วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในปัจจุบัน

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 10 พฤษภาคม 2550

หลายท่านคงเริ่มรู้สึกตัวกันแล้วนะครับว่า ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของเราได้พากันขึ้นราคากันมาอีกแล้ว (หลังจากที่ปรับตัวลดลงไปเมื่อช่วงต้นปีนี้) น้ำมันเบนซิน95 ของ ป.ต.ท. เพิ่มจากลิตรละ 25.19 บาท ในวันที่ 18 มกราคม 50 มาเป็น 29.59 บาท ในวันที่ 9 พฤษภาคม 50 ในเวลาไม่ถึง 4 เดือน เพิ่มขึ้นถึง 17 % ขณะที่แก๊สโซฮอล์95 เพิ่มจากลิตรละ 23.69 บาท มาเป็นลิตรละ 26.69 บาท เพิ่มขึ้นประมาณ 13 %

เป็นที่น่าสังเกตุครับว่า ความแตกต่างกันของราคา (Basis) ระหว่างแก๊สโซฮอล์95 กับ เบนซิน95 มีขนาดส่วนลดที่กว้างขึ้นจากลิตรละ 1.50 บาท มาเป็น ส่วนลดลิตรละ 2.90 บาท อาจจะมีผลสามารถจูงใจให้คนหันมาใช้แก๊สโซฮอล์ที่พอสมควร เนื่องจาก ส่วนลดลิตรละ 1.50 นั้น ส่วนตัวเห็นว่า น้อยไปครับ ไม่เป็นการสร้างแรงจูงใจใด ๆ เลยที่จะเสี่ยงเปลี่ยนมาใช้แก๊สโซฮอล์ แต่หากส่วนต่างเป็นลิตรละ 2.90 - 3.00 บาท ดังเช่นปัจจุบัน ผมเห็นว่าจะคุ้มครับ จะให้ดีน่าจะมีส่วนลดประมาณซัก 20 % หรือซักประมาณลิตรละ 5 บาท รับรองจะมีคนอีกจำนวนไม่น้อยเลยที่จะหันมาเติมแก๊สโซฮอล์กัน

ส่วนต่างที่กว้างขึ้น (Widen Basis) ของแก๊สโซฮอล์นี้ คงต้องยกเครดิตให้กระทรวงพลังงาน โดยเฉพาะท่านรัฐมนตรีปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ผู้มีส่วนสำคัญในการผลักดันการปรับปรุงสูตรการกำหนดราคาเอทานอล (ซึ่งเป็นวัตถุดิบในแก๊สโซฮอล์) ให้สะท้อนกับราคาที่เป็นจริงในตลาดโลกมากขึ้น (โดยท่านผู้อ่านท่านใดสนใจ สามารถเข้าไปดูสูตรการคำนวณราคาเอทานอลได้ที่เวปไซด์ของกระทรวงพลังงาน www.energy.go.th ครับ)

การปรับตัวเพิ่มขึ้นมากว่า 10 % ทั้งในส่วนของเบนซิน95 หรือ แก๊สโซฮอล์ ในช่วงระยะเวลาไม่ถึง 4 เดือน นี้ ผมถือว่าเป็นการปรับตัวที่ค่อนข้างรุนแรง เพราะว่าต้นทุนของผู้ใช้รถใช้ถนนอย่างผมเพิ่มขึ้นทันทีถึง 10 กว่าเปอร์เซ็นต์ และผมเชื่อว่าคงมีน้อยคนนักที่จะมีรายได้เพิ่มขึ้นมากกว่า 10 % ในช่วง4 เดือนที่ผ่านมา การเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันดังกล่าวนี้ ถือเป็นภาระสำหรับทุกคนในสังคม โดยเฉพาะเป็นภาระที่หนักสำหรับอุตสาหกรรมการขนส่งและการประมงที่ต้นทุนในการดำเนินกิจการ กว่าครึ่งต้องจ่ายเป็นค่าน้ำมัน

เช่นเดียวกับทองคำ ราคาขายออกทองคำในประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้นจากบาทละ 10,450 บาท ในวันที่ 6 มกราคม 2550 มาอยู่ที่ 11,300 บาท ณ ปัจจุบันนี้ คิดเป็นอัตราการเพิ่มขึ้นประมาณ 8 % การปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาดังกล่าวทำให้ภาระค่าใช้จ่ายของบางท่านสูงขึ้นครับ เช่น ชายผู้ที่ต้องเตรียมซื้อทองคำเพื่อไปหมั้นเจ้าสาวในช่วงนี้

ความผันผวนของราคาสินค้าก่อให้เกิดความเสี่ยงครับ ความเสี่ยงก่อให้เกิดต้นทุนในการบริหารความเสี่ยง ผมถึงขนาดเคยได้ยินคำบ่นของพ่อค้าท่านหนึ่งว่า "น้ำมันจะแพงยังไงผมไม่กลัวหรอก ผมกลัวแต่มันจะผันผวน เพราะว่าถึงมันจะแพงแต่ถ้าไม่ผันผวน ผมก็สามารถคำนวณต้นทุนการผลิตของผมได้ ซึ่งถ้าหากผมคำนวณแล้วไม่คุ้มผมจะได้เลิกกิจการมันไปเลย ไม่ใช่ราคามาขึ้น ๆ ลง ๆ ยึกไปยักมา อย่างนี้" (สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นของเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงด้านราคา เช่น Futures Exchange หรือ เครื่องมือทางการเงินอื่น ๆ ที่สามารถช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงด้านราคาของตนได้)

การที่เราจะวัดว่าสินค้าชนิดหรือประเภทใดมีความผันผวนมากกว่ากันนั้น ในทางวิชาการ วัดกันที่ค่าที่เรียกว่าค่า Volatility ซึ่งมีหน่วยเป็นร้อยละของราคาสินค้า สินค้าใดที่มีค่า Volatility สูงจะมีราคาที่ผันผวนกว่าสินค้าที่มีค่า Volatility ต่ำ ตัวอย่างเช่น ณ ปัจจุบัน ยางแผ่นรมควันชั้น 3 หรือ RSS Futures ที่ซื้อขายกันในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า (AFET) มีค่า Volatility ประมาณ 32 % ต่อปี ราคาน้ำมันดิบ Brent มีค่า Volatility ประมาณ 30% ต่อปี ขณะที่น้ำมันปาล์มในมาเลเซียมีค่าความผันผวนอยู่ที่ประมาณ 24 % ต่อปี เป็นต้น

โดย ค่าความผันผวน หรือ Volatility นี้จะเป็นตัวบอกว่าราคาสินค้าชนิดหนึ่ง มีสิทธิจะเพิ่มขึ้น หรือ ลดลงได้รุนแรงผันแปรไปตามค่า Volatility ดังกล่าว แต่ไม่สามารถช่วยบอกว่าราคาสินค้าจะมีแนวโน้มเป็นอย่างไร

ซึ่งหากพูดถึงทิศทางของสินค้าโภคภัณฑ์ แนวคิดในการพยากรณ์ทิศทางของราคาที่ปัจจุบันถูกหยิบยกขึ้นมาใช้อธิบายการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในช่วง 5-6 ปี มานี้ และใช้พยากรณ์ราคาสินค้าในอนาคต คือ ทฤษฎี K-Wave หรือ Kondratiev Wave ซึ่งเป็นทฤษฎีที่เชื่อว่าราคาสินค้าโภคภัณฑ์จะมีรอบของการเคลื่อนไหวเป็นวัฏจักร ระยะเวลานานประมาณ 50 ถึง 60 ปี หรือ ที่รู้จักกันดีว่า super-cycles โดยผู้เชื่อใน K-Waves เช่น Marc Faber (ที่เคยมาพูดที่กรุงเทพเมื่อปีที่แล้ว) และ นักกลยุทธ์อีกหลายท่านที่ Citigroup และ Goldman Sachs มีความเชื่อว่า ณ ปัจจุบัน ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ยังอยู่ในระยะเริ่มต้นของ K-Wave เท่านั้น ซึ่งแปลว่า ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ยังมีแนวโน้มที่จะพุ่งสูงขึ้นอีกหลายปี

ซึ่งแน่นอนว่า หากราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้นตามรูปแบบของ K-Waves อย่างที่หลายคนเชื่อจริง ราคาน้ำมันในบ้านเราคงมีโอกาสแตะที่ 40-50 บาทต่อลิตร ซึ่งในช่วงเวลาวิกฤตดังกล่าว รัฐบาลคงช่วยอะไรเราได้ไม่มากหรอกครับ สู้พวกเราคนไทยปฏิบัติตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงเลยตั้งแต่วันนี้ เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้สังคมไทยต่อการเผชิญวิกฤตใดๆ ในอนาคต

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น