ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 10 ธันวาคม 2552
มาถึงเวลาใกล้สิ้นปีอย่างนี้ ท่านผู้อ่านรู้สึกตัวกันบ้างไหมครับว่า
ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของเราได้พากันขึ้นราคากันมาอีกแล้ว
(หลังจากที่ปรับตัวลดลงไปเมื่อช่วงต้นปี 2552 นี้เนื่องจากวิกฤติเศรษฐกิจ) อาทิ
เมื่อตอนต้นปี (วันที่ 8 ม.ค.52) น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 และ น้ำมัน B5 Plus ของ ปตท. ที่จำหน่ายอยู่เพียงที่ 16.89
บาท/ลิตร และ 17.44 บาท/ลิตร ตามลำดับ แต่มาตอนช่วงต้นเดือนสุดท้ายของปีอย่างนี้
(วันที่ 8 ธ.ค.52) ป.ต.ท. ขายแก๊สโซฮอล์ 95 และ B5
Plus ถึงลิตรละ 31.74 บาท/ลิตร และ 26.79 บาท ตามลำดับ หรือ
คิดเป็นการเพิ่มขึ้นถึง 88% และ 54% (ข้อมูลจาก ปตท.)
การปรับตัวดังกล่าวอาจจะเนื่องมาจากการที่ราคาน้ำมันดิบใน New York
Mercantile Exchange หรือ NYMEX (ซึ่งถือกันว่าเป็นราคาในตลาดโลก)
ซึ่งราคาปิด ณ วันที่ 2 ม.ค.52 อยู่ที่ 46.34 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล มีราคาสูงขึ้นถึง
60% โดยราคาปิด ณ วันที่ 8 ธ.ค.52 อยู่ที่ระดับประมาณ 74 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
การปรับตัวเพิ่มขึ้นของน้ำมันในช่วงระยะเวลาประมาณเกือบปีมานี้กว่า
80% และ 50% ทั้งในส่วนของแก๊สโซฮอล์ 95
ซึ่งใช้แทนน้ำมันเบนซินเป็นเชื้อเพลิงสำหรับรถยนต์ส่วนบุคคล และน้ำมัน B5 Plus ซึ่งใช้แทนน้ำมันดีเซลเป็นเชื้อเพลิงสำหรับรถยนต์เพื่อการพาณิชย์
ถือได้ว่าเป็นการปรับตัวที่ค่อนข้างรุนแรง
เนื่องจากเป็นการเพิ่มต้นทุนของผู้ใช้รถใช้ถนนและต้นทุนการขนส่งสินค้าได้เพิ่มขึ้นทันทีถึงกว่า
50 เปอร์เซ็นต์ อีกทั้ง ผมเชื่อว่าคงมีน้อยคนนักที่จะมีรายได้เพิ่มขึ้นมากกว่า 50%
ในช่วงปีที่ผ่านมานี้ จึงอาจสามารถพูดได้ว่าการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันดังกล่าวนี้
ถือเป็นภาระสำหรับทุกคนในสังคม
โดยเฉพาะเป็นภาระที่หนักสำหรับอุตสาหกรรมการขนส่งและการประมงที่ต้นทุนในการดำเนินกิจการ
กว่าครึ่งต้องจ่ายเป็นค่าน้ำมัน
ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ชนิดอื่น ได้แก่ สินค้าเกษตร
โลหะมีค่า โลหะพื้นฐาน ต่างปรับตัวเพิ่มขึ้นโดยทั่วหน้า เช่น
ทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้น 30% เงินปรับตัวเพิ่มขึ้น 52%
หรือจะเป็นสินค้าเกษตรสำคัญของไทยในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า (AFET) เช่น ยางพารา โดยยางแผ่นรมควันชั้น 3 (RSS3)
ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 51 บาท/กก. มาอยู่ที่ 91.9 บาท/กก. หรือเพิ่มขึ้น 80.20%
ข้าวขาว 5 เปอร์เซ็นต์ (BWR5) ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 17.75
บาท/กก. มาอยู่ที่ 18.72 บาท/กก. หรือเพิ่มขึ้น 5.46% ข้าวขาว 5 เปอร์เซ็นต์ (BWR5) ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 17.75 บาท/กก. มาอยู่ที่ 18.72 บาท/กก.
หรือเพิ่มขึ้น 5.46% และ ข้าวขาว 5 เปอร์เซ็นต์ (BWR5)
ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 17.75 บาท/กก. มาอยู่ที่ 18.72 บาท/กก. หรือเพิ่มขึ้น 5.46%
การปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาดังกล่าว
(ผนวกกับโครงการประกันราคาผลิตผลการเกษตรจากรัฐบาลชุดนี้)
ก็น่าจะทำให้เกษตรกรไทยในปีนี้น่ายิ้มออกมาได้บ้างนะครับ
ซึ่งเมื่อได้เห็นการปรับตัวเพิ่มของสินค้าเกษตรชนิดสำคัญๆ ของไทยข้างต้น
ทำให้ผมนึกย้อนไปถึง ท่านอาจารย์โกร่ง หรือ ดร.วีรพงษ์ รามางกูร
อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตรัฐมนตรีหลายสมัย ซึ่งในช่วงปลายปี 2550
ท่านได้ออกแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาวะเศรษฐกิจหลายครั้งผ่านการประชุมวิชาการหลายแห่ง
และผ่านคอลัมน์ "คนเดินตรอก" ในหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจในวันที่ 12
พ.ย.50 ว่าเมื่อภาคเศรษฐกิจเกิดการชะลอตัว
ภาคการเกษตรจะสามารถรองรับรองรับระบบเศรษฐกิจของประเทศได้
เนื่องจากภาคการเกษตรจะมีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือประเทศช่วงที่เศรษฐกิจภายในประเทศเกิดความซบเซา
และในขณะเดียวกันภาคการเกษตรจะเป็นภาคประกันสังคมให้กับประชาชน (ผู้จัดการ วันที่
14 พ.ย.50) ซึ่งเป็นจริงอย่างมากในสถานการณ์ในปัจจุบัน
อย่างไรก็ดี
ความผันผวนของราคาสินค้าดังกล่าวไม่ว่าจะส่งผลกระทบไปถึงต้นทุนการผลิต (เช่น
น้ำมัน) หรือกระทบถึงรายได้ (เช่นราคาสินค้าเกษตรที่ขายได้) ก่อให้เกิดความเสี่ยง
หรือ RISK ครับ ซึ่งแน่นอนว่าหากต้องการลดความเสี่ยงดังกล่าว
การบริหารจัดการนั้นก็ต้องมีต้นทุนในการบริหารความเสี่ยง ครั้งหนึ่ง
ผมเคยได้ยินคำบ่นของพ่อค้าท่านหนึ่งว่า “น้ำมันจะแพงยังไงผมไม่กลัวหรอก
ผมกลัวแต่มันจะผันผวน เพราะว่าถึงมันจะแพงแต่ถ้าไม่ผันผวน
ผมก็สามารถคำนวณต้นทุนการผลิตของผมได้
ซึ่งถ้าคำนวณแล้วไม่คุ้มผมจะได้เลิกกิจการมันไปเลย ไม่ใช่ราคามาขึ้นๆ ลงๆ อย่างนี้”
สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นของเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงด้านราคา
เช่น Futures Exchange (หรือ เครื่องมือทางการเงินอื่นๆ)
ที่สามารถช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถเห็นแนวโน้มของราคาและสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงด้านราคาของตนได้
การที่เราจะวัดว่าสินค้าชนิดหรือประเภทใดมีความผันผวนมากกว่ากันนั้น
ในทางวิชาการ วัดกันที่ค่าที่เรียกว่าค่า Volatility ซึ่งมีหน่วยเป็นร้อยละของราคาสินค้า
สินค้าใดที่มีค่า Volatility สูงจะมีราคาที่ผันผวนกว่าสินค้าที่มีค่า
Volatility ต่ำ ตัวอย่างเช่น ณ ปัจจุบัน ยางแผ่นรมควันชั้น 3
หรือ RSS Futures ที่ซื้อขายกันในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า (AFET)
มีค่า Volatility ประมาณ 32 % ต่อปี ขณะที่
ข้าวขาว 5% มีค่าความผันผวนอยู่ที่ประมาณ 20% ต่อปี เป็นต้น
(เทียบกับค่าความผันผวนของดัชนี S&P 500
ในสหรัฐซึ่งปัจจุบันค่า Volatility อยู่ที่ 23.69)โดย
ค่าความผันผวน หรือ Volatility นี้จะเป็นตัวบอกว่าราคาสินค้าชนิดหนึ่ง
มีสิทธิจะเพิ่มขึ้น หรือลดลงได้รุนแรงผันแปรไปตามค่า Volatility ดังกล่าว แต่ไม่สามารถบอกว่าราคาสินค้าจะมีแนวโน้มเป็นอย่างไร
ผู้ค้าทั่วโลกจึงต้องอาศัยกลไกของ Futures Exchange ในการติดตามแนวโน้มของราคาสินค้าในอนาคตได้
เนื่องจากราคาที่ซื้อขายกันใน Futures Exchange เป็นราคาที่เกิด
Demand และ Supply ของสินค้าชนิดนั้นเพื่อส่งมอบสินค้ากันในอนาคต
ซึ่งปัจจัยต่างๆ สามารถเปลี่ยนแปลงได้ขึ้นอยู่กับข้อมูลต่างๆ ที่มีอยู่
ซึ่งภายใต้ภาวะการที่ราคาสินค้ามีความผันผวนและมีความเป็นไปได้ที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นหรือลงได้อย่างรุนแรงดังปัจจุบันนี้
ผู้ที่เกี่ยวข้องกับราคาสินค้าจึงสามารถใช้ราคาล่วงหน้า AFET มามีส่วนช่วยในการวางแผนการผลิตของตนได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น