วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ระบบตลาดสินค้าล่วงหน้าในจีน

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 14 สิงหาคม 2551

ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ข่าวที่เป็นที่สนใจของผู้คนในบ้านในเมืองเราทุกคน น่าจะเป็นข่าวการตัดสินใจของท่านอดีตนายกฯ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร และภรรยา ว่าจะกลับมาไทย เพื่อรายงานตัวต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในวันที่ 11 สิงหาคม 2551 หรือไม่

แต่ก็มีอีก 2 ข่าวที่เป็นที่สนใจไม่แพ้กัน นั่นก็คือ ข่าว "ช้างเหยียบนา พระยาเหยียบเมือง" ของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ที่เยือนไทยระหว่างวันที่ 6-7 สิงหาคม 2551 และข่าวของมหกรรมกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 2008 ปักกิ่งเกมส์ ที่จีนรับหน้าเสื่อเป็นเจ้าภาพ ซึ่งมีพิธีเปิดในวันมหาเฮงของชาวจีนนั่นคือวันที่ 08-08-08

ท่านที่ติดตามชมพิธีเปิดปักกิ่งเกมส์ 2008 คงได้เห็นนะครับว่า จีนได้ลงทุนกับโอลิมปิกครั้งนี้ยิ่งใหญ่มโหฬาร สมหรือไม่กับตำแหน่งของประเทศอภิมหาอำนาจทางเศรษฐกิจรายใหม่ของโลก

ตามรายงานของธนาคารโลก ณ สิ้นปี ค.ศ.2007 จีนมีขนาดเศรษฐกิจตามที่วัดโดย Gross Domestic Product (GDP) ประมาณ 3.28 ล้านล้านดอลลาร์ นับเป็นอันดับ 4 ของโลกรองจากประเทศเยอรมนี (US$3.30 ล้านล้าน) ญี่ปุ่น (US$4.38 ล้านล้าน) และสหรัฐอเมริกา (US$13.8 ล้านล้าน) ซึ่งแน่นอนแล้วว่า จีนคงแซงเยอรมนีขึ้นมาอยู่ที่อันดับ 3 ในปีนี้ และหากจีนยังคงรักษาอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจไว้ที่กว่า 10% ได้ จีนก็คงแซงหน้าญี่ปุ่นขึ้นอันดับ 2 ได้ในอีก 4-5 ปีข้างหน้า

การเพิ่มขึ้นของขนาดเศรษฐกิจของจีนมาอยู่ในอันดับ 4 ของโลกในปัจจุบันนี้ เป็นผลมาจากการปฏิรูประบบเศรษฐกิจของประเทศในปี ค.ศ.1979 โดยเริ่มจากระบบเกษตรกรรม อุตสาหกรรม การเงิน การคลัง การธนาคาร การกำหนดราคา และแรงงาน อีกทั้งมีการพัฒนาและจัดตั้งตลาดหลักทรัพย์ในช่วงปีต้นทศวรรษที่ 1980

ผลพวงจากการปฏิรูปเศรษฐกิจในเรื่องของการผ่อนปรนจากนโยบายการควบคุมราคาสินค้าในจีน ทำให้ระบบตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ได้มีการพัฒนาขึ้น โดยเริ่มจากการที่รัฐบาลจีนได้อนุญาตให้เอกชนจัดตั้งตลาดได้ในปี ค.ศ.1988 ทำให้ในช่วง ค.ศ.1993-1994 มีการจัดตั้งตลาดสินค้าล่วงหน้าในประเทศจีนกว่า 30 แห่ง ด้วยบริษัทโบรกเกอร์จำนวน 2,500 ราย และมี 35 รูปแบบของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่ซื้อขาย อาทิ สัญญาซื้อขายล่วงหน้าข้าวโพด ถั่วเหลือง ข้าวสาลี ทองคำ โลหะพื้นฐาน พลังงาน ปิโตรเคมี พันธบัตรรัฐบาล

ในช่วงเวลานั้น สินค้าที่ซื้อขายกันกระจัดกระจายในแต่ละตลาด เช่น มีอยู่ 3 ตลาดที่เปิดให้ซื้อขายโลหะพื้นฐาน (Shanghai Shenzhen และ Jinpeng) มีอยู่ 7 ตลาดที่เปิดให้ซื้อขายธัญพืช มีอยู่ 3 ตลาดที่เปิดให้ซื้อขายพลังงานและปิโตรเคมี และมีตลาดศูนย์กลางนั่นคือ Beijing Commodities Exchange ของรัฐบาล ซึ่งเปิดให้ซื้อขายล่วงหน้าสินค้าแทบทุกประเภทข้างต้น

แต่เนื่องจากการมีปัญหาเรื่องการใช้ข้อมูลภายในอย่างผิดกฎหมาย ประกอบกับกฎระเบียบต่างๆ ในการกำกับดูแลที่ยังไม่สอดคล้องกับสภาวการณ์ ในช่วงปลายปี ค.ศ.1994 China Securities Regulatory Commission (CSRC) หรือ ก.ล.ต.ของจีน จึงได้เข้มงวดกับการซื้อขายสินค้าล่วงหน้ามากขึ้น ด้วยการสั่งห้ามเปิดตลาดสินค้าล่วงหน้าเพิ่มขึ้น และได้สั่งการให้ปิดตลาดสินค้าล่วงหน้าในจีนหลายแห่ง และ/หรือ บังคับให้ปรับโครงสร้าง หรือให้ไปรวมกับตลาดอื่น ทำให้เหลือตลาดสินค้าล่วงหน้าในจีนในปี ค.ศ.1995 เพียง 15 แห่ง ที่ได้รับอนุญาตให้ทำการซื้อขายได้

ต่อมาในปี ค.ศ.1994-1997 ก็ได้มีเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับการซื้อขายล่วงหน้าในจีนเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับการซื้อขายล่วงหน้าพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งสามารถส่งผลกระทบไปถึงระบบการเงินทั้งระบบของจีนได้ ทำให้ CSRC จึงมีมาตรการเด็ดขาดในการจำกัดการซื้อขายสินค้าล่วงหน้าในประเทศ โดยห้ามซื้อขายล่วงหน้าสินค้าทางการเงินทุกประเภท รวมถึงเริ่มกระบวนการควบรวมตลาดล่วงหน้าของจีนเหลือเพียง 3 ตลาดในปี ค.ศ.1999

ทั้งนี้ 3 ตลาดที่เหลืออยู่ในปี ค.ศ.1999 (ซึ่งซื้อขายล่วงหน้าสินค้าโภคภัณฑ์เท่านั้น) ได้แก่ Zhengzhou Commodity Exchange (ZCE) Dalian Commodity Exchange (DCE) และ Shanghai Futures Exchange (SFE) ซึ่งทั้ง 3 ตลาดนี้จะประสานงานกันอยู่ตลอดเวลา โดย CSRC จะไม่อนุญาตให้เปิดซื้อขายสินค้าซ้ำชนิดหรือประเภทกัน เห็นได้จาก ZCE จะรับผิดชอบสินค้าจำพวกข้าวสาลี ฝ้าย น้ำตาล DCE รับผิดชอบสินค้าจำพวกข้าวโพด ถั่วเหลือง และ SFE รับผิดชอบสินค้าอุตสาหกรรมพื้นฐานได้แก่ ทองแดง อะลูมิเนียม ยางพารา สังกะสี น้ำมัน

ปัจจุบัน หากมีการพิจารณา 10 อันดับแรกของสัญญาซื้อขายสินค้าเกษตรทั่วโลก จะเป็นสัญญาซื้อขายล่วงหน้าสินค้าเกษตรจาก 3 ตลาดจีน เสีย 7 อันดับ โดยสินค้าที่มีการซื้อขายมากที่สุดได้แก่สัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำตาลทรายขาว (White Sugar Futures) ของตลาด ZCE ซึ่งมีปริมาณการซื้อขายในช่วง 5 เดือนแรกของปี ค.ศ.2008 เท่ากับ 61 ล้านสัญญา หรือ ประมาณ 5 แสนสัญญาต่อวัน

หากพิจารณาถึงสัญญาซื้อขายล่วงหน้ายางพารา (Rubber Futures) ในตลาด SFE ซึ่งเป็นสินค้ายางพาราประเภทเดียวกันกับยางพาราที่ซื้อขายกันในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (AFET) ปริมาณการซื้อขายในช่วง 5 เดือนแรกของปี ค.ศ.2008 เท่ากับ 10 ล้านสัญญา หรือ ประมาณ 9 หมื่นสัญญาต่อวัน ซึ่งถือว่ามากมายมหาศาลมากเมื่อเทียบกับปริมาณการซื้อขายยางใน AFET ที่มีอยู่เพียงประมาณ 400-500 สัญญาต่อวันในขณะนี้

นอกเหนือไปจาก 3 ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ยักษ์ใหญ่ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ในเดือนกันยายน ปี 2549 CSRC ก็ได้อนุญาตให้จัดตั้งตลาดล่วงหน้าทางการเงินขึ้นชื่อว่า China Financial Futures Exchange (CFFEX) โดยมีดัชนีหุ้น CSI 300 Index Futures เป็นสินค้าทางการเงินสินค้าแรกที่ทำการซื้อขายล่วงหน้า นับเป็นสินค้าทางการเงินชนิดแรกที่ได้รับอนุญาตให้ซื้อขายอีกครั้งนับตั้งแต่ถูกห้ามซื้อขายมาเมื่อ 10 ปีที่แล้ว จึงทำให้ปัจจุบัน จีนมีตลาดซื้อขายล่วงหน้าอยู่ 4 แห่ง โดย 3 แห่งเป็นตลาดซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ และ 1 แห่งเป็นตลาดซื้อขายสินค้าทางการเงิน

การจัดระบบตลาดซื้อขายล่วงหน้าขึ้นในประเทศดังที่ได้กล่าวมา ถือได้ว่า เป็นการสร้างปัจจัยโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ ที่ผู้บริหารของจีนไม่ได้ละเลยมองข้ามไป (นอกเหนือไปจากระบบตลาดเงินและตลาดหุ้น) สมกับเป็นผู้บริหารประเทศที่กำลังจะก้าวเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจเบอร์ 2 ของโลกในขณะนี้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น