วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

AFET กับคุณสมบัติของการเป็น Good Market (2)

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 20 ธันวาคม 2550

ช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมามีเหตุการณ์เกี่ยวกับเงิน ๆ ทอง ๆ และ การฉ้อโกงหลอกหลวงประชาชน ที่น่าสนใจอยู่หลายเหตุการณ์ครับ ข่าวที่ดังที่สุดที่ทุกท่านต่างเฝ้าติดตามกันด้วยใจระทึก คงหนีไม่พ้นข่าวของ ปตท. ที่ศาลปกครองมีคำสั่งให้โอนทรัพย์สินบางประเภทกลับคืนให้กับแผ่น โดยที่ ปตท. ไม่ต้องถูกเพิกถอนให้ออกจากตลาดหลักทรัพย์ (เหมือนอย่างที่นักลงทุนหลาย ๆ ท่านได้กลัวกัน)

ถัดมาก็เป็นข่าวคราวที่เกี่ยวกับการต้มตุ๋นสารพัดรูปแบบ เช่น แชร์นอกระบบสารพัดประเภทต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น แชร์ข้าวสาร แชร์ก๋วยเตี๋ยว แชร์พวงมาลัย แชร์โสมเกาหลี และล่าสุดก็มีแชร์ยางพารา ซึ่งมีผู้เสียหายทั่วประเทศเข้าร้องทุกข์ต่อเจ้าหน้าที่มากมายหลายพันรายแล้ว

ล่าสุดก็มีกรณีพระเครื่อง “สมเด็จเหนือหัว” ที่ผู้สร้างไปนำตรา “พระมหาพิชัยมงกุฎ” (ซึ่งเป็นหนึ่งในห้าเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ ซึ่งแปลว่า เครื่องหมายความเป็นพระราชา ๕ อย่าง) มาประทับไว้ข้างหลังพระเครื่อง และอ้างว่าได้ใช้มวลสารจากดอกไม้พระราชทานในการสร้างองค์พระ มาถึงขณะนี้มีความเป็นไปได้อย่างสูงว่าจะเป็นการหลอกหลวงประชาชนครั้งใหญ่ เนื่องจากการสร้างพระเครื่องดังกล่าวมิได้ผ่านขั้นตอนการขออนุญาตอย่างถูกต้อง แต่ได้มีการทำประชาสัมพันธ์กันอย่างใหญ่โต ทั้ง ป้ายคัตเอาท์บนทางด่วน สปอร์ตในหน้าหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ และวิทยุ จนมีผู้จ่ายเงินจอง/เช่าพระเครื่องดังกล่าวแล้วจำนวนมาก (ผมเองก็เกือบเช่าไปแล้วเหมือนกันครับ ทั้งชุด 5 สีราคา 4,999 บาท ได้ยินว่ายอดจองปัจจุบันอยู่ที่ประมาณกว่าแสนองค์แล้ว)

แต่หากพูดถึง การต้มตุ๋นหลอกหลวงแล้ว การซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า (หรือสินค้าคอมมอดิตี้ส์) ก็เป็นกรณียอดฮิตอีกกรณีหนึ่งที่มักถูกนำมาอ้างเป็นเหตุผลเพื่อใช้ในการหลอกเงินเหยื่อ ฉะนั้นนักลงทุนหรือผู้ที่สนใจซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ไม่ว่าจะเป็น ข้าวสารล่วงหน้า หรือ ยางพาราล่วงหน้า ควรตรวจสอบให้ดีก่อนนะครับ ว่าบริษัทที่ท่านจะลงทุนผ่านนั้นเป็นบริษัทที่ได้รับการอนุญาตจากคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า (คณะกรรมกรรม ก.ส.ล.) อย่างถูกต้องแล้วหรือไม่ หรือ หากไม่แน่ใจก็โทรไปตรวจสอบได้เลยที่ 0-2685-3250 หรือ ตรวจสอบที่ www.aftc.or.th ครับ

กลับมาที่เรื่องของตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า หรือ AFET ที่ยังค้างอยู่จากตอนที่แล้วนะครับว่า คุณสมบัติของการเป็นตลาดที่ดี หรือ Good Market ที่อยู่ 4 ข้อด้วยกัน อันได้แก่ 1) มีข้อมูลที่ถูกต้อง ครบถ้วน ทันสมัย 2) ตลาดมีสภาพคล่อง (Liquidity) 3) ต้นทุนการซื้อขายต่ำ และ 4) ราคาในตลาดสะท้อนต่อข้อมูลข่าวสารและภาวะตลาดที่เป็นจริง นั้น

คุณสมบัติข้อ 1 และ ข้อ 2 ได้กล่าวถึงไปแล้วในบทความที่แล้วนะครับ มาสัปดาห์นี้ผมข้ออนุญาตพูดถึงคุณสมบัติข้อ 3) และ ข้อ 4) เลยนะครับ

คุณสมบัติข้อ 3) เรื่อง ต้นทุนการซื้อขายต่ำ (Low Transaction Cost) เป็นคุณสมบัติที่สำคัญสำหรับการเป็นตลาด หรือ Exchange ที่ดีครับ กรณีตลาดสินค้าล่วงหน้า ต้นทุนในที่นี้ เช่น ต้นทุนเงินประกัน หรือ Margin ที่ต้องวางไว้ก่อนส่งคำสั่งซื้อหรือขาย และ ต้นทุนค่าธรรมเนียมการซื้อขาย หรือ ค่า Commission ซึ่งต้องจ่ายให้กับ Broker ของตลาด เป็นต้น

ยิ่งตลาดมีต้นทุนการซื้อขายที่ต่ำเท่าไร ย่อมเป็นประโยชน์ต่อผู้ซื้อ-ผู้ขายในตลาด เท่านั้น ฉะนั้นจึงไม่แปลกใจเลยว่า ตลาดที่มีต้นทุนการซื้อขายที่ต่ำกว่า หากสภาพคล่องไม่แตกต่างกันเท่าไร ย่อมสามารถดึงดูดผู้ซื้อ-ผู้ขายให้เข้ามาในตลาดได้มากขึ้นเท่านั้น

สำหรับคุณสมบัติสุดท้ายของการเป็น Good Market นั้น คือ ราคาในตลาดสะท้อนต่อข้อมูลข่าวสารและภาวะตลาดที่เป็นจริง นั้น ก็คือการที่ราคาในตลาดต้องปรับตัวสอดคล้องไปกับข้อมูลข่าวสารที่เปลี่ยนแปลงไป ตัวอย่างของ กรณีปตท. ที่เมื่อมีการตัดสินของศาลปกครองออกมา ตลาดหลักทรัพย์ก็รอจนกว่าผลข้อสรุปได้ผ่านการเห็นชอบของ ครม. จึงอนุญาตให้หุ้นปตท. สามารถทำการซื้อขายได้อีก ซึ่งเมื่อเริ่มเปิดทำการซื้อขายแล้ว การที่ราคาของหุ้น ปตท. ได้ปรับตัวสะท้อนไปกับข้อมูลข่าวสารที่ตลาดได้รับรู้กันล่าสุด ก็เป็นการแสดงให้เห็นว่าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมีคุณสมบัติของการเป็น Good Market ในข้อ 4 นี้เป็นอย่างดี

สำหรับ AFET เอง หากมีการประเมินกันเรื่องคุณสมบัติการเป็น Good Market กันประเด็นที่หลายฝ่ายมักหยิบยกขึ้นมากล่าวถึงกันหนีไม่พ้นเรื่องของสภาพคล่อง (Liquidity) และหากเมื่อมีการพูดถึงประเด็นเรื่องสภาพคล่องแล้ว ก็จะมีการพูดไปถึงประเด็นเรื่องต้นทุนการซื้อขายล่วงหน้า (Transaction Cost) เนื่องจากมีข้อสังเกตุมาจากหลาย ๆ ฝ่ายครับว่า การที่ปัจจุบัน AFET ยังไม่มีสภาพคล่องเท่าที่ควรนั้น เหตุผลส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะว่า AFET มีต้นทุนการซื้อขายที่สูงเมื่อเทียบกับตลาดคู่แข่งอื่น ๆ

เมื่อมีข้อท้วงติงมา AFET และ ทางสำนักงาน กสล. ก็มิได้นิ่งนอนใจครับ โดยในขณะนี้ ได้ร่วมกับ Broker สินค้าเกษตรล่วงหน้าที่มีอยู่ในขณะนี้ 9 ราย (ดังรายชื่อใน www.afet.or.th/thai/exchange/members/) ได้ทำการประเมินและปรับปรุงในประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเรื่องของต้นทุนการซื้อขายล่วงหน้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง อัตราเงินประกัน (Margin) ค่าธรรมเนียมการซื้อขาย (Commission) ค่าธรรมเนียมที่ตลาดเรียกเก็บ (Exchange Fee) ซึ่งคาดว่าน่าจะมีผลลัพธ์ที่ออกมาเป็นรูปธรรมได้ภายในสิ้นปี 2550 นี้

อย่างไรก็ดีในระหว่างการรอผลลัพธ์ที่จะออกมาเป็นรูปธรรม ในช่วงนี้ AFET ก็ได้มีการเปิดตัว ระบบการเผยแพร่ข้อมูลราคาระบบใหม่ คือ ระบบตอบรับโทรศัพท์อัตโนมัติ หรือ Interactive Voice Response (IVR) ผ่านหมายเลข 02-263-9888 เพื่อให้ผู้ที่สนใจรับฟังรายงานราคาสินค้าเกษตรล่วงหน้าแบบ Real Time มาตั้งแต่วันที่ 3 ธ.ค.50 เป็นต้นมา

อีกทั้งยังได้ทำการขยายเวลาการซื้อขายใน AFET ไปอีก 45 นาที จากเดิม 10.00 – 15.00 น. ไปเป็น 10.00 – 15.45 น. และการปรับลดขนาดของช่วงวิ่งของราคา (Tick Size) สำหรับยางแผ่นรมควันชั้น 3 จากเดิม เคลื่อนไหวขึ้นลง ขั้นละ 10 สตางค์ มาเป็นขั้นละ 5 สตางค์ โดยจะเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2551 นี้

ส่วนตัวแล้ว ผมเชื่อว่ามาตราการต่าง ๆ ที่ได้กล่าวไปน่าจะช่วยให้ AFET มีคุณสมบัติในการเป็น Good Market ที่สมบูรณ์ได้ในอนาคตอันใกล้นี้ครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น