ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 10 กันยายน 2552
เกษตรกรไทยเข้มแข็ง รัฐประกันรายได้
กำไรแน่นอนเป็นสโลแกนของการประชุมเพื่อการมอบนโยบายโครงการประกันราคาผลิตผลการเกษตร
ของรัฐบาล เมื่อวันจันทร์ที่ 7 กันยายน 2552 ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล
โดยมีนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กล่าวมอบนโยบาย และ ท่านกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ
รองนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงรายละเอียดของโครงการฯ และตอบข้อซักถาม
การประชุมมอบนโยบายดังกล่าวประกอบกับการให้สัมภาษณ์ของท่านนายกฯ
ในช่วงเวลาที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลนี้มีความตั้งใจอย่างชัดเจนแล้วว่า
จะปรับเปลี่ยนลักษณะของการช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกร
จากโครงการเดิมที่คุ้นหูคุ้นตากันดีในชื่อของ โครงการรับจำนำสินค้าเกษตร มาเป็น โครงการประกันราคาผลิตผลการเกษตร หรือที่ต่อไปผมของเรียกสั้น
ๆ ว่า โครงการประกันราคา ครับ
จากการเข้ารับฟังการชี้แจงและศึกษาเอกสารที่ได้มีการแจกในการประชุมชี้แจงดังกล่าว
ผมขอสรุปโครงการประกันราคาที่รัฐบาลจะดำเนินการในปีการผลิต 2552/2553 ดังนี้ครับ
รัฐบาลจะดำเนินการแจกสิทธิในการประกันราคาพี่น้องเกษตรกรผู้เข้าร่วมโครงการ
(เกษตรกรผู้เอาประกัน) ในสินค้าข้าวโพด มันสำปะหลัง และ ข้าวเปลือก
โดยราคาประกันขั้นต่ำสำหรับสินค้าข้าวโพดจะเท่ากับ กก.ละ 7.10 บาท
สินค้ามันสำปะหลัง (หัวมันสด) กก.ละ 1.70 บาท ราคาข้าวเปลือกหอมมะลิตันละ 15,300
บาท ข้าวเปลือกเจ้าตันละ 10,000 บาท ฯลฯ
โดย ณ ช่วงเวลาการใช้สิทธิที่ระบุไว้ในสัญญา
(ซึ่งตามหลักการแล้วจะเป็นช่วงเวลาเก็บเกี่ยวผลผลิต) หากราคาตลาดของสินค้าใด
มีระดับราคาที่ต่ำกว่าราคาประกันขั้นต่ำ เกษตรกรผู้เอาประกัน
จะได้รับการชำระเงินส่วนต่างของราคาจากรัฐบาล อาทิ
ตัวอย่างสำหรับข้าวเจ้าราคาประกันอยู่ที่ตันละ 10,000 บาท หากราคาตลาด ณ
เวลาใช้สิทธิ อยู่ที่ 9,000 บาท/ตัน
เกษตรกรผู้เอาประกันก็จะได้รับเงินสดจากค่าส่วนต่างที่ 1,000 บาทต่อตัน
(โดยไม่ต้องขนสินค้าจริงมาที่โรงสี หรือ
จุดรับจำนำเหมือนอย่างที่กระทำกันในโครงการรับจำนำ)
สิทธิดังกล่าวจะคล้าย ๆ กับสิทธิการประกันภัยอุบัติเหตุ
หรือประกันภัยรถยนต์ คือเมื่อเกิดเหตุเสียหาย ผู้เอาประกันมีสิทธิที่จะ Claim ประกัน จากบริษัทประกันได้
ซึ่งโดยปกติแล้วผู้เอาประกันจะต้องจ่ายค่าเบี้ยประกัน (หรือ ค่า Premium) ให้กับบริษัทประกันเพื่อได้มาเพื่อสิทธิดังกล่าว
ตามหลักการแล้วสิทธิที่รัฐบาลจะแจกให้กับพี่น้องเกษตรกรนั้น
เป็นสิทธิในการขายสินค้าเกษตรที่ระดับราคาประกันขั้นต่ำ ซึ่งในทางการเงินแล้ว
การให้สิทธิดังกล่าว เสมือนได้ว่า ภาครัฐจะแจก Put Options ให้แก่เกษตรกรผู้ร่วมโครงการ โดย Put Options ที่ว่า คือ ตราสารอนุพันธ์ประเภทสิทธิในการขายสินค้า ณ ราคา ระยะเวลา
ที่กำหนดไว้ในสัญญา ซึ่งเป็น Put Options ที่มีลักษณะคล้าย ๆ
กับ SET50 Index Options ที่มีการซื้อขายกันในตลาดอนุพันธ์
TFEX ที่ตลาดหลักทรัพย์บ้านเรา โดยค่าใช้จ่าย หรือ
ค่าเบี้ยประกันโดยประมาณที่เหมาะสามารถคำนวณได้ตามสูตร Black-Scholes
Options Pricing Model งานวิชาการที่ได้รับรางวัลโนเบลด้านเศรษฐศาสตร์ในปี
ค.ศ.1997
การดำเนินการนโยบายในลักษณะนี้ไม่ถือว่าของใหม่เนื่องจากได้มีการดำเนินการในลักษณะนี้มาในหลายประเทศ
เช่น ในสหรัฐอเมริกา แคนาดา เม็กซิโก หรือ บราซิล
อีกทั้งก็มีผลการศึกษาทางวิชาการจากหลายหน่วยงาน เช่น ธนาคารโลก (World Bank) ที่ระบุว่าการกำหนดกลุ่มเกษตรกรเป้าหมายที่ควรได้รับการช่วยเหลือจากภาครัฐแล้วทำการช่วยเหลือเกษตรกรด้วยวิธีการสนับสนุนด้านรายได้
(Income Support) หรือ การจ่ายเงินให้เกษตรกรโดยตรง
จะมีประสิทธิภาพในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายกว่าการสนับสนุนด้านราคา (Price
Support) สามารถช่วยลดภาระต่องบประมาณ
และสามารถใช้ในการวางแผนช่วยเหลือในระยะยาวได้
อย่างไรก็ดี ขั้นตอนที่ผมเห็นว่ามีความสำคัญที่สุดสำหรับ โครงการประกันราคา นี้อยู่มี 2
ส่วนคือ 1. การขึ้นทะเบียนเกษตรกร และ 2. การกำหนดราคาตลาดอ้างอิง
ส่วนแรกคือการขึ้นทะเบียนเกษตรกร
เนื่องมากจากโครงการนี้เปิดโอกาสให้เกษตรกรขึ้นทะเบียนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
(รัฐเป็นคนจ่ายเบี้ยประกันให้)
ทำให้อาจจะมีผู้ที่ไม่ได้เป็นเกษตรกรที่แท้จริงแอบเข้ามาขอร่วมโครงการด้วย
ทำให้ขั้นตอนการขึ้นทะเบียนเกษตรกรนี้ต้องกระทำอย่างมีประสิทธิภาพและรัดกุมที่สุด
โดยสำหรับปี 2552/53 นี้
เกษตรกรสามารถขึ้นทะเบียนผู้ปลูก กับ กรมส่งเสริมการเกษตร
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อขอรับ ใบรับรองผลการขึ้นทะเบียนผู้ปลูก
จากนั้นจึงติดต่อขอทำสัญญาประกันราคากับ ธนาคารเพื่อการเกษตรฯ (ธ.ก.ส.)
ในประเด็นนี้
ประเทศเราที่ปัจจุบันอาจมีปัญหาเกษตรกรไม่ได้เป็นเจ้าของพื้นที่เพาะปลูกเอง
ในอนาคตรัฐบาลอาจทำการศึกษาว่าเกษตรกรบ้านเราถือครองที่ดินเองเท่าใด
เช่าพื้นที่เพาะปลูกเท่าไร
แล้วทำการจ่ายเงินชดเชยตามพื้นที่เพาะปลูกตามพื้นที่ที่แท้จริง (Area Payment) ก็ได้ (เหมือนอย่างที่ World Bank ได้ทำการศึกษาและแนะนำไว้แล้วในบางประเทศ
เช่น ตุรกี)
อีกส่วนคือ
การกำหนดราคาตลาดอ้างอิงที่จะนำมาใช้คำนวณส่วนต่างที่เป็นเงินภาครัฐจะจ่ายชดเชยให้กับเกษตรกรผู้เอาประกัน
ราคาตลาดดังกล่าวต้องเป็นราคาที่สะท้อนภาวะการซื้อขายที่แท้จริงและเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย
ซึ่งสำหรับปี 2552/53 นี้ ในแต่ละประเภทสินค้า ได้แก่ ข้าวโพด มันสำปะหลัง
และข้าวเปลือก จะมีคณะอนุกรรมการกำหนดราคาตลาดอ้างอิงทำการกำหนดราคาตลาดอ้างอิง
แล้วประกาศให้เกษตรกรผู้เอาประกันรับทราบอย่างน้อยทุกวันที่ 1 และ วันที่ 16 ในแต่ละเดือน
ในช่วงเวลาที่ผ่านคงต้องยอมรับว่า เกษตรกร ผู้ประกอบการ นักวิชาการ
ส่วนใหญ่ ยังข้อสงสัย เกี่ยวกับรายละเอียดและวิธีการของโครงการประกันราคาดังกล่าว
ในหลายประเด็น เช่น
ประเด็นการขึ้นทะเบียนเกษตรกรว่ามีหลักการในการขึ้นทะเบียนอย่างไร
ประเด็นเรื่องจำนวนผลผลิตสูงสุดที่สามารถเข้าร่วมโครงการว่าจะเป็นเท่าไรและมีความเหมาะสมอย่างไร
ประเด็นเรื่องการคำนวณราคาตลาดอ้างอิงที่เหมาะสม
ซึ่งคงเป็นหน้าที่ของหน่วยงานแม่งาน ได้แก่ กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์
กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ ธนาคารเพื่อการเกษตร ฯ หรือ ธ.ก.ส.
ที่จะต้องทำประชาสัมพันธ์ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องรับทราบอย่างทั่วถึงกัน
เพื่อแสดงให้ว่า รัฐบาลมีความจริงใจที่อยากจะเห็น
เกษตรกรไทยเข้มแข็ง..มีกำไรแน่นอน ตามสโลแกนของโครงการนี้ครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น