วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

เกษตรกรไทยเข้มแข็ง รัฐประกันรายได้…กำไรแน่นอน

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 10 กันยายน 2552

เกษตรกรไทยเข้มแข็ง รัฐประกันรายได้ กำไรแน่นอนเป็นสโลแกนของการประชุมเพื่อการมอบนโยบายโครงการประกันราคาผลิตผลการเกษตร ของรัฐบาล เมื่อวันจันทร์ที่ 7 กันยายน 2552 ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล โดยมีนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กล่าวมอบนโยบาย และ ท่านกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงรายละเอียดของโครงการฯ และตอบข้อซักถาม

การประชุมมอบนโยบายดังกล่าวประกอบกับการให้สัมภาษณ์ของท่านนายกฯ ในช่วงเวลาที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลนี้มีความตั้งใจอย่างชัดเจนแล้วว่า จะปรับเปลี่ยนลักษณะของการช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกร จากโครงการเดิมที่คุ้นหูคุ้นตากันดีในชื่อของ “โครงการรับจำนำสินค้าเกษตร” มาเป็น “โครงการประกันราคาผลิตผลการเกษตร” หรือที่ต่อไปผมของเรียกสั้น ๆ ว่า “โครงการประกันราคา” ครับ

จากการเข้ารับฟังการชี้แจงและศึกษาเอกสารที่ได้มีการแจกในการประชุมชี้แจงดังกล่าว ผมขอสรุปโครงการประกันราคาที่รัฐบาลจะดำเนินการในปีการผลิต 2552/2553 ดังนี้ครับ

รัฐบาลจะดำเนินการแจกสิทธิในการประกันราคาพี่น้องเกษตรกรผู้เข้าร่วมโครงการ (เกษตรกรผู้เอาประกัน) ในสินค้าข้าวโพด มันสำปะหลัง และ ข้าวเปลือก โดยราคาประกันขั้นต่ำสำหรับสินค้าข้าวโพดจะเท่ากับ กก.ละ 7.10 บาท สินค้ามันสำปะหลัง (หัวมันสด) กก.ละ 1.70 บาท ราคาข้าวเปลือกหอมมะลิตันละ 15,300 บาท ข้าวเปลือกเจ้าตันละ 10,000 บาท ฯลฯ

โดย ณ ช่วงเวลาการใช้สิทธิที่ระบุไว้ในสัญญา (ซึ่งตามหลักการแล้วจะเป็นช่วงเวลาเก็บเกี่ยวผลผลิต) หากราคาตลาดของสินค้าใด มีระดับราคาที่ต่ำกว่าราคาประกันขั้นต่ำ เกษตรกรผู้เอาประกัน จะได้รับการชำระเงินส่วนต่างของราคาจากรัฐบาล อาทิ ตัวอย่างสำหรับข้าวเจ้าราคาประกันอยู่ที่ตันละ 10,000 บาท หากราคาตลาด ณ เวลาใช้สิทธิ อยู่ที่ 9,000 บาท/ตัน เกษตรกรผู้เอาประกันก็จะได้รับเงินสดจากค่าส่วนต่างที่ 1,000 บาทต่อตัน (โดยไม่ต้องขนสินค้าจริงมาที่โรงสี หรือ จุดรับจำนำเหมือนอย่างที่กระทำกันในโครงการรับจำนำ)

สิทธิดังกล่าวจะคล้าย ๆ กับสิทธิการประกันภัยอุบัติเหตุ หรือประกันภัยรถยนต์ คือเมื่อเกิดเหตุเสียหาย ผู้เอาประกันมีสิทธิที่จะ Claim ประกัน จากบริษัทประกันได้ ซึ่งโดยปกติแล้วผู้เอาประกันจะต้องจ่ายค่าเบี้ยประกัน (หรือ ค่า Premium) ให้กับบริษัทประกันเพื่อได้มาเพื่อสิทธิดังกล่าว

ตามหลักการแล้วสิทธิที่รัฐบาลจะแจกให้กับพี่น้องเกษตรกรนั้น เป็นสิทธิในการขายสินค้าเกษตรที่ระดับราคาประกันขั้นต่ำ ซึ่งในทางการเงินแล้ว การให้สิทธิดังกล่าว เสมือนได้ว่า “ภาครัฐจะแจก Put Options ให้แก่เกษตรกรผู้ร่วมโครงการ โดย Put Options ที่ว่า คือ ตราสารอนุพันธ์ประเภทสิทธิในการขายสินค้า ณ ราคา ระยะเวลา ที่กำหนดไว้ในสัญญา ซึ่งเป็น Put Options ที่มีลักษณะคล้าย ๆ กับ SET50 Index Options ที่มีการซื้อขายกันในตลาดอนุพันธ์ TFEX ที่ตลาดหลักทรัพย์บ้านเรา โดยค่าใช้จ่าย หรือ ค่าเบี้ยประกันโดยประมาณที่เหมาะสามารถคำนวณได้ตามสูตร Black-Scholes Options Pricing Model งานวิชาการที่ได้รับรางวัลโนเบลด้านเศรษฐศาสตร์ในปี ค.ศ.1997

การดำเนินการนโยบายในลักษณะนี้ไม่ถือว่าของใหม่เนื่องจากได้มีการดำเนินการในลักษณะนี้มาในหลายประเทศ เช่น ในสหรัฐอเมริกา แคนาดา เม็กซิโก หรือ บราซิล อีกทั้งก็มีผลการศึกษาทางวิชาการจากหลายหน่วยงาน เช่น ธนาคารโลก (World Bank) ที่ระบุว่าการกำหนดกลุ่มเกษตรกรเป้าหมายที่ควรได้รับการช่วยเหลือจากภาครัฐแล้วทำการช่วยเหลือเกษตรกรด้วยวิธีการสนับสนุนด้านรายได้ (Income Support) หรือ การจ่ายเงินให้เกษตรกรโดยตรง จะมีประสิทธิภาพในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายกว่าการสนับสนุนด้านราคา (Price Support) สามารถช่วยลดภาระต่องบประมาณ และสามารถใช้ในการวางแผนช่วยเหลือในระยะยาวได้

อย่างไรก็ดี ขั้นตอนที่ผมเห็นว่ามีความสำคัญที่สุดสำหรับ “โครงการประกันราคา” นี้อยู่มี 2 ส่วนคือ 1. การขึ้นทะเบียนเกษตรกร และ 2. การกำหนดราคาตลาดอ้างอิง ส่วนแรกคือการขึ้นทะเบียนเกษตรกร เนื่องมากจากโครงการนี้เปิดโอกาสให้เกษตรกรขึ้นทะเบียนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย (รัฐเป็นคนจ่ายเบี้ยประกันให้) ทำให้อาจจะมีผู้ที่ไม่ได้เป็นเกษตรกรที่แท้จริงแอบเข้ามาขอร่วมโครงการด้วย ทำให้ขั้นตอนการขึ้นทะเบียนเกษตรกรนี้ต้องกระทำอย่างมีประสิทธิภาพและรัดกุมที่สุด โดยสำหรับปี 2552/53 นี้

เกษตรกรสามารถขึ้นทะเบียนผู้ปลูก กับ กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อขอรับ ใบรับรองผลการขึ้นทะเบียนผู้ปลูก จากนั้นจึงติดต่อขอทำสัญญาประกันราคากับ ธนาคารเพื่อการเกษตรฯ (ธ.ก.ส.)

ในประเด็นนี้ ประเทศเราที่ปัจจุบันอาจมีปัญหาเกษตรกรไม่ได้เป็นเจ้าของพื้นที่เพาะปลูกเอง ในอนาคตรัฐบาลอาจทำการศึกษาว่าเกษตรกรบ้านเราถือครองที่ดินเองเท่าใด เช่าพื้นที่เพาะปลูกเท่าไร แล้วทำการจ่ายเงินชดเชยตามพื้นที่เพาะปลูกตามพื้นที่ที่แท้จริง (Area Payment) ก็ได้ (เหมือนอย่างที่ World Bank ได้ทำการศึกษาและแนะนำไว้แล้วในบางประเทศ เช่น ตุรกี)

อีกส่วนคือ การกำหนดราคาตลาดอ้างอิงที่จะนำมาใช้คำนวณส่วนต่างที่เป็นเงินภาครัฐจะจ่ายชดเชยให้กับเกษตรกรผู้เอาประกัน ราคาตลาดดังกล่าวต้องเป็นราคาที่สะท้อนภาวะการซื้อขายที่แท้จริงและเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย ซึ่งสำหรับปี 2552/53 นี้ ในแต่ละประเภทสินค้า ได้แก่ ข้าวโพด มันสำปะหลัง และข้าวเปลือก จะมีคณะอนุกรรมการกำหนดราคาตลาดอ้างอิงทำการกำหนดราคาตลาดอ้างอิง แล้วประกาศให้เกษตรกรผู้เอาประกันรับทราบอย่างน้อยทุกวันที่ 1 และ วันที่ 16 ในแต่ละเดือน

ในช่วงเวลาที่ผ่านคงต้องยอมรับว่า เกษตรกร ผู้ประกอบการ นักวิชาการ ส่วนใหญ่ ยังข้อสงสัย เกี่ยวกับรายละเอียดและวิธีการของโครงการประกันราคาดังกล่าว ในหลายประเด็น เช่น ประเด็นการขึ้นทะเบียนเกษตรกรว่ามีหลักการในการขึ้นทะเบียนอย่างไร ประเด็นเรื่องจำนวนผลผลิตสูงสุดที่สามารถเข้าร่วมโครงการว่าจะเป็นเท่าไรและมีความเหมาะสมอย่างไร ประเด็นเรื่องการคำนวณราคาตลาดอ้างอิงที่เหมาะสม ซึ่งคงเป็นหน้าที่ของหน่วยงานแม่งาน ได้แก่ กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ ธนาคารเพื่อการเกษตร ฯ หรือ ธ.ก.ส. ที่จะต้องทำประชาสัมพันธ์ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องรับทราบอย่างทั่วถึงกัน เพื่อแสดงให้ว่า รัฐบาลมีความจริงใจที่อยากจะเห็น เกษตรกรไทยเข้มแข็ง..มีกำไรแน่นอน ตามสโลแกนของโครงการนี้ครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น