วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

วิกฤตการณ์ Subprime ลามถึงการซื้อขายล่วงหน้า Commodities

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 16 สิงหาคม 2550

มาถึงนาทีนี้ผมเชื่อว่า ผู้อ่านทุกท่านคงได้บริโภคข่าวสารเกี่ยวกับวิกฤตการณ์สินเชื่อในอเมริกา สำหรับลูกค้าที่เครดิตไม่ค่อยดี หรือ ที่ เรียกกันว่า Subprime นะครับ ความเสียหายที่เกิดนี้เกิดจากผู้กู้ที่เครดิตไม่ดีขอกู้เงินจากสถาบันการเงินแล้วนำมาซื้อที่อยู่อาศัย จากนั้นด้วยเหตุผลใดก็ตามเกิดการบิดพลิ้วผิดนัดชำระเงิน (Default)

จนทำเกิดปัญหาเรื่องสภาพคล่องในหมู่บรรดาสถาบันการเงินผู้ปล่อยกู้เช่น Countrywide Financial หรือ New Century Financial และต้องทำให้บริษัทอย่าง American Home Mortgage ต้องปิดตัวไปในช่วงต้นเดือนนี้

แต่ปัญหาไม่ได้หยุดอยู่แค่ที่ธนาคารผู้ปล่อยกู้เท่านั้นครับ เพราะ ที่ในสหรัฐ สถาบันการเงินมักจะใช้วิธีการทางการเงินที่เรียกว่า Securitization ซึ่งมีวิธีการนำรายได้ที่ปล่อยกู้เงินดังกล่าว หลาย ๆ รายมารวมกัน จัดแต่งให้สวยเป็น Package เรียกว่า Asset-Backed Securities (ABS) แล้วนำไปขายให้ผู้ที่สนใจ เช่น สถาบันการเงิน กองทุน หรือ นักลงทุน

มากไปกว่านั้น ด้วยความชาญฉลาดของนักการเงิน ก็ยังมีการนำ ABS มารวมกัน แล้วใส่รวมกัน (แล้วปนกับเครื่องมือทางการเงินอื่น) ใน Package ใหม่ที่ซับซ้อนขึ้น ที่เรียกว่า Collateralized Debt Obligations (CDOs)

ตลาดของ CDOs ได้มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องติดต่อกันมาหลายปีแล้ว ว่ากันว่าแค่ในไตรมาสที่ 4 ของปีที่แล้ว มีการออก CDO มาซื้อขายกันมากกว่า แสนล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 3.4 ล้านล้านบาท และ CDO ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ Subprime ที่มีอยู่จำนวนหนึ่ง (ตัวเลขนี้ยังไม่แน่นอนครับ)

ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อ เกิดการ Default ในสินเชื่อ Subprime ทำให้เจ้าตัว CDO ที่เกี่ยวข้องกับ Subprime ที่ว่านี้ขาดสภาพคล่อง เนื่องมาจากการซื้อขาย CDO ทั้งหมดจะเป็นการซื้อขายนอกตลาด หรือ ที่เรียกกันว่า Over the Counter (OTC) ซึ่งเมื่อไม่มีใครสนใจจะซื้อ CDO นั้น ก็จะขาดสภาพคล่อง ก็ทำให้เกิดปัญหาต่อไปว่าจะทำการกำหนดราคาหรือการ Pricing ไอ้เจ้า CDO ที่ว่านี้กันอย่างไร ส่งผลให้เมื่อเร็ว ๆ นี้ ธนาคารที่ใหญ่ที่สุดของฝรั่งเศส BNP Paribas ต้องสั่งระงับการถอนเงินกองทุนของตน 3 กองทุน เพราะว่าไม่รู้จะคำนวณมูลค่าของ CDO ที่กองทุนของตนถืออยู่อย่างไร

วิกฤต Subprime นี้ได้ส่งผลกระทบไปถึงบริษัทการเงินยักษ์ใหญ่เช่น Bear Sterns ที่กองทุนเจ๊งไป 2 กองทุน ส่งผลไปถึง Goldman Sachs ที่ต้องใส่เงินเพิ่ม 2,000 ล้านดอลล่าร์ เพื่อชดเชยผลขาดทุนของกองทุน Hedge Fund ตน

ก่อให้เกิดผลทางจิตวิทยาต่อตลาดสินเชื่อทั่วโลก จนต้องทำให้ธนาคารกลางทั่วโลก เช่น FED (ธนาคารกลางของสหรัฐ) ECB (ธนาคารกลางของยุโรป) BOJ (ธนาคารกลางของญี่ปุ่น) ต้องฉีดเงินเข้าสู่ระบบธนาคาร โดยการให้ความเชื่อมั่นว่าหากธนาคารไม่สามารถกู้เงินจากธนาคารอื่นได้ ก็สามารถกู้ผ่านธนาคารกลางได้โดยตรง

วิกฤตการณ์ Subprime นี้มีส่วนทำให้ดัชนีหลักทรัพย์ทั่วโลกได้ต่างกันปรับตัวลดลงมากันอย่างถ้วนหน้า เช่น Dow Jones ปรับตัวลดลงจาก 14,000 มาแตะ 13,000 จุดเมื่อวานนี้ (14 ส.ค. 50) ไม่ต้องพูดถึงดัชนี SET ของเราที่ผสมโรงปรับตัวลงมา จากประมาณ 890 จุดมาอยู่ที่ประมาณ 775-780 จุด ณ ปัจจุบันนี้ (15 ส.ค. 50)

ล่าสุดวิกฤตการณ์ Subprime นี้ได้ลุกลามส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายล่วงหน้า โดยเมื่อวันที่ 14 ส.ค.50 นี้ Sentinel Management Group Inc. นายหน้าซื้อขายสินค้าล่วงหน้า (futures commission merchant; FCM) ชื่อ ที่กำกับดูแลโดย U.S. Commodity Futures Trading Commission (CFTC) ซึ่งดูแลเงินของลูกค้าอยู่ประมาณ 1,600 ล้านดอลล่าร์ ได้ขออนุญาต CFTC ให้บริษัทสามารถที่จะยังไม่คืนเงินให้ลูกค้า ในกรณีที่มีลูกค้าขอถอนเงิน เนื่องมาจากไม่ต้องการขายหลักทรัพย์ที่ตนถืออยู่ เช่น Asset-Backed Securities (ABS) เพราะว่าทางบริษัทเห็นว่าจะเป็นการขายที่ราคาที่ถูกเกินไป ซึ่งทาง CFTC เองต่อมาก็ได้เปิดเผยว่า CFTC ไม่มีหน้าที่ในการอนุมัติคำร้องขอของทางบริษัท

เพื่อเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในกรณีดังกล่าว ตลาดล่วงหน้าในสหรัฐได้แก่ Chicago Board of Trade (CBOT) Chicago Mercantile Exchange (CME) New York Board of Trade (NYBOT) และ New York Mercantile Exchange (NYMEX) ร่วมกับ สมาคมนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า (Nation Futures Association; NFA) ในสหรัฐ กำลังร่วมมือกันในการหาบริษัทอื่นที่จะมาช่วยรับบัญชีลูกค้าจากบริษัท Sentinel ที่ว่านี้

ก็ต้องมาลุ้นกันต่อไปครับว่า ปัญหา Subprime จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงกับอุตสาหกรรมการซื้อขายล่วงหน้า เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมการปล่อยสินเชื่อหรือไม่ และเป็นต้องติดตามอีกครับว่า วิกฤตการณ์ Subprime นี้จะจุดเริ่มต้นของวิกฤตทางการเงินของโลกในรอบนี้หรือไม่ ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตครับว่า ช่วงเวลานี้ถือว่าเป็นช่วงเวลาครบรอบ 10 ปีพอดี หลังจากที่วิกฤตการณ์ต้มยำกุ้งของไทยลุกลามระบาดไปทั่วโลก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น