนื่องจากภาคการเกษตรจะมีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือประเทศช่วงที่เศรษฐกิจภายในประเทศเกิดความซบเซา และในขณะเดียวกันภาคการเกษตรจะเป็นภาคประกันสังคมให้กับประชาชน (ผู้จัดการ วันที่ 14 พ.ย.50) ซึ่งเป็นจริงอย่างมากในสถานการณ์ในปัจจุบัน

อย่างไรก็ดี ความผันผวนของราคาสินค้าดังกล่าวไม่ว่าจะส่งผลกระทบไปถึงต้นทุนการผลิต (เช่น น้ำมัน) หรือกระทบถึงรายได้ (เช่นราคาสินค้าเกษตรที่ขายได้) ก่อให้เกิดความเสี่ยง หรือ RISK ครับ ซึ่งแน่นอนว่าหากต้องการลดความเสี่ยงดังกล่าว การบริหารจัดการนั้นก็ต้องมีต้นทุนในการบริหารความเสี่ยง ครั้งหนึ่ง ผมเคยได้ยินคำบ่นของพ่อค้าท่านหนึ่งว่า น้ำมันจะแพงยังไงผมไม่กลัวหรอก ผมกลัวแต่มันจะผันผวน เพราะว่าถึงมันจะแพงแต่ถ้าไม่ผันผวน ผมก็สามารถคำนวณต้นทุนการผลิตของผมได้ ซึ่งถ้าคำนวณแล้วไม่คุ้มผมจะได้เลิกกิจการมันไปเลย ไม่ใช่ราคามาขึ้นๆ ลงๆ อย่างนี้สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นของเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงด้านราคา เช่น Futures Exchange (หรือ เครื่องมือทางการเงินอื่นๆ) ที่สามารถช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถเห็นแนวโน้มของราคาและสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงด้านราคาของตนได้

การที่เราจะวัดว่าสินค้าชนิดหรือประเภทใดมีความผันผวนมากกว่ากันนั้น ในทางวิชาการ วัดกันที่ค่าที่เรียกว่าค่า Volatility ซึ่งมีหน่วยเป็นร้อยละของราคาสินค้า สินค้าใดที่มีค่า Volatility สูงจะมีราคาที่ผันผวนกว่าสินค้าที่มีค่า Volatility ต่ำ ตัวอย่างเช่น ณ ปัจจุบัน ยางแผ่นรมควันชั้น 3 หรือ RSS Futures ที่ซื้อขายกันในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า (AFET) มีค่า Volatility ประมาณ 32 % ต่อปี ขณะที่ ข้าวขาว 5% มีค่าความผันผวนอยู่ที่ประมาณ 20% ต่อปี เป็นต้น (เทียบกับค่าความผันผวนของดัชนี S&P 500 ในสหรัฐซึ่งปัจจุบันค่า Volatility อยู่ที่ 23.69)โดย ค่าความผันผวน หรือ Volatility นี้จะเป็นตัวบอกว่าราคาสินค้าชนิดหนึ่ง มีสิทธิจะเพิ่มขึ้น หรือลดลงได้รุนแรงผันแปรไปตามค่า Volatility ดังกล่าว แต่ไม่สามารถบอกว่าราคาสินค้าจะมีแนวโน้มเป็นอย่างไร

ผู้ค้าทั่วโลกจึงต้องอาศัยกลไกของ Futures Exchange ในการติดตามแนวโน้มของราคาสินค้าในอนาคตได้ เนื่องจากราคาที่ซื้อขายกันใน Futures Exchange เป็นราคาที่เกิด Demand และ Supply ของสินค้าชนิดนั้นเพื่อส่งมอบสินค้ากันในอนาคต ซึ่งปัจจัยต่างๆ สามารถเปลี่ยนแปลงได้ขึ้นอยู่กับข้อมูลต่างๆ ที่มีอยู่ ซึ่งภายใต้ภาวะการที่ราคาสินค้ามีความผันผวนและมีความเป็นไปได้ที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นหรือลงได้อย่างรุนแรงดังปัจจุบันนี้ ผู้ที่เกี่ยวข้องกับราคาสินค้าจึงสามารถใช้ราคาล่วงหน้า AFET มามีส่วนช่วยในการวางแผนการผลิตของตนได้

สำหรับประเด็นของความแม่นยำของราคาใน Futures Exchange ว่ามีความแม่นยำเพียงใดนั้น จากการศึกษาข้อมูลของตลาดสินค้าล่วงหน้าในต่างประเทศพบว่าไม่ปรากฏเครื่องมือพยากรณ์ราคาที่ดีกว่าการใช้ราคาในตลาดล่วงหน้าอย่างมีนัย อีกทั้งการใช้ราคาในตลาดล่วงหน้านั้นไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งน่าจะดีกว่า การจ้างที่ปรึกษาราคาแพงมาทำการพยากรณ์ราคาเพื่อวางแผนการผลิตนั้นๆ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น