ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 10 พฤษภาคม 2550
หลายท่านคงเริ่มรู้สึกตัวกันแล้วนะครับว่า
ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของเราได้พากันขึ้นราคากันมาอีกแล้ว
(หลังจากที่ปรับตัวลดลงไปเมื่อช่วงต้นปีนี้) น้ำมันเบนซิน95 ของ ป.ต.ท.
เพิ่มจากลิตรละ 25.19 บาท ในวันที่ 18 มกราคม 50 มาเป็น 29.59 บาท ในวันที่ 9
พฤษภาคม 50 ในเวลาไม่ถึง 4 เดือน เพิ่มขึ้นถึง 17 % ขณะที่แก๊สโซฮอล์95
เพิ่มจากลิตรละ 23.69 บาท มาเป็นลิตรละ 26.69 บาท เพิ่มขึ้นประมาณ 13 %
เป็นที่น่าสังเกตุครับว่า ความแตกต่างกันของราคา
(Basis)
ระหว่างแก๊สโซฮอล์95 กับ เบนซิน95
มีขนาดส่วนลดที่กว้างขึ้นจากลิตรละ 1.50 บาท มาเป็น ส่วนลดลิตรละ 2.90 บาท
อาจจะมีผลสามารถจูงใจให้คนหันมาใช้แก๊สโซฮอล์ที่พอสมควร เนื่องจาก ส่วนลดลิตรละ
1.50 นั้น ส่วนตัวเห็นว่า น้อยไปครับ ไม่เป็นการสร้างแรงจูงใจใด ๆ
เลยที่จะเสี่ยงเปลี่ยนมาใช้แก๊สโซฮอล์ แต่หากส่วนต่างเป็นลิตรละ 2.90 - 3.00 บาท
ดังเช่นปัจจุบัน ผมเห็นว่าจะคุ้มครับ จะให้ดีน่าจะมีส่วนลดประมาณซัก 20 %
หรือซักประมาณลิตรละ 5 บาท
รับรองจะมีคนอีกจำนวนไม่น้อยเลยที่จะหันมาเติมแก๊สโซฮอล์กัน
ส่วนต่างที่กว้างขึ้น (Widen
Basis) ของแก๊สโซฮอล์นี้ คงต้องยกเครดิตให้กระทรวงพลังงาน
โดยเฉพาะท่านรัฐมนตรีปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์
ผู้มีส่วนสำคัญในการผลักดันการปรับปรุงสูตรการกำหนดราคาเอทานอล
(ซึ่งเป็นวัตถุดิบในแก๊สโซฮอล์) ให้สะท้อนกับราคาที่เป็นจริงในตลาดโลกมากขึ้น
(โดยท่านผู้อ่านท่านใดสนใจ
สามารถเข้าไปดูสูตรการคำนวณราคาเอทานอลได้ที่เวปไซด์ของกระทรวงพลังงาน www.energy.go.th
ครับ)
การปรับตัวเพิ่มขึ้นมากว่า 10 %
ทั้งในส่วนของเบนซิน95 หรือ แก๊สโซฮอล์ ในช่วงระยะเวลาไม่ถึง 4 เดือน นี้
ผมถือว่าเป็นการปรับตัวที่ค่อนข้างรุนแรง เพราะว่าต้นทุนของผู้ใช้รถใช้ถนนอย่างผมเพิ่มขึ้นทันทีถึง
10 กว่าเปอร์เซ็นต์ และผมเชื่อว่าคงมีน้อยคนนักที่จะมีรายได้เพิ่มขึ้นมากกว่า 10 %
ในช่วง4 เดือนที่ผ่านมา การเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันดังกล่าวนี้
ถือเป็นภาระสำหรับทุกคนในสังคม โดยเฉพาะเป็นภาระที่หนักสำหรับอุตสาหกรรมการขนส่งและการประมงที่ต้นทุนในการดำเนินกิจการ
กว่าครึ่งต้องจ่ายเป็นค่าน้ำมัน
เช่นเดียวกับทองคำ
ราคาขายออกทองคำในประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้นจากบาทละ 10,450 บาท ในวันที่ 6 มกราคม
2550 มาอยู่ที่ 11,300 บาท ณ ปัจจุบันนี้ คิดเป็นอัตราการเพิ่มขึ้นประมาณ 8 % การปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาดังกล่าวทำให้ภาระค่าใช้จ่ายของบางท่านสูงขึ้นครับ
เช่น ชายผู้ที่ต้องเตรียมซื้อทองคำเพื่อไปหมั้นเจ้าสาวในช่วงนี้
ความผันผวนของราคาสินค้าก่อให้เกิดความเสี่ยงครับ
ความเสี่ยงก่อให้เกิดต้นทุนในการบริหารความเสี่ยง ผมถึงขนาดเคยได้ยินคำบ่นของพ่อค้าท่านหนึ่งว่า
"น้ำมันจะแพงยังไงผมไม่กลัวหรอก ผมกลัวแต่มันจะผันผวน
เพราะว่าถึงมันจะแพงแต่ถ้าไม่ผันผวน ผมก็สามารถคำนวณต้นทุนการผลิตของผมได้
ซึ่งถ้าหากผมคำนวณแล้วไม่คุ้มผมจะได้เลิกกิจการมันไปเลย ไม่ใช่ราคามาขึ้น ๆ ลง ๆ
ยึกไปยักมา อย่างนี้" (สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นของเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงด้านราคา
เช่น Futures
Exchange หรือ เครื่องมือทางการเงินอื่น ๆ
ที่สามารถช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงด้านราคาของตนได้)
การที่เราจะวัดว่าสินค้าชนิดหรือประเภทใดมีความผันผวนมากกว่ากันนั้น
ในทางวิชาการ วัดกันที่ค่าที่เรียกว่าค่า Volatility ซึ่งมีหน่วยเป็นร้อยละของราคาสินค้า
สินค้าใดที่มีค่า Volatility สูงจะมีราคาที่ผันผวนกว่าสินค้าที่มีค่า
Volatility ต่ำ ตัวอย่างเช่น ณ ปัจจุบัน ยางแผ่นรมควันชั้น 3
หรือ RSS Futures ที่ซื้อขายกันในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า (AFET)
มีค่า Volatility ประมาณ 32 % ต่อปี
ราคาน้ำมันดิบ Brent มีค่า Volatility ประมาณ
30% ต่อปี ขณะที่น้ำมันปาล์มในมาเลเซียมีค่าความผันผวนอยู่ที่ประมาณ 24 % ต่อปี
เป็นต้น
โดย ค่าความผันผวน หรือ Volatility
นี้จะเป็นตัวบอกว่าราคาสินค้าชนิดหนึ่ง มีสิทธิจะเพิ่มขึ้น หรือ
ลดลงได้รุนแรงผันแปรไปตามค่า Volatility ดังกล่าว
แต่ไม่สามารถช่วยบอกว่าราคาสินค้าจะมีแนวโน้มเป็นอย่างไร
ซึ่งหากพูดถึงทิศทางของสินค้าโภคภัณฑ์
แนวคิดในการพยากรณ์ทิศทางของราคาที่ปัจจุบันถูกหยิบยกขึ้นมาใช้อธิบายการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในช่วง
5-6 ปี มานี้ และใช้พยากรณ์ราคาสินค้าในอนาคต คือ ทฤษฎี K-Wave
หรือ Kondratiev Wave ซึ่งเป็นทฤษฎีที่เชื่อว่าราคาสินค้าโภคภัณฑ์จะมีรอบของการเคลื่อนไหวเป็นวัฏจักร
ระยะเวลานานประมาณ 50 ถึง 60 ปี หรือ ที่รู้จักกันดีว่า super-cycles โดยผู้เชื่อใน K-Waves เช่น Marc Faber (ที่เคยมาพูดที่กรุงเทพเมื่อปีที่แล้ว) และ นักกลยุทธ์อีกหลายท่านที่ Citigroup
และ Goldman Sachs มีความเชื่อว่า ณ ปัจจุบัน
ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ยังอยู่ในระยะเริ่มต้นของ K-Wave เท่านั้น
ซึ่งแปลว่า ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ยังมีแนวโน้มที่จะพุ่งสูงขึ้นอีกหลายปี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น